กระแสข่าวร้ายของการฉีดวัคซีนป้องกันโควิค 19 ของสื่อทุกแขนง โดยเฉพาะข่าวที่มาทาง Line ทำให้คนไทยหวาดหวั่นไม่กล้าฉีดวัคซีน ข่าวร้ายที่ปล่อยออกมาจงใจดิสเครดิตรัฐบาล หากคนไทยส่วนใหญ่ไม่ฉีดวัคซีน อาจทำให้เกิดหายนะต่อประเทศชาติอย่างไม่ต้องสงสัย งบประมาณที่ซื้อวัคซีนจะเสียไปโดยไร้ประโยชน์เป็นเงินเท่าไหร่ ประชากรของประเทศติดโควิคอีกเท่าไหร่ ความล้มเหลวของระบบสาธารณสุขจะต้องเกิดขึ้นแน่นอน

การเปิดให้ประชาชนที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไปและผู้ที่มีที่อยู่ในกลุ่ม 7โรคเสี่ยง ผ่าน Line official account "หมอพร้อม" ในวันที่ 1 พค.64 ปรากฎว่ามีผู้ที่ลงทะเบียนฉีดวัคซีนน้อยมาก จำเป็นเป็นอย่างยิ่งที่รัฐบาลจะต้องสร้างความเชื่อมั่นและสร้างความมั่นใจให้กับประชาชน เพื่อให้ทุกคนได้รับวัคซีนอย่างทั่วถึง จนกระทั่ง ศ.ดร.นพ.ประสิทธิ์ วัฒนาภา ต้องออกมายกมือไหว้ขอให้คนไทยร่วมมือกันผ่านวิกฤติโควิดไปด้วยกัน โดยการไปฉีดวัคซีน ทำให้ยอดการลงทะเบียนกระเตื้องขึ้น ยังมีอีกปัจจัยหนึ่งที่ไม่อาจมองข้ามนั่นคือความไม่ถนัดในการใช้โปรแกรมในการลงทะเบียน "หมอพร้อม"ของผู้สูงอายุ  แต่ประการสำคัญที่สุดที่ทำให้การลงทะเบียนจองฉีดวัคซีนของผู้สูงอายุอยู่ในเกณฑ์ที่ต่ำจนหน้าตกใจ คือการขาดความเอาใจใส่ของผู้ว่าราชการจังหวัดที่ไม่ได้ให้ข้าราชการภายใต้ความดูแลออกทำความเข้าใจต่อพี่น้องประชาชน จะมีเพียงจังหวัดลำปางของผู้ว่าณรงค์ศักดิ์ โอสถธนากร เท่านั้นที่มียอดการลงทะเบียนกว่าสองแสนคน ทำให้เราคิดว่าผู้ว่าราชการจังหวัดแต่ละจังหวัดของประเทศไทยมีศักยภาพเพียงไร

หลังจากที่มีการเปิดเผยยอดการลงทะเบียนจองฉีดวัคซีนเผยแพร่ทางสื่อให้สาธารณชนได้ทราบ ทำให้แต่ละจังหวัดต้องเร่งทำการบ้านกันขนานใหญ่ อสม.ออกทำงานกันขยันขันแข็ง เดินเคาะประตูชาวบ้านเพื่อให้ลงทะเบียนฉีดวัคซีน นั่นแหละจึงทำให้วัคซีนโควิคไม่ต้องนอนแช่แข็งในห้องเก็บความเย็นต่ำ

ความหวาดหวั่นจากข่าวร้ายที่ส่งกันมาแทบทุกวัน มิได้ทำให้ผมหวั่นไหว  เมื่อรัฐบาลเปิดให้ลงทะเบียนจองฉีดวัคซีนในวันที่ 1 พค.ที่ผ่านมาและจองวันฉีดวัคซีนได้ตั้งแต่วันที่ 7 มิย. เป็นต้นไป ผมก็ได้ลงทะเบียนตั้งแต่วันแรก หมอพร้อมมีเวลาให้เลือกฉีดได้ทั้งวันแล้วแต่้ว่าเราจะสะดวกเวลาใด ผมเลือกในวันที่ 8 มิย. เพราะว่าวันที่เริ่มฉีดวันแรกคือวันที่ 7 ในวันนั้นการจัดการบริการคนจำนวนมากอาจจะขลุกขลักมีปัญหา หากมีปัญหาวันถัดมาคงได้รับการแก้ไข ซึ่งเป็นไปตามหลักการบริหารจัดการปัญหา 

โรงพยาบาลสงขลานครินทร์ หรือที่เรียกกันติดปากโดยทั่วไปว่า โรงพยาบาล มอ. เป็นโรงพยาบาลที่ดีที่สุดในภาคใต้ มีบุคลากรทางการแพทย์ที่ดีที่สุด มีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านมากที่สุด เป็นแหล่งผลิตแพทย์พยาบาลที่มีคุณภาพ มีอุปกรณ์เครื่องมือแพทย์ที่ทันสมัย

ถึงวันกำหนดฉีดวัคซีน ผมก็ไปตามนัด หลังจากฉีดวัคซีนกลับมาถึงบ้านผมยังคงประทับใจในการบริหารจัดการได้อย่างมืออาชีพ หมอ เภสัชกร พยาบาล รปภ.และเจ้าหน้าที่อื่นๆ รวมทั้งแม่บ้าน ที่ โรงพยาบาลระดมมาเพื่องานนี้ได้สร้างรอยประทับใจผู้มาใช้บริการฉีดวัคซีนเพื่อชาติในครั้งนี้เป็นอย่างยิ่ง แทบทุกคนมีแต่ความอิ่มเอิบมีแต่ความปลาบปลื้ม ที่มีกลุ่มบุคคลดีๆในรั้ว มอ.ที่ทำให้โลกสดใส โลกที่เต็มไปด้วยความใสบริสุทธิของจิตใจ

การจัดการดีอย่างไร บุคลากรที่จัดสรรมางานนี้ดีอย่างไรผมจะเล่าให้ฟัง

สำหรับคนที่ไม่เคยมาโรงพยาบาลสงขลานครินทร์ เมื่อขับรถเข้าไปจะเห็นป้ายบอกทางที่จะไปฉีดวัคซีนเป็นระยะๆ โดยไม่ต้องเสียเวลาสอบถามพนักงานรักษาความปลอดภัยที่ซุ้มประตู ขับรถไปตามเส้นทางที่ป้ายบอกไปเรื่อยๆก็ถึงสถานที่ฉีดวัคซีน พนักงานรักษาความปลอดภัยคอยโบกรถให้เข้าไปจอดในลานจอดรถที่กว้างขวาง

ขั้นตอนแรกที่เดินเข้าไปต้องตรวจวัดอุณหภูมิและล้างมือด้วยเจลแอลกอฮอลล์ แล้วก็รับแบบสอบถามประวัติเบื้องต้นจากเจ้าหน้าที่ ส่วนใหญ่เป็นคำถามที่ต้องติ๊กว่า "ไม่ใช่ " แล้วก็ลงลายมือชื่อยินยอมให้ฉีดวัคซีน ผมนึกถึงช่องที่เราลงลายมือชื่อยินยอมให้ฉีดวัคซีน ไม่น่าจะมีเพราะคนที่ไปฉีดไม่ได้ถูกบังคับหรือถูกมัดมือมัดเท้าให้ไปฉีดวัคซีน ทุกคนไปเพื่อป้องกันตัวเอง เพื่อให้วิถีชีวิตที่อยู่ในสังคมมีความปกติ ทุกคนต่างมีเกราะป้องกันตัวเองป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัส ความจริงแบบสอบถามและคำยินยอมมีอยู่ในไลน์หมอพร้อมอยู่แล้วแต่ระบบไม่สามารถให้เราติ๊กตอบแบบสอบถามได้

เสร็จจากขั้นตอนแรก เจ้าหน้าที่ก็จัดให้ไปนั่งพักคอยในโถงพักเป็นชุดๆ ราวชุดละ 30 คน เพื่อรอลงทะเบียน การจัดระเบียบจัดได้ดีมาก เมื่อได้คิวลงทะเบียนก็นำบัตรประชาชนเข้าไปเสียบในช่องอ่านข้อมูล เพื่อเปรียบเทียบกับข้อมูลที่ลงทะเบียนกับหมอพร้อม จะมีวันเดือนปีเกิด สถานที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์ที่ลงทะเบียน ตรวจสอบว่าถูกต้องหรือไม่หากถูกต้องเราก็กดยืนยัน เสร็จแล้วเจ้าหน้าที่ก็นำเข้าไปนั่งในแถว สักครู่หนึ่งน้องๆพยาบาลก็ทยอยวัดความดัน ส่วนใหญ่ก็อยู่ในเกณฑ์ที่สามารถฉีดวัคซีนได้ หากใครความดันสูงไปหน่อยก็นั่งคอยอีกสักห้านาทีหรือมากกว่านั้น พยาบาลก็มาวัดซ้ำปรากฎว่าความดันลดลง สาเหตุส่วนใหญ่มาจากความตื่นเต้นเมื่อมาโรงพยาบาล ใช้เวลาขั้นตอนนี้ไม่นานก็ได้คิวให้พยาบาลซักประวัติ  เมื้อผ่านขั้นตอนนี้แล้ว คราวนี้แหละที่จะต้องไปนั่งรอพยาบาลฉีดวัคซีนในใจอดตื่นเต้นไม่ได้ฉีดแล้วจะเป็นอะไรหรือเปล่า นั่งดูผู้เข้าฉีดวัคซีนคนก่อนๆทุกคนสดชื่น ถึงคิวผมแล้วหละ พยาบาลบอกว่าทางโรงพยาบาลคัดพยาบาลฝีมือดีๆมาทั้งนั้น การฉีดจะเบาเหมือนปุยนุ่น จะไม่รู้สึกอะไรเลย ผมนึกถึงข่าวที่ดูในทีวีถึงวิถีการฉีดของฝรั่ง พยาบาลแต่ละคนปักเข็มฉีดยาลงบนต้นแขน เห็นแล้วเสียวสยอง ผิดกับพยาบาลของไทยที่มีแต่ความนุ่มนวล ฉีดแล้วแทบไม่รู้สึกว่าได้ฉีดวัคซีนไปแล้ว

ฉีดแล้วไปไหน ต้องไปนั่งรอดูอาการ 30 นาที ด้านหน้าจะมีนาฬิกาดิจิตอลให้ดูเวลา ระหว่างนั่งรอก็มีเภสัชกร พยาบาล หมอ เดินสังเกตุอาการผู้ที่ได้รับซีนว่าใครมีอาการผิดปกติหรือเปล่า ใครที่นั่งรอจวนจะครบ 30 นาทีก็ยกมือให้พยาบาลมาวัดความดันอีกครั้งหนึ่ง เกือบทั้งหมดความดันปกติ ส่วนผมความดันพุ่งไปถึง 168 ตัวล่าง 101 ต้องนั่งรออีกราวๆสิบนาที คราวนี้ความดันลดลงจนอยู่ในเกณฑ์ปกติ ระหว่างที่เครื่องวัดความดันทำงาน พยาบาลให้นั่งหลับตาหายใจเข้าลึกๆหายใจออกยาวๆ

ระยะเวลาที่ใช้ในการเข้ารับการฉีดวัคซีนตั้งแต่ข้าไปถึงสถานที่ใช้เวลาไปไม่นาน เสร็จตามเวลา ผมลงทะเบียนฉีดวัคซีนเวลา 09.00 น. ได้ฉีด 09.02 น. พยาบาลให้นั่งรอจนถึงเวลา 09.33 น.

กลับถึงบ้านเจอหน้าพี่เปี๊ยกเพื่อนบ้านใกล้เรือนเคียง

ผม......พี่เปี๊ยกไปฉีดวัคซีนแล้วยัง

พี่เปี๊ยก....ให้ปี๊ดไปฉีดก่อน ปลายเดือนหน้าผมค่อยไปฉีด

ผม...ทำไมไม่ไปฉีดพร้อมกันทีเดียวเลยหละไม่ต้องเสียเวลา

พี่เปี๊ยก....คุณไม่รู้อะไร ให้ปี๊ดไปฉีดก่อนนะดีแล้ว เกิดเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ ผมจะได้สี่แสนจาก สปสช.ไง

555 ผมก็ว่าแกพูดเล่น แกรักเมียจะตาย

___________________________________