*/
<< | ธันวาคม 2017 | >> | ||||
อา | จ | อ | พ | พฤ | ศ | ส |
1 | 2 | |||||
3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8 | 9 |
10 | 11 | 12 | 13 | 14 | 15 | 16 |
17 | 18 | 19 | 20 | 21 | 22 | 23 |
24 | 25 | 26 | 27 | 28 | 29 | 30 |
31 |
ตุรกี " สุเหร่าสีฟ้าต้องไปให้ได้นะคะ เสียงนี้ยังก้องอยู่ในหัวอยู่ตลอดตั้งแต่ก่อนมาตุรกี "
วันนี้จุดหมายปลายทางของเราคือ " อิสตันบูล" เมืองนี้อาจหาญถ่างขาคร่อมสองทวีป เมืองนี้เราจะได้สัมผัสกับสถาปัตยกรรมอัน งดงามไม่ว่าจะเป็น สุเหร่าสีฟ้า เซ็นต์โซเฟีย พระราชวังโดลมาบาห์เช ฯลฯ สุเหร่าสีฟ้า โบสถ์ เซนต์ โซเฟีย พระราชวังโดลมาบาห์เช
อิสตันบูล เมืองนี้เปลี่ยนชื่อมาแล้วหลายครั้ง ตั้งแต่ไบแซนทิอุม คอนสแตนติโนเปิล อิสลามบูล ในที่สุดก็กลายมาเป็น อิสตันบูล ในยุคที่จักรวรรดิโรมันเรืองอำนาจ กษัตริย์คอนสแตนตินได้เลือกเมือง ไบเซนทิอุมให้เป็นเมืองหลวงของจักรวรรดิโรมันตะวันออก เมื่อจักรวรรดิโรมันตะวันตกเสื่อมอำนาจลง ไปเซนทีอุมก็ได้กลายเป็นเมืองหลวงของจักรวรรดิไบแซนไทน์อย่างเต็มรูปแบบ และถูกเปลี่ยนชื่อเป็นกรุงคอนสแตนติโนเปิล ตามชื่อของกษัตริย์ ในยุคนั้นกรุงคอนสแตนติโนเปิลเป็นเมืองใหญ่ที่สุดในยุโรป ต่อมากรุงสแตนติโนเปิลก็ถูกยึดครองโดยกองทัพเติร์กและสถาปนาเป็นจักรวรรดิออตโตมัน และเปลี่ยนชื่อเป็นอิสลามบูล เมื่อออตโตมันเสื่อมลง หลังจากเป็นฝ่ายแพ้สงคราม ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 1 อิสลามบูล ก็ถูกเปลี่ยนชื่อเป็น อิสตันบูล บ้านเรือนริมฝั่งทะเลช่องแคบบอสฟอรัส
เราออกจากกรุงอังการาตั้งแต่แปดโมงเช้า หลังจากรับประทานอาหารเช้าที่โรงแรมที่พัก ระหว่างทางแวะโรงงานทอพรม ไกด์บอกว่าพรมที่นี่ดีที่สุดในโลก ดีกว่าพรมเปอร์เซียของอิหร่าน เพราะมีกรรมวิถีการทอที่ซับซ้อนกว่า ไกด์ยังอธิบายว่า พรมเปอร์เซียการทอจะเป็นปมไม่สมมาตรแต่พรมตุรกีจะเป็นปมสมมาตร เราได้แต่นั่งชมนั่งฟังโดยไม่ค่อยเข้าใจนัก บ่ายโมงเราถึงอิสตันบูล เราทานมื้อเที่ยงที่สะพานกาลาตา " กาลาตา" ชื่อนี้คุ้นหูมาก เมื่อนึกถึงทีมฟุตบอลชื่อดังของตุรกี " กาลาตาซาราย " มีนักเตะดังๆที่อยู่ในช่วงปลายของการค้าแข้งเดินทางไปค้าแข้งให้สโมสรนี้หลายรายทีเดียว นั่งทานปลาเผาด้านล่างใต้สะพาน ข้างบนเป็นพรานเบ็ดท้องถิ่น ปลาที่ตกได้เป็นปลาตัวเล็กๆ สะพานกาลาตาเป็นสะพานที่เชื่อมจากฝั่งกาลาตาไปยังย่านเอมินูนึ เป็นสะพานที่คึกคักไปด้วยนักท่องเที่ยวและพรานเบ็ด อาหารมื้อเที่ยงสุดแสนอร่อยด้วยปลาสดๆที่นำมาเผา จิ้มด้วยน้ำจิ่้มที่ไกด์นำไปจากเมืองไทย นับเป็นมื้อที่อร่อยที่สุดนับตั้งแต่มาตุรกี เมื่อมองจากสะพานจะเห็นอาคารบ้านเรือนหนาแน่นรวมทั้งเรือสินค้าเรือโดยสารขวักไขว่ไปหมด มีทั้งคนท้องถิ่นและนักท่องเที่ยว เต็มไปหมด ทำให้เราพลอยคึกคักไปด้วย ริมฝั่งช่องแคบคึกคักไปด้วยเรือโดยสารนักท่องเที่ยว เรือขนส่งสินค้า เพราะที่นี่คือประตูเชื่อมสองทวีป เรือให้บริการนักท่องเที่ยวล่องช่องแคบบอสฟอรัส อิสตันบูลได้ชื่อว่าเมืองร่ำรวยสุเหร่า คึกคักไปด้วยนักท่องเที่ยวในย่านเอมินูนึ อาหารมื้อเที่ยงสุดแสนอร่อยจบลง เราลงเรือล่องช่องแคบบอสฟอรัส ช่องแคบบอสฟอรัส เป็นเส้นทางคมนาคมที่สำคัญ สองฝั่งเป็นที่ตั้งของ โบสถ์ วิหาร ป้อมปราการ พระราชวัง การได้ล่องเรือผ่านช่องแคบบอสฟอรัสเป็นประสบการณ์ที่น่าจดจำ วิวทิวทัศนืที่สวยงาม บ้านเรือนสิ่งปลูกสร้างมีระเบียบ ประการสำคัญ ช่องแคบบอสฟอรัสเป็นจุดสุดขอบของทวีปยุโรปและเอเซีย อีกทั้งยังเป็นจุดเชื่อมทะเลมาร์มารากับทะเลดำ ขณะที่นั่งล่องเรือผมยังได้นึกทบทวนถึงไปถึงการเรียนภูมิศาสตร์สมัยมัธยม ต้องท่องให้ได้ว่าช่องแคบอะไรที่แบ่งทวีปยุโปและเอเซีย ช่องแคบอะไรที่เชื่อมระหว่างทะเลเหนือและมหาสมุทรแอตแลนติก ลงเรือเฟอร์รี่ ชมบรรยากาศสองฝากฝั่งช่องแคบบอสฟอรัส บ้านเรือนที่สวยงามเป็นระเบียบ ดูสะอาดสบายตา เรือล่องผ่านสะพานกาลาตา นักท่องเที่ยวตื่นตาตื่นใจกับบรรยากาศสองฝากฝั่ง มัสยิดออร์ตาเคย สวยโดดเด่น พระราชวังโดลมาบาห์เช ประตูพระราชวังโดลมาบาห์เช หอคอยไมเดน แม้จะสวนทางกัน แต่ก็จุดมุ่งหมายเดียวกัน สองฝั่งเต็มไปด้วยสุเหร่า บอสฟอรัสฝั่งเอเซีย สะพานข้ามช่องแคบบอสฟอรัส ธงชาติตุรกี
ฟ้าเริ่มสาง ยินเสียงสายฝนซัดกระหน่ำไปตามชายคาของอาคารและบานหน้าต่างห้องพัก หัวใจของผมพลอยขุ่นมัวไปด้วย เปิดม่านหน้าต่างมองฝ่าออกไป เห็นสายฝนโปรยปรายไปทั่วทั้งเมือง ที่อิสตันบูลเช้านี้ฟ้าขมุกขมัวพร้อมฝนพร่ำลงมาตลอดเวลา เหมือนดั่งฟ้ากลั่นแกล้ง เพราะวันนี้เป็นวันที่เราจะลาจากตุรกีกลับยังบ้านที่เมืองไทย วันนี้เราจะไปพระราชวังโดลมาบาห์เช สุเหร่าสีฟ้า อ่างเก็บน้ำเยราบาทัน เซนโซเฟีย โปรแกรมช่างอัดแน่นเสียเนี้ยกะไร ผมจะมีเวลาได้ชื่นชมสักเท่าไหร่ ถึงแม้เวลาจะน้อยนิด แต่ทำไมฟ้าจึงไม่สดใสดั่งเช่นทุกๆวันที่ผ่านมา หากฟ้าใสสุเหร่าสีฟ้าที่อยู่ในใจจะสดใสตามไปด้วย แต่นี่ช่างหม่นหมองเสียจริงๆ แต่จะทำยังไงได้ในเมื่อธรรมชาติมันเป็นแบบนี้ จะไม่มีอะไรสมหวังไปซะทุกอย่าง เพียงได้มาเห็นมาชมก็พอจะชื่นใจบ้าง ประวัติศาสตร์ที่ได้อ่านได้เรียนมา ปรากฎแก่สายตาแล้ว
พระราชวังโดลมาบาชเช่ (Dolmabahce Palace) สร้างโดยสุลต่านอับดุลเมจิท ในปี ค.ศ. 1843-1856 ยุคปลายอาณาจักรออตโตมัน เป็นพระราชวังสุดหรูหราอลังการ ปัจจุบันกลายเป็นพิพิธภัณฑ์ ที่มีความสมบูรณ์ และงดงามที่สุด หอนาฬิกาก่อนถึงทางเข้าพระราชวัง อิสตันบูลในวันฝนพรำ ก้มหน้าก้มตาเดินไปพระราชวังโดลมาบาห์เช ก่อนเข้าถึงพระราชวังชั้นใน ประตูด้านหน้าพระราชวังที่สวยงาม เมื่อเข้าไปด้านใน
เด็กนักเรียนมาทัศนศึกษา
ผมมาถึงแล้วสุเหร่าสีฟ้า " สุเหร่าสีฟ้าต้องไปให้ได้นะ " เสียงนั้นยังก้องอยู่ในหัว แต่สภาพอากาศก็ช่างกะไรไม่เป็นใจเอาเสียเลย สายฝนโปรยปรายลงมาตั้งแต่เช้า ท้องฟ้าสีขาวโพลน ความสวยงามตามที่คาดหวังมะลายหายไป
สุเหร่าสีน้ำเงิน สุเหร่าสีฟ้า : (Blue Mosque) หรือ มัสยิดสุลต่านอาห์เมต (Sultan Ahmet Mosque)
• จนมาถึงในสมัยสุลต่านอาห์เมตที่ 1 เมห์เมต อาอา (Mehmet ) สถาปนิกผู้สร้างสรรค์มัสยิดแห่งนี้ ต้องการแสดงให้โลกรู้ว่าเขามีความสามารถเหนืออาจารย์และสถาปนิกที่ออกแบบวิหารเซนต์โซเฟีย จึงบรรจงออกแบบจนอลังการ • โดยให้ตัวมัสยิดหันหน้าเข้าหาวิหารเซนต์โซเฟีย เป็นการประชันความงามกันอยู่คนละฟากฝั่งของจัตุรัสสุลต่านอาห์เมต ที่ซึ่งในฤดูร้อนจะมีงานแสดงแสงสีที่งดงามยามค่ำคืน แม้จะมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่าดีไซน์ของมัสยิดแห่งนี้ มองดูคล้ายวิหารเซนต์โซเฟีย แต่ก็ต้องยอมรับว่าเป็นผลงานที่น่าประทับใจ • เอกลัษณ์ของสุเหร่าสีน้ำเงิน โดดเด่นด้วยหอมินาเร็ต (หอสวดมนต์) 6 หอ ซึ่งปกติหอสวดมนต์ประจำมัสยิดทั่วไปจะมีหนึ่งถึงสองหอและลานด้านหน้าที่ใหญ่ที่สุดในบรรดามัสยิดของออตโตมัน ส่วนการตกแต่งภายในก็ดูยิ่งใหญ่ด้วยหน้าต่างทั้งหมด 260 บาน สลับสล้างด้วยหน้าต่างกระจกสีอันวิจิตรและพื้นที่สำหรับละหมาดขนาดกว้าง ภายในบริเวณมัสยิดมีโรงเรียนสอนศาสนา โรงพยาบาล ที่พักแรกของขบวนคาราวานและโรงครัวต้มน้ำซุป (เรียกว่าคุลลีเย) • เมื่อเริ่มสร้างองค์สุลต่านมีกระแสรับสั่งให้สร้างหอสวดมนต์เป็นทองคำ ซึ่งคำว่าทองคำในภาษาตุรกี เรียกว่า อัลทึ่น (Altin) สถาปนิกพยายามคิดหาทางออกที่ดี เพราะการสร้างหอทองคำต้องสิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายมากและเป็นการไม่สมควร แต่ก็ต้องให้สุลต่านอาห์เมตพอพระทัยด้วย จึงสร้างหอสวดมนต์ 6 หอ สร้างความพอพระทัยในความฉลาดของสถาปนิก จึงไม่ลงทัณฑ์แต่อย่างใด แต่ว่าเมื่อสร้างสุเหร่าสีฟ้าเสร็จแล้วกลับกลายเป็นว่ามีหอสวดมนต์เท่ากับสุเหร่าในนครเมกกะ ซึ่งเป็นการไม่สมควร จึงต้องเพิ่มหอขึ้นอีกหนึ่งแห่งกลายเป็น 7 หอ • สุลต่านอาห์เมตได้ชื่นชมบลูมอสก์อยู่เพียงปีเดียว ก่อนสิ้นพระชนม์ด้วยวัยเพียง 27 พรรษา • สำหรับการเยี่ยมสุเหร่าสีน้ำเงินต้องถอดรองเท้า ช่วงที่อากาศเย็นควรที่จะเตรียมถุงเท้าไปด้วย อนุญาตให้คนเข้าไปทำละหมาดได้ 24 ชั่วโมง ช่วงกลางคืนจะมีการแสดงแสงสีเสียงด้วย (ข้อมูลจาก http://www.oceansmile.com ) ภายในสุเหร่าสีฟ้าเป็นสถานที่สวดมนต์ มีเวลาเพียงน้อยนิดในการเดินถ่ายสุเหร่า ด้านนอกเมื่อฟ้าเปิดบ้างเป็นคราว
เมื่อหันหลังกลับไปเราก็เจอ เซนต์โซเฟีย ที่ตั้งประจันหน้ากันกับสุเหร่าสีฟ้า ตุรกีผมรู้จัก เซนต์ โซเฟีย มากที่สุด เพราะเซนต์ โซเฟีย เป็น 1 ใน 7 ของสิ่งมหัศจรรย์ในยุคกลาง แต่วันนี้ฝนโปรยปรายลงมาตั้งแต่เช้า บรรยากาศจึงไม่สดใส ภาพที่ได้จึงมีแต่ความ ขมุกขมัว เรารวมตัวกันด้านหน้าให้พร้อม ระเบียบในการเข้าชมภาพในต้องใช้หูฟัง ไกด์จะบรรยายเล่าเรื่องรายละเอียดให้ฟังโดย ไม่ต้องใช้เสียงตะโกนโหวกเหวก วิหารเซนต์โซเฟีย (Mosque of Hagia Sophia) หรือสุเหร่าฮาเกีย โซเฟีย 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคกลาง เป็นโบสถ์คาทอลิก สร้างในสมัยพระเจ้าจัสติเนียน มีหลังคาเป็นยอดกลมแบบโม เสาในโบสถ์เป็นหินอ่อน ภายในติดกระจกสี เมื่อเติร์กเข้าครองเมือง ได้เปลี่ยนโบสถ์นี่ให้เป็นสุเหร่าในปี ค.ศ. 1453 ฉาบปูนทับกำแพงที่ปูด้วยโมเสกเป็นรูปพระเยซูคริสต์และสาวก ภายหลังทางการได้ตกลงให้สุเหร่าฮาเกียโซเฟียเป็นพิพิธภัณฑ์ที่วันนี้คงบรรยากาศของความเก่าขลังอยู่เต็มเปี่ยม โดยเฉพาะโดมที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 4 ของโลกซึ่งมีพื้นที่โล่งภายในใหญ่ที่สุดในโลก ก่อสร้างด้วยการใช้ผนังเป็นตัวรับน้ำหนักของอาคารลงสู่พื้นแทนการใช้เสาค้ำยันทั่วไป นับเป็นเทคนิคการก่อสร้าง ที่ถือว่าล้ำหน้ามากในยุคนั้น (ถือเป็นหนึ่งในเหตุผลสำคัญที่ทำให้ฮาเกียโซเฟียได้รับการยกย่องให้เป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคกลาง
ภายในวิหารเซนต์โซเฟียมีที่ตั้งบัลลังก์จักรพรรดิที่ถือเป็นศูนย์กลางจักรวาล ในห้องมีเสารักษาโรคอยู่ต้นหนึ่ง ซึ่งกล่าวกันว่าสามารถรักษาโรคไมเกรนของจักรพรรดิจัสติเนียนได้เมื่อแนบพระ เศียรลงกับเสา จึงเกิดความเชื่อว่าเสาแต่ละต้นในวิหารสามารถรักษาโรคได้ แต่เมื่อถูกลูบคลำเป็นเวลาหลายศตวรรษ เนื้อเสาก็สึกเว้าเข้าไปจนปัจจุบันต้องนำทองเหลืองมากรุเป็นกรอบ และเรียกรอยเว้านี้ว่า หลุมศักดิ์สิทธิ์ ความงดงามของภาพโมเสกที่จักรพรรดิจัสติเนียนและจักรพรรดิองค์ต่อๆ มาทรงนำมาประดับวิหารเซนต์โซเฟีย ถูกพวก มุสลิมทำลายไปหลายภาพ ในช่วง ค.ศ. 729 - 843 ภาพที่เหลือรอดมาจนถึงปัจจุบันเป็นเพราะทาน้ำปูนขาวปิดทับเอาไว้อย่างภาพของ พระเยซู จอห์นผู้ล้างบาปและพระแม่มาเรีย รวมถึงภาพจักรพรรดินีโซและพระสวามี คอนสแตนตินที่ 9 โมโนมาคุส ถัดขึ้นไปเป็นภาพอดีตพระสวามี โรมานุส ที่เคยเป็นคนเลี้ยงม้าผู้ล่อลวงจักรพรรดินีโซเพื่อจะยึดอำนาจ แต่กลับสูญเสียทั้งบัลลังก์และชีวิต ฝนพร่ำที่อิสตันบูล เซนต์ โซเฟีย พลอยเศร้าหมอง ภาพโมเสค ตรงซุ้มประตูจักรพรรดิ เป็นภาพจักรพรรดิ ลีโอที่ 7 ก้มลงกราบพระเยซู ภาพโมเสคที่ยอดโดม พระแม่มารีกำลังอุ้มพระเยซู ภายในกำลังซ่อมแซม จะเห็นนั้งร้านอยู่ทางซ้ายมือ เสียดายที่ไม่ได้ภาพมุมกว้างทั้งหมดภายในวิหาร
สำหรับอิสตันบูลวันนี้เราก็หมดเวลา จำต้องลาจากพร้อมหอบหิ้วความรู้สึกที่ประทับใจ ประวัติศาสตร์อันยาวนานได้ตกผลึกที่ตุรกีอย่าง แนบแน่น สถาปัตยกรรมในยุคกรีก-โรมัน ยังคงยืนหยัดให้คนรุ่นหลังได้มาเห็นได้มาเรียนรู้ และรำลึกถึงอดีตอันยิ่งใหญ่ของมนุษยชาติ ในยุดนั้น ความมีมานะความมุ่งมั่นในการทำงานในการก่อสร้างในการปกครอง ในการสร้างชาติเป็นแรงขับให้เขาทั้งหลายทำลาย อุปสรรคต่างๆที่เขาเผชิญพบให้ราบเรียบเป็นหน้ากลอง
ผมมาตุรกีคราวนี้เสียงหนึ่งที่ก้องอยู่ในความทรงจำอยู่ตลอดเวลาคือ สุเหร่าสีฟ้า ต้องไปให้ได้นะ ผมหมายมั่นที่จะดื่มด่ำกับความ งดงามวิจิตรที่สุลต่านอาห์เมตที่ 1 สร้างฝันอันยิ่งใหญ่เพื่อจะให้มัสยิดนี้ยิ่งใหญ่และงดงามกว่าวิหารเซนต์โซเฟีย ที่ตั้งประจันหน้ากัน แต่ผมกลับพบกับความขมุกขมัวของท้องฟ้า ของสายฝนที่โปรยปรายลงมาก ชโลมอิสตันบูลจนชุ่มโชก ไม่เว้นแม้แต่สิ่งที่ผม ปรารถนาใคร่จะได้สัมผัสความวิจิตรงดงามของ ฮาเกีย โซเฟีย เมื่อถามว่าผมมีความผิดหวังมากไหม คำตอบคือไม่ เพราะสิ่งที่ได้มา เห็นได้มาสัมผัสด้วยสายตา ช่างน่าตื่นตาตื่นใจยิ่งกว่าที่ได้อ่านจากตำรา มันทำให้ผมซึมซับเข้าไปในประวิติศาตร์ของมนุษยขาติ ที่ผ่านมา ผมยังอยากกลับมาที่นี่อีกครั้งหนึ่ง มานั่งทอดอารมณ์ ณ ที่นั่งตรงนี้ หน้าสุเหร่าสีฟ้า เพื่อให้รำลึกถึงเธอตลอดไป เพราะเธอ เป็นผู้ปรารถนาดีที่มีแต่คำแนะนำดีๆเสมอมา เก้าอี้ตรงนี้ี่อยากมีใครสักคนมานั่งเป็นเพื่อน เมื่อคิดจะกลับไปอีกครั้ง
พบกันใหม่ทริบหน้า ขอขอบคุณทุกท่านที่ติดตามชมตั้งแต่ตอนแรกจนกระทั่งจบ ___________________________________________ ติดตามเรื่องย้อนหลังได้ >>>
|
ถึง บล็อกเกอร์ ทุกท่าน โปรดอ่าน
ด้วยทาง บริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จำกัด (มหาชน) ได้ติดต่อขอความร่วมมือ มายังเว็บไซต์และเว็บบล็อกต่าง ๆ รวมไปถึงเว็บบล็อก OKnation
ห้ามให้มีการเผยแพร่ผลงานอันมีลิขสิทธิ์ ของบริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ฯ บนเว็บ blog โดยกำหนดขอบเขตของสิ่งที่ห้ามทำ และสามารถทำได้ ดังนี้
ห้ามทำ - การใส่ผลงานเพลงต้นฉบับให้ฟัง ทั้งแบบควบคุมเพลงได้ หรือซ่อนเป็นพื้นหลัง และทั้งที่อยู่ใน server ของคุณเอง หรือ copy code คนอื่นมาใช้ - การเผยแพร่ file ให้ download ทั้งที่อยู่ใน server ของคุณเอง หรือฝากไว้ server คนอื่น สามารถทำได้ - เผยแพร่เนื้อเพลง ต้องระบุชื่อเพลงและชื่อผู้ร้องให้ชัดเจน - การใส่เพลงที่ร้องไว้เอง ต้องระบุชื่อผู้ร้องต้นฉบับให้ชัดเจน จึงเรียนมาเพื่อโปรดปฎิบัติตาม มิเช่นนั้นทางบริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ฯ จะให้ฝ่ายดูแลลิขสิทธิ์ ดำเนินการเอาผิดกับท่านตามกฎหมายละเมิดลิขสิทธิ์
OKNATION
กฎกติกาการเขียนเรื่องและแสดงความคิดเห็น
1 การเขียน หรือแสดงความคิดเห็นใด ๆ ต้องไม่หมิ่นเหม่ หรือกระทบต่อสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ หรือกระทบต่อความมั่นคงของชาติ
2. ไม่ใช้ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่นในทางเสียหาย หรือสร้างความแตกแยกในสังคม กับทั้งไม่มีภาพ วิดีโอคลิป หรือถ้อยคำลามก อนาจาร 3. ความขัดแย้งส่วนตัวที่เกิดจากการเขียนเรื่อง แสดงความคิดเห็น หรือในกล่องรับส่งข้อความ (หลังไมค์) ต้องไม่นำมาโพสหรือขยายความต่อในบล็อก และการโพสเรื่องส่วนตัว และการแสดงความคิดเห็น ต้องใช้ภาษาที่สุภาพเท่านั้น 4. พิจารณาเนื้อหาที่จะโพสก่อนเผยแพร่ให้รอบคอบ ว่าจะไม่เป็นการละเมิดกฎหมายใดใด และปิดคอมเมนต์หากจำเป็นโดยเฉพาะเรื่องที่มีเนื้อหาพาดพิงสถาบัน 5.การนำเรื่อง ภาพ หรือคลิปวิดีโอ ที่มิใช่ของตนเองมาลงในบล็อก ควรอ้างอิงแหล่งที่มา และ หลีกเลี่ยงการเผยแพร่สิ่งที่ละเมิดลิขสิทธิ์ ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบหรือวิธีการใดก็ตาม 6. เนื้อหาและความคิดเห็นในบล็อก ไม่เกี่ยวข้องกับทีมงานผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซต์ โดยถือเป็นความรับผิดชอบทางกฎหมายเป็นการส่วนตัวของสมาชิก คลิ้กอ่านเงื่อนไขทั้งหมดที่นี่"
OKnation ขอสงวนสิทธิ์ในการปิดบล็อก ลบเนื้อหาและความคิดเห็น ที่ขัดต่อความดังกล่าวข้างต้น โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ต่อเจ้าของบล็อกและเจ้าของความคิดเห็นนั้นๆ
|
||
![]() ![]() |