*/
เกาะเต่า-เกาะนางยวน | ||
![]() |
||
ไปเที่ยวมาเมื่อวันที่ 21 - 24 สิงหาคม 2550 มีแต่ฝรั่งเต็มเกาะเลยครับ...... |
||
View All ![]() |
<< | กันยายน 2008 | >> | ||||
อา | จ | อ | พ | พฤ | ศ | ส |
1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 | |
7 | 8 | 9 | 10 | 11 | 12 | 13 |
14 | 15 | 16 | 17 | 18 | 19 | 20 |
21 | 22 | 23 | 24 | 25 | 26 | 27 |
28 | 29 | 30 |
ด่านที่ทอดเรือภายนอกเกาะสีชัง ความหลังที่ไม่เคยลืม ..........ผมรู้จักเกาะสีชังครั้งแรก ก็เมื่อต้องไปฝึกงานที่ ด่านที่ทอดเรือภายนอก เกาะสีชัง เมื่อครั้งยังศึกษาอยู่ที่ โรงเรียนศุลกากร ราวต้นปี 2523 ซึ่งนักเรียนจากโรงเรียนศุลกากรทุกนาย จะต้องมาฝึกงานที่ ด่านที่ทอดเรือภายนอกเกาะสีชัง แห่งนี้ ทุกคน รุ่นผมนับเป็นรุ่นที่ 17 ของนักเรียนโรงเรียนศุลกากร ซึ่งได้เปลี่ยนชื่อมาจากเดิมที่ชื่อ โรงเรียนศุลการักษ์ .........การได้มาฝึกงานที่นี่ ได้กินนอนอยู่บนเกาะ ทำกิจกรรม เล่นกีฬา และออกไปฝึกงาน กลางทะเลเพื่อเรียนรู้งานของ ด่านที่ทอดเรือภายนอกเกาะสีชัง แม้จะหนัก เหนื่อย แต่ก็มีความสุขและนับเป็นความภูมิใจ ของนักเรียนศุลกากรทุกรุ่นที่ได้มาฝึกงาน ณ สถานที่แห่งนี้ .........ด่านที่ทอดเรือภายนอกเกาะสีชัง จัดตั้งขึ้นตาม พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ.2469 มาตราที่ 72 ซึ่งบัญญัติไว้ว่า มาตรา ๗๒ อธิบดีอาจกำหนดที่ทอดเรือภายนอกสำหรับท่ากรุงเทพฯ หรือ ท่าอื่นเพื่อให้เรือถ่ายสินค้าออก หรือบรรทุกสินค้าลงทั้งหมดหรือแต่ส่วนใดส่วนหนึ่ง และอาจกำหนดเวลาที่จะให้ใช้ ที่ทอดเรือภายนอกนั้น และออกข้อบังคับสำหรับกรม เพื่อเจ้าหน้าที่ศุลกากรกำกับตรวจตรา และควบคุมที่ทอดเรือภายนอกนั้นได้ด้วย ถ้าผู้ใดทำผิดหรือเกี่ยวข้องในการกระทำผิดต่อข้อบังคับนี้ก็ดี หรือพยายาม หรือเกี่ยวข้องในการพยายามกระทำผิดต่อข้อบังคับนี้ก็ดีท่าน ว่าผู้นั้นมีความผิดต้องระวางโทษปรับไม่เกิน หนึ่งหมื่นบาท แต่การที่ต้องรับผิดตามมาตรานี้ หากกระทำให้ผู้นั้นหลุดพ้นไปจากความรับผิดตามบทอื่น แห่งพระราชบัญญัตินี้หรือกฎหมายอื่นได้ไม่ .......อ่านแล้วหากท่านผู้ชมไม่ได้อยู่ในแวดวงศุลกากร ก็คงจะยังงงๆว่ามันหมายความว่ายังไง คือยังงี้ครับ อันว่าท่าเรือกรุงเทพฯของเรา หรือว่าท่าเรือคลองเตยนั่นแหละ มีสถานที่ซึ่งสถิตอยู่ภายในริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่งหากมีเรือสินค้าจากต่างประเทศมา ก็ต้องเข้ามาทางลำน้ำเจ้าพระยา ผ่านปากน้ำสมุทรปราการ เข้ามาเป็นระยะทางโขอยู่กว่าจะถึง ท่าเรือคลองเตย ทีนี้มันก็จะมีเรือสินค้าซึ่งบางลำใหญ่โต มีระวางเรือเป็นหลายหมื่นตันหรือเป็นแสนตันก็มี มันไม่สามารถที่จะแล่นเข้ามาในลำน้ำเจ้าพระยา เพื่อมาขนถ่ายสินค้าที่ท่าเรือคลองเตยได้ ......เขาก็เลยต้องมีกฎหมายมาตรานี้ขึ้นมาเพื่อ จัดตั้ง ที่ทอดเรือภายนอก ขึ้นมา สำหรับขนถ่ายสินค้านอกท่าเรือคลองเตย แล้วก็ลำเลียงสินค้านั้นมาขึ้นที่ท่าเรือคลองเตย เพื่อชำระภาษีอากร แล้วก็กลับกัน สำหรับสินค้าขาออก ก็ต้องมาทำใบขนสินค้าขาออกชำระภาษีอากร ที่ท่าเรือคลองเตยให้เสร็จสิ้น แล้วก็ลำเลียงสินค้านั้นไปขึ้นเรือที่ ที่ทอดเรือภายนอก ซึ่งผ่านมาจนถึงทุกวันนี้ที่ทอดเรือภายนอก ก็ยังคงมีเพียงแห่งเดียว นั่นก็คือ ด่านที่ทอดเรือภายนอกเกาะสีชัง ซึ่งเป็นที่ทอดเรือภายนอกของท่าเรือกรุงเทพฯ หรือท่าเรือคลองเตยในชื่อที่เราคุ้นเคย .......ที่ทอดเรือภายนอก จึงมีสภาพเป็นเพียงด่าน ที่กำกับดูแล ควบคุมขนถ่ายสินค้าเท่านั้น ไม่มีอำนาจในการจัดเก็บภาษีอากรแต่อย่างใด การจัดเก็บอากรก็ยังคงเป็นหน้าที่ของด่านฯใหญ่ ซึ่งก็คือท่าเรือกรุงเทพฯ แต่ในปัจจุบันหลังจากที่มีการสร้างท่าเรือน้ำลึกแหลมฉบังขึ้น และมีการจัดตั้ง สำนักงานศุลกากรท่าเรือแหลมฉบัง เพื่อดูแลการนำเข้าและส่งออกสินค้า ที่ผ่านทางท่าเรือแห่งนี้ ด่านที่ทอดเรือภายนอกเกาะสีชัง ก็เปลี่ยนต้นสังกัดจาก ท่าเรือกรุงเทพฯมาเป็นท่าเรือแหลมฉบังแทน .......และภารกิจของ ด่านที่ทอดเรือภายนอกเกาะสีชัง ก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย จากเรือสินค้าลำใหญ่ๆที่ไม่สามารถเข้าขนถ่ายสินค้า ที่ท่าเรือกรุงเทพฯได้ ก็เปลี่ยนเป็นการขนถ่ายสินค้าที่เป็นมลภาวะต่อสิ่งแวดล้อมเป็นหลัก อาทิเช่น แป้งมันสำปะหลัง ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ที่การขนถ่ายแต่ละครั้ง จะปรากฏฝุ่นฟุ้งไปหมด .......หลังจากที่ได้พบกับ ด่านที่ทอดเรือภายนอกเกาะสีชัง ในครั้งแรกเมื่อตอนได้ไปฝึกงาน ในครั้งที่ยังเป็นนักเรียนศุลกากร ผมก็มีโอกาสได้พบกับ ด่านที่ทอดเรือภายนอกเกาะสีชัง อีกครั้งในปี 2526 เมื่อได้รับการโยกย้ายจาก คลังของกลาง ซึ่งอยู่ภายในที่ตั้งของกรมศุลกากร มาทำงานที่เกาะสีชังนี้ ส่วนสาเหตุแห่งการโยกย้าย ท่านผู้ชมลองย้อนกลับไปอ่าน ในเรื่อง เพื่อนรักที่เคารพตอนแต่งงาน ดูนะครับ หรือตามลิ้งค์นี้ไปก็ได้ครับ http://www.oknation.net/blog/Pepsi8/2008/04/17/entry-1 ........ผมย้ายกลับมาอยู่ในกรมศุลกากร ที่ฝ่ายควบคุมเรือในท่าอีกครั้งในปี 2528 แล้วผมก็ไม่ได้กลับไปที่ เกาะสีชังอีกเลย ทั้งๆที่ใจคิดถึงอยู่เสมอ ยิ่งเมื่อได้เห็นใครๆไปเที่ยวเกาะสีชัง แล้วก็มาโพสเรื่องราวลงบล็อก ผมยิ่งจะอยากไปใจจะขาดรอนๆ จนกระทั่งเมื่อวันที่ 3 กันยายน ที่ผ่านมา ที่ผมก็ได้มีโอกาสกลับไปที่เกาะแห่งนี้อีกครั้งหนึ่ง ไปเยี่ยมถิ่นเก่า ไปเยี่ยมผู้คนเก่าๆและไปเยี่ยมเยียนความมีชีวิตชีวาใหม่ๆของ เกาะสีชัง ความหลังที่ผมไม่เคยลืม....ตามผมไปเที่ยวกันดีกว่าครับ..... ........ด่านที่ทอดเรือภายนอกเกาะสีชัง....จะตั้งอยู่ที่หน้าเกาะ ถ้าท่านขึ้นเรือที่ท่าเทวะวงษ์หรือท่าล่าง...มองไปทางซ้ายมือ ก็จะเห็นท่าเทียบเรือของ "ด่านที่ทอดเรือภายนอกเกาะสีชัง" อยู่เคียงคู่ขนานกันกับท่าจอดเรือ "เทวะวงษ์" โดยมีหน่วยงานที่อยู่ตรงกลางก็คือ "สถานีตำรวจเกาะสีชัง".... .....อาคารที่ทำการของ "ด่านที่ทอดเรือภายนอกเกาะสีชัง" จะสร้างขึ้นเมื่อไหร่....ผมก็จำไม่ได้เสียแล้ว....แม้แต่ตัว "ด่านที่ทอดเรือภายนอกเกาะสีชัง" เอง...จะตั้งขึ้นเมื่อไหร่ก็ไม่ทราบได้...แต่ถ้าจะดูความในพระราชบัญญัติศุลกากรฉบับแรกเริ่มคือฉบับ พ.ศ.2469....ก็มีปรากฎข้อความของมาตรา 72 เรื่องการตั้ง "ที่ทอดเรือภายนอก" ไว้อยู่แล้ว...นั่นย่อมแสดงให้เห็นว่า...ผู้ตรากฎหมายฉบับนี้ ย่อมเล็งเห็นแล้วว่าจะต้องมี...ที่ทำการเช่น "ที่ทอดเรือภายนอก" นี้ ไว้สำหรับเพื่อทำการขนถ่ายสินค้าจากเรือที่มิอาจจะเข้าท่าได้อยู่แล้ว.... .......ประตูนี้บอกว่าสร้างเมื่อ พ.ศ.2507....เป็นประตูสำหรับเดินจากที่ทำการด่านฯ ลงไปยังท่าเทียบเรือของศุลกากร ซึ่งอยู่ด้านล่าง.... .......อาคารเรือนแถวไม้นี้แหละครับ ที่เป็นบ้านพักอาศัยของผม เมื่อครั้งมารับราชการอยู่ที่นี่ในปี พ.ศ.2526-2528 ตอนนั้น ยังมีตำแหน่งเป็น "ศุลการักษ์" อยู่ครับ....ผ่านมากว่า 20 ปี เรือนแถวไม้เหล่านี้...ก็ยังรับใช้ชาวประชาชาว "ด่านที่ทอดเรือภายนอกเกาะสีชัง" อยู่ได้ อย่างทรนง...ปัจจุบันนี้ เป็นเรือนพักของพนักงานประจำเรือครับ.... ........ต้นลั่มทมต้นนี้...มีป้ายปักไว้บอกว่าอายุกว่า 150 ปี...คงเป็นต้นลั่นทม เมื่อครั้งที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5 ทรงนำมาปลูก ในครั้งที่สร้างพระตำหนักจุฑาธุชราชฐาน พระราชวังฤดูร้อนบนเกาะสีชังแห่งนี้.... .......ต้นใหญ่ไหมครับ...... .......เรือโป๊ะเหล่านี้แหละครับ....คือเรือที่ใช้ลำเลียงสินค้ามาขึ้นเรือใหญ่ที่นี่....แต่เดิมเรือโป๊ะเหล่านี้จะมีชื่อเรียกว่า "ฉลอม" และ "กระแชง" ฉลอมเป็นเรือไม้ กระแชงเป็นเรือเหล็ก ปัจจุบันฉลอมจะไม่ค่อยมีให้เห็นแล้วครับ คงมีแต่กระแชง แต่คนก็ไม่ค่อยจะนิยมเรียกว่า "กระแชง" แล้วครับ...คงเรียกรวมๆกันว่า "เรือโป๊ะ" อย่างเดียว.... ......เห็นฝุ่นที่ฟุ้งจากเรือใหญ่ไหมครับ....นั่นแหละครับคือสาเหตุที่ต้องมาทำการขนถ่ายสินค้ากันที่ท้องทะเลแห่งนี้.... ......คงจะเป็นแป้งมันสำปะหลังแหละครับ.....การบรรทุกขนถ่ายสินค้าที่ไม่มีการบรรจุภัณฑ์อย่างนี้...เขามีศัพท์เรียกกันว่า....Bulk Cargo.....ครับ .......แต่ไม่ใช่จะมีแต่....Bulk Cargo....เท่านั้นนะครับ ที่มาขนถ่ายที่เกาะสีชังนี้ บางทีพวกบรรจุกระสอบ อย่างข้าว หรือน้ำตาลทราย ก็มาขนถ่ายกันที่นี่เหมือนกัน.... ......เรือสินค้าอยู่ตรงกลาง....สองข้างเป็นเรือเครนช่วยกันจับยกสินค้าขนถ่ายจากโป๊ะสู่เรือใหญ่ครับ.... ......ผมยืนถ่ายจากท่าเทวะวงษ์หรือท่าล่าง...ที่เรือโดยสารจากศรีราชาจะต้องมาจอดให้ผู้โดยสารขึ้นลงที่นี่...ท่าเรือทางขวามือนั่นแหละครับคือท่าเรือของ "ด่านที่ทอดเรือภายนอกเกาะสีชัง" ส่วนเกาะที่เห็นไกลๆนั่นคือ "เกาะขามใหญ่" เกาะที่เป็นตำนานหน้าหนึ่งของชีวิตผมครับ.... .....ในค่ำคืนหนึ่ง ในช่วงที่ผมรับราชการที่ "ด่านที่ทอดเรือภายนอกเกาะสีชัง" แห่งนี้ ช่วงหัวค่ำ พวกเรามักจะมานั่งเล่นชมวิวกินลมกันที่ท่าเรือของด่านฯ ที่นี่ ซึ่งส่วนใหญ่คนทั่วไปจะเรียกกันว่า "ท่าด่านฯ" พวกเราก็จะมานั่งคุยกัน เล่นกัน หรือบางทีก็มานั่งตกหมึกแล้วก็เอาขึ้นมาย่างกินกันสดๆตรงนั้น เกาะสีชังปลาหมึกเยอะครับ แถมอร่อยอีกด้วย.... .....ในหัวค่ำวันนั้น อากาศที่เกาะสีชังเย็นสบาย ไม่มีลมไม่มีฝน พวกเราก็มาพูดคุยแซวกันเล่นเป็นปกติ แล้วก็มีใครคนหนึ่งเอ่ยขึ้นว่า "ถ้าใครสามารถว่ายน้ำจากท่าด่านฯไปเกาะขามใหญ่ได้จะให้ 500 บาท" ขณะที่คนอื่นๆก็ขานรับขึ้นมาทันทีด้วยความสนุกสนาน เพราะไม่คิดว่าจะมีใครอาสา รวมๆแล้ว 4 คน เป็นเงิน 2,000 บาท ความท้าทายเกิดขึ้นแล้ว.... ......ผมยกมือทันที แถมกล่าวต่อไปด้วยว่าผมจะว่ายไปเอง แล้วก็ว่ายไปกลับด้วยไม่ใช่ว่ายไปเกาะขามใหญ่เที่ยวเดียว เมื่อมีคนรับคำท้ากติกาก็ถูกกำหนดขึ้น ว่าคนว่ายห้ามใช้เครื่องช่วยหายใจใดๆทั้งสิ้น ซึ่งผมก็โอเค โดยจะใช้เพียง ก็อกเกิ้ล หรือแว่นตาสวมว่ายน้ำเพียงอย่างเดียว ไม่ใช้ "สน็อกเกิ้ล" ซึ่งเป็นแว่นที่มีท่อหายใจอยู่ข้างๆ.... ....."ฟิน" หรือตีนกบไม่ต้องพูดถึงเพราะไม่มีอยู่แล้ว.....ข้อสำคัญคือ "พยาน" หรือผู้รู้เห็นว่าผมได้ว่ายไปถึงเกาะขามใหญ่แล้ว แล้วก็ว่ายกลับมาแล้ว จะทำอย่างไร? ผมก็เสนอไปว่า ผมจะขึ้นไปหาเจ้าหน้าที่ กพ.ซึ่งมาพักอยู่ที่เกาะขามใหญ่ และเมื่อเย็นวันนี้เราก็ได้ทานข้าวร่วมกันไปแล้ว เขารู้จักพวกเราเป็นอย่างดี พรุ่งนี้เช้าเขาก็ต้องข้ามฝั่งมาที่ที่ทำการด่านฯ เพื่อมาพบนายด่านฯ....พวกพี่ๆเขาก็เลยโอเค....!!! .....ผมเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นกางเกงว่ายน้ำตัวเดียว แล้วก็แว่นตาว่ายน้ำ "ก็อกเกิ้ล" หนึ่งอัน....แต่ยังไม่ทันจะได้กระโดดลงน้ำทะเล ก็มีเสียง "ผมไปด้วยๆ" หันมาเห็นเจ้าปราโมทย์ ศุลการักษ์รุ่นน้องผมหนึ่งปี เปลี่ยนเป็นชุดว่ายน้ำ ขอไปกับผมด้วย..... .....ผมว่ายไปกับปราโมทย์สองคน...เป้าหมายเพื่อข้ามทะเลไปยังเกาะขามใหญ่.....ที่เห็นไกลๆอยู่ข้างหน้า...และมีเพียงแสงไฟจากบ้านพักเพียงหนึ่งดวงเท่านั้น....!!! การผจญภัยเริ่มขึ้นแล้ว....ขณะนั้นเวลา 21.00 น.....สามทุ่ม !!! .....ผมว่ายฟรีสไตล์บ้าง ลอยคอตีน้ำไปอย่างเดียวบ้าง รอบข้างมีแต่พรายน้ำ กับฝูงปลาตัวเล็กซึ่งมักจะเข้ามาตอดตามผิวหนังของเรา มันคงอยากจะรู้ว่าสัตว์ประหลาดสองตัวนี้ คืออะไรหนอ กินได้ไหมหนอ นานๆทีเราก็สะดุ้งเฮือกเอากับเต่าทะเล ที่ว่ายมาชนกัน แล้วต่างคนต่างก็ตกใจว่ายหนีกันไปคนละทาง..... ......ผมว่ายมาถึงครึ่งทางก็ได้ยินเสียงเครื่องเรือ....นึกในใจว่าพวกพี่ๆเขาคงจะเอาเรือออกมาดูว่าพวกเราไปจริงไหม....แต่ความคิดนี้ผิดถนัดเพราะที่แท้จริงพวกพี่ๆเขาเริ่มรู้แล้วว่าพวกผมเอาจริง จะว่ายไปเกาะขามจริงๆ หลังจากทีแรกเขาคิดว่าพวกผมล้อเล่น คงแค่ว่ายน้ำอยู่ริมฝั่งแค่นี้ไม่กล้าว่ายข้ามทะเลดึกๆอย่างนี้หรอก....พวกพี่ๆเขาก็เลยเริ่มกลัว ว่าน้องๆจะไปอะไรไปก็เลยออกไปเช่าเรือมาตามหาผม....!!! ......สรุปว่าผมคิดผิดและพวกพี่ๆก็คิดผิด....รวมทั้งเรือที่ออกตามเราก็ไปผิด.....คนละทิศทางกับที่ผมว่ายไปเลย....และทิศทางที่ผมว่ายไปก็ผิดทางเช่นเดียวกัน....เมื่อว่ายๆไปเจอเรือโป๊ะจอดอยู่เรียงราย ทำให้ผมกับปราโมทย์เริ่มรู้แล้วว่า...เรากำลังจะออกไปนอกเกาะ....!!! .....คือน้ำทะเลในช่วงนั้นกำลังขึ้น...มันไหลจากท้ายเกาะไปสู่หัวเกาะ หรือไหลจากท่าบนไปยังท่าล่าง...ในขณะเดียวกัน ด้วยความที่ท้องฟ้ามืดมิด และบนเกาะขามใหญ่ ซึ่งปกติก็ไม่ค่อยจะมีคนพักก็มืดมิดด้วย คงมีเพียงแสงไฟจากบ้านพัก ที่เจ้าหน้าที่ กพ.มาพักอยู่เพียงดวงเดียวเท่านั้น ที่เป็นสัญญาณ เป็นเป้าหมายให้เราเล็งได้ เราสองคนจึงไม่รู้ตัวเลยว่าได้ว่ายเฉียงออกไปเรื่อย จนกระทั่งเจอเรือโป๊ะที่จอดอยู่หัวเกาะ เราถึงได้รู้ว่าเราจะหลุดออกนอกเกาะแล้ว...อันตราย...!!! ......ผมกับปราโมทย์จึงต้องว่ายเฉียงกลับมายังเกาะขามใหญ่อีกครั้ง...และใช้เวลาไม่นานก็มาถึงชายฝั่งของเกาะขามใหญ่...เพราะครั้งนี้เราทั้งจ้วงทั้งตีขา มาอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย เพราะความกลัวว่าจะลอยไปตามน้ำแล้วหลุดไปนอกเกาะ.... ......พอจะขึ้นฝั่ง ก็เกิดปัญหาอีก เมื่อเท้าของเราสัมผัสกับสิ่งแหลมคม จนต้องชักเท้ากลับอย่างเร็ว มุดน้ำลงไปดู....ก็เจอหอยเม่นมาชุมนุมกันเต็มไปหมด....!!! ผมก็เลยต้องเอามือแหวกหอยเม่นให้เห็น ทรายขาวๆ แล้วก็เอาเท้าวางบนทรายให้ได้....จากนั้นก็เดินเตะหอยเม่นไปจนขึ้นฝั่งได้....!!! ......คือธรรมชาติของหอยเม่นมันจะมีหนามแหลมที่ชี้ชันขึ้นข้างบนครับ ด้านล่างของมันจะไม่มีหนามแหลม ฉะนั้น พวกสัตว์ที่กินเนื้อหอยเม่นทั้งหลาย เช่น งู หรือปลาบางชนิด มันจึงเอาหัวดุนๆให้หอยเม่นหงายหลัง แล้วก็จัดการกัดกินกับเนื้อภายในหอยเม่น แต่ถ้าบังเอิญไปโดนหนามหอยเม่นเข้าละก็ ปวดแสบปวดร้อนทีเดียวแหละครับ เพราะหนามหอยเม่นเมื่อแทงแล้วก็จะหัก คาอยู่ภายในผิวหนัง แล้วบางทีก็ไหลไปตามกระแสเลือด วิธีแก้เขาก็เลแนะนำให้ทุบตรงที่หอยเม่นตำ เพื่อให้หนามหอยเม่นละเอียด แล้วก็ละลายไปเอง เพราะหนามหอยเม่นเป็นเพียงแคลเซี่ยมเท่านั้น... .....ผมขึ้นฝั่งไปพบเจ้าหน้าที่ กพ. กำลังนั่งผิงไฟ กินกาแฟอยู่ ก็เลยเล่าให้เขาฟังถึงเรื่องที่เรามีการพนันขันต่อกัน แล้วก็วานให้พี่เขาเป็นพยานให้พวกผมสองคนด้วยในวันพรุ่งนี้.... .....ผมสองคนกินกาแฟกันคนละแก้ว แล้วก็โดดลงทะเลว่ายน้ำกลับ ตอนนั้นเริ่มสังเกตได้ว่าที่ท่าด่านฯ มีคนอยู่กันคึกคัก ขากลับเราว่ายกันเพียงไม่นานก็ถึงท่าด่านฯ เพราะเรารู้แล้วว่ากระแสน้ำพัดไปทางไหน.... ......แต่เมื่อถึงท่าด่านฯนี่สิ ก็ต้องตกตะลึง เพราะทั้งนายด่านฯซึ่งปกติ ท่านจะไม่เคยลงมาที่ท่านี้เลย เนื่องจากขาไม่ค่อยจะดี ยังมีพี่ๆนายตรวจ ชาวบ้านละแวกนั้นมาอยู่กันเต็มไปหมด และเมื่อเห็นผมกับปราโมทย์ ต่างก็ส่งเสียงเอะอะ ทำนองดีใจว่า "มันกลับมาแล้วโดยปลอดภัย" ผมกลับขึ้นมาบนท่าด่านฯ ก็ไม่ฟังอีร้าค่าอีรม ขอเงินเดิมพันก่อนเลยสองพัน พวกพี่ๆเขาร้องกันเป็นแถบ ทำนองว่ายังจะมีอารมณ์มาทวงเงินอีก ไม่รู้หรือไงว่าเขาเป็นห่วงกันแค่ไหน...แต่ก็รีบควักเงินให้ผมโดยดี ผมก็แบ่งกับเจ้าปราโมทย์คนละพัน...!!! .....ที่จริงวันนั้นเกิดเรื่องซีเรียสไปทั้งด่านฯ เมื่อพวกพี่ๆเขาเริ่มรู้ว่า พวกผมว่ายน้ำไปเกาะขามใหญ่จริงๆ ก็เริ่มรู้สึกกลัวกันว่าหากผมสองคนเป็นอะไรไป พวกพี่ๆเขาก็ต้องโดนโทษทัณฑ์แน่ๆ ฐานที่เป็นต้นเหตุท้าทายให้น้องออกไปเสี่ยงตายกลางทะเลอย่างนั้น พี่คนหนึ่งก็ออกไปเช่าเรือตามหาผม พี่อีกคนก็ไปแจ้งให้นายด่านฯทราบ แล้วทีนี้ก็เลยโกลาหลกันไปทั้งด่านฯ พี่นายตรวจคนหนึ่งชื่อพี่ "เกษม เปี่ยมวิมล" ถึงกับลงทุน ยกมือไหว้ติดสินบนเจ้าพ่อเขาใหญ่ ว่าถ้าผมสองคนกลับมาอย่างปลอดภัย จะถวายลิเกหนึ่งโรง....แล้วพี่เขาก็ต้องเสียเงินไป 1,500 บาทค่าแก้บนเจ้าพ่อเขาใหญ่ด้วยลิเกหนึ่งโรง...!!! .....แล้วพอวันรุ่งขึ้น...เมื่อเรือของพี่เจ้าหน้าที่ ก.พ.คนนั้นมาถึงท่าด่านฯ...พี่เขาก็ตะโกนก้องมาแต่ในเรือว่า...เขาเป็นพยานให้ๆ...ว่าผมสองคนว่ายไปถึงฝั่งโน้นจริง...พวกผมก็ทั้งขำและทั้งเซ็ง เนื่องจากว่าเมื่อคืนที่ผ่านมาโดนผู้ใหญ่ๆอบรมกันมาทั้งคืนฐาน "เล่นพิเรนทร์"....!!! ......สีชังวิวรีสอร์ท....เป็นรีสอร์ทที่ผมไปพักในวันนั้น....ที่พักก็สะดวกสบายใช้ได้ครับ...สีชังวิวรีสอร์ทตั้งอยู่ที่ช่องเขาขาด สถานที่ที่เป็นจุดชมวิวพระอาทิตย์ตกน้ำที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศไทย.... ......นี่แหละครับที่ตั้งของช่องเขาขาด...สีชังวิวรีสอร์ทจะอยู่ปากทางเลยครับ....ช่องเขาขาดในวันนี้ ได้พัฒนาเป็นสถานที่ท่องเที่ยวอย่างเต็มตัวแล้วครับ มีสะพานคอนกรีตทอดลงไปอย่างแข็งแรงและสวยงาม สำหรับนักท่องเที่ยวที่จะลงไปตกปลายังด้านล่าง....ผิดกับสมัยเมื่อผมอยู่ที่จะต้องปีนลงไปหากจะลงไปด้านล่าง.... ......นี่คือ "ช่องเขาขาด" ในปี พ.ศ.2551 ดูมีสง่ราศรีกว่าเมื่อปี 2526 เยอะเลยครับ.... ......คุณนายหมูเธอเอียงคอแล้วก็ถามผมว่า....เย็นนี้จะกินคอหมูย่างไหม...!!! ......รูปของผมในปี พ.ศ.2551...คงจะไม่ดีเท่าปีเมื่อ พ.ศ.2526 เป็นแน่....!!! ......สะพานอัษฎางค์ ที่บริเวณที่ตั้ง "พระตำหนักจุฑาธุชราชฐาน" พระที่นั่งกลางทะเลแห่งเดียวในประเทศไทย ที่จริงพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 พระองค์ทรงโปรด พระตำหนักฤดูร้อนแห่งนี้มาก ทรงเสด็จมาประทับบ่อยครั้ง แต่เมื่อเกิดเหตุการณ์ใน ร.ศ.112 ที่ฝรั่งเศสขนเรือปืนมาปิดน่านน้ำไทย ทำให้มีการต่อสู้กันเกิดขึ้น ทำให้ทรงวิตกว่า พระตำหนักแห่งนี้จะไม่ปลอดภัย จึงโปรดให้รื้อเสีย แล้วมาสร้างใหม่เป็นพระตำหนักวิมานเมฆที่กรุงเทพฯ...แล้วพระตำหนักวิมานเมฆนั้นสวยขนาดไหน พระตำหนักจุฑาธุชราชฐานในอดีตก็น่าจะสวยขนาดนั้น...!!! ......ในวันนั้นลมสงบ ทะเลเรียบ ทำให้ผมได้เดินถ่ายรูปและรำลึกความหลัง อย่างเพลิดเพลินใจ.... .......ที่พระตำหนักจุฑาธุชราชฐาน หรือที่ชาวเกาะสีชังเรียกสั้นๆว่า "ท่าวัง" นี้ ถือเป็นสมบัติล้ำค่าของชาวเกาะเชียวครับ....ใครไปใครมาถ้าถามชาวเกาะสีชังว่ามีที่เที่ยวที่ไหนบ้าง..."ท่าวัง" จะเป็นชื่อแรกที่ชาวเกาะสีชัง นำเสนอ.... ......สถานที่ "ท่าวัง" ในวันนี้ มีการบูรณะพัฒนาไปอย่างน่ายลเชียวแหละครับ...ไม่หวือหวาเกินเหตุ...แต่ก็ไม่เลอะเทอะรกร้างอย่างแต่ก่อน....ด้านหน้าจะเป็นศูนย์วิจัยทางทะเลของมหาวิทยาลัยจุฬาลงกรณ์ด้วย....แถมมีพิพิธภัณฑ์ทางทะเลเล็กๆไว้ให้ศึกษาอย่างน่าสนใจเชียวครับ.... .....ที่ผมชอบมากๆของท่าวังก็นี่เลยครับ..."ดอกลั่นทม"....ที่ปลูกไว้ตั้งแต่เมื่อครั้งสร้าง พระตำหนักจุฑาธุชราชฐาน ขึ้นที่นี่ ทั้งดอกและต้นสวยสง่ามีเสน่ห์...จับจิตจับใจผมเชียวแหละครับ... ....และสะพานอัษฎางค์ แห่งนี้ก็ถือได้ว่าเป็น "โลโก้" หนึ่งของท่าวัง....ใครไปใครมาก็ต้องถ่ายรูปที่นี่.....เพราะถ่ายแล้วมันสวยดี....ขนาดผมฝีมือไม่ได้ระดับเทพอย่างย่าดา, แป๋ม หรือเลิฟคอนโด ยังถ่ายได้สวยเลยเห็นไหม?..... ......ภาพนี้จะตั้งชื่อว่าอะไรดี...."ตามเชือก"...หรือว่า..."อยู่ด้วยเชือก"....ผมไม่ได้ไปตามรอยราชมรรคากับเขา...ไปแต่ตามรอยอดีตที่เกาะสีชังแห่งนี้....แล้วจะส่งภาพนี้เข้าประกวดกับเขาได้ไหมหนอ....!!! .....ยังหาที่มาของชื่อ....สะพานอัษฎางค์.....มาฝากท่านผู้ชมไม่ได้เลยครับ....วันไหนทราบจะนำมาบอกอีกครั้ง.... ......ถ่ายเล่นๆยังสวยเลยครับ.... ......มุมนี้มีเก้าอี้ไว้ให้นั่งทอดอารมณ์ด้วย...ถ้าจะให้ดีมันต้องมีกาแฟอีกสักแก้ว...ใช่ไหมครับ "คุณชาลี"...!!! ......เจ้าตัวนี้ ไม่ทราบว่าเป็นของเจ้าหน้าที่ที่เขาเลี้ยงไว้หรือไม่ แต่เห็นวิ่งเล่นอยู่แถวนี้...ดูรูปร่างแล้วสวยดีครับ...ผมก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าเป็นพันธุ์อะไร....ถ่ายรูปเอามาฝากสำหรับคนชอบสุนัขครับ.... .....หนึ่งในหมู่พระตำหนักที่ไม่ได้ถูกรื้อไป....ดั้งเดิมจะทรุดโทรมมากครับ...สีก็ไม่ได้สดสวยอย่างนี้...แสดงว่ามีการบูรณะซ่อมแซมไว้เป็นอย่างดี...ทางที่ดีน่าจะเปิดให้เข้าชมภายในด้วยนะครับ... .......ดูศิลปะของการเรือนโบราณแล้วเพลินตาดีนะครับ...สวยอย่างคลาสสิคทีเดียว.... ......มุมด้านหน้าของเรือนพระตำหนักครับ....บ้านเรือนสมัยนี้น่าจะสร้างแบบนี้ไว้บ้างนะครับ....ดูแล้วเย็นสบายช่วยผ่อนคลายอารมณ์ได้ดี.... ......หาดทรายขาวที่ท่าวังแห่งนี้ ทรายไม่ค่อยจะละเอียดนักหรอกครับ ยังเป็นเปลือกหอยเสียส่วนใหญ่ แต่หาดแถบนี้ก็มีชาวเกาะมาเล่นน้ำมากอยู่พอสมควร เนื่องจากอยู่ใกล้กับที่ชุมชน มากกว่าหาดถ้ำพังที่อยู่ไกลออกไป..... ......ส่วนภาพนักมวยสีดำนั่น...อย่าแปลกใจไปนะครับว่ามันเกี่ยวอะไรกับเกาะสีชัง....เพราะมันเป็นภาพจากเสื้อยืดที่ผมใส่ไปเองครับ...แล้วก็เลยลองถ่ายตัวเอง....มันกลับออกมาดูดี...!!! .......ภาพทุ่งดอกหญ้า...ในบริเวณท่าวัง....ฝีมือการถ่ายของผมเป็นไงบ้างครับ....พอจะเข้าระดับน้องๆย่าดาได้บ้างไหม...!!! ......หมู่พระตำหนักใน "พระตำหนักจุฑาธุชราชฐาน " จะถูกสร้างไว้ลดหลั่นกันออกไป ตามระดับพื้นที่ ที่มีสภาพเป็นโขดเขินและเนินเขาเสียเป็นส่วนใหญ่.... .....พระตำหนักนี้มีชื่อว่า "เรือนผ่องศรี" ครับ....น่าจะมาจากพระนามของ "พระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี" พระอัครชายาพระองค์หนึ่งของ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว.... ....บริเวณ "เรือนผ่องศรี" ถูกจัดให้ล้อมรอบ ไปด้วย "ต้นลั่นทม" ต้นใหญ่ ที่ทั้งร่มรื่นและสวยงาม.... .....หมู่พระตำหนักที่ใกล้เคียงกับเรือนผ่องศรี....ก็ได้รับการบูรณะไว้อย่างดีแล้วครับ....แต่เดิมตอนผมอยู่ จำได้ว่าเรือนเหล่านี้ ผุพัง ประตูหลุด หน้าตาแหว่ง สีก็ไม่ฉวีวรรณอย่างนี้ครับ.... ......บริเวณพระตำหนัก ถ้าไม่มีต้นลั่นทม ก็ต้องมีต้นวาสนา หรือต้นจันทร์ผา นี่แหละครับ.... .......ผมชอบทางเดินที่เป็นหินประดับแบบนี้ครับ....ดูแล้วคลาสสิคมากเลยครับ....ดูสิครับวางลาดโค้งไปตามต้นลั่นทมที่เรียงรายอยู่สองด้าน...น่าจูงมือแฟนไปเดินเล่นไหมครับ.... .....วัดอัษฎางคนิมิต....วัดที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าสร้างขึ้นไว้ในบริเวณพระราชวัง....ลองไปอ่านจากประวัติความเป็นมาในราชกิจจานุเบกษาครับ... ....ราชกิจจานุเบกษา .....อันนี้เป็นคำแปลของหลักศิลาจารึกรอบพระอุโบสถ เขียนใส่กระจกใสเอาไว้ให้บุคคลที่ไปเยี่ยมเยียนได้อ่าน.... .....ที่หนึ่งที่ผมตั้งใจจะแวะมาเยี่ยมก็ที่นี่แหละครับ...ร้านอาหารทิวไผ่...ของพี่แจ่มกับพี่ตุ่ม...ถ้าท่านผู้ชมอ่านเรื่องราวของผมในตอน "เพื่อนรักที่เคารพตอนแต่งงาน" ก็จะทราบว่าทำไม ผมถึงผูกพันกับร้านนี้...23 ปีแล้วครับ ที่กลับมาเยือนอีกหน...!!! ..... เมนูอาหารของ "ทิวไผ่ปาร์ครีสอร์ท" รีสอร์ทแห่งแรกที่มีขึ้นของเกาะสีชัง....ถ้าท่านผู้ชมไปก็อย่าลืมไปอุดหนุนนะครับ...ถ้าบอกว่ารู้จักผม รับรองว่าจะได้รับการดูแลเป็นอย่างดีเลยครับ...แต่เดี๋ยวท่านผู้ชมจะย้อนกลับว่าแล้วทำไม ผมไม่พักที่ "ทิวไผ่ปาร์ครีสอร์ท" แห่งนี้ล่ะ....ไพล่ไปพักที่ "สีชังวิวรีสอร์ท" ทำไม....คือผมเกรงใจครับ ไปพักเขาก็จะไม่เก็บสตางค์ ก็เลยกะว่าไปพักที่อื่น แล้วค่อยมาทานข้าวร้านพี่เขา ขนาดทานข้าวเขาก็ยังไม่เก็บสตางค์เลยครับ...แถมตั้งสองมื้อแน่ะ...!!! .....นี่แหละครับโฉมหน้า....พี่แจ่มและพี่ตุ่ม....สองสามีภรรยาเจ้าของ "ทิวไผ่ปาร์ครีสอร์ท"...เรื่องอัธยาศัยยอดเยี่ยมแน่นอนครับ...!!! .....พี่ตุ่มกับพี่แจ่ม....บอกว่าปีนี้ก็อายุมากขึ้นทุกทีแล้ว...บริหารรีสอร์ทเอง ก็ไม่ค่อยไหว...ลูกหลานก็ไม่มีใครจะมารับช่วงต่อ...แกก็อยากจะขาย แล้วก็อยู่กันสงบๆสองคนตายาย....ท่านผู้ชมสนใจก็ติดต่อไปได้นะครับ.... ......ผมถ่ายจากเรือนหลังหนึ่งในจำนวนบังกาโล 17 หลังของทิวไผ่....ให้เห็นเกาะขามใหญ่อยู่ไกลๆ.... .....สภาพภายในบังกาโลหลังหนึ่งของทิวไผ่ครับ...ค่าเช่ามีหลายระดับ ตั้ง 500 บาทไปจนถึง 900 บาทครับ... .....ภายในบริเวณบังกาโล ก็มีสภาพร่มรื่นสวยงาม ตามแบบฉบับเกาะสีชัง ที่พื้นจะเป็นหินเสียส่วนใหญ่.... ......วัดถ้ำยายปริก....เป็นอีกวัดหนึ่งที่ผมอยากจะมาเยือน...เพราะครั้งที่ผมอยู่วัดแห่งนี้ยังเป็นเพียง สำนักสงฆ์เล็กๆ คาดไม่ถึงว่ายี่สิบกว่าปีที่ผ่านมา จะกลับกลายเป็นวัดดังระดับประเทศไปแล้ว นี่เป็นเพราะบารมีของ "หลวงพ่อประสิทธิ์" โดยแท้.... ......คำพระของ "หลวงพ่อประสิทธิ์ ถาวโร" มีป้ายแสดงไว้โดยทั่วไป....เสียดายที่ท่านละสังขารไปตั้งแต่ปี 2550.... ......บันไดนาคจากประตูวัดด้านล่าง ขึ้นมายังพระอุโบสถด้านบน....มองออกไปเห็นวิวทะเลไกลๆ.... .....ภาพนี้ถ่ายมาฝาก "คุณนายหมู" เธอครับ.....แต่เธอดูแล้วก็ไม่หวั่น....ฉันจะนอนต่อไป.... ......ภาพสระบัวด้านหลังวัด....สวยดีครับเลยถ่ายมาฝาก..... ......ที่ท่องเที่ยวและสถานที่สำคัญอีกแห่งหนึ่งของเกาะสีชัง....คือ "เจ้าพ่อเขาใหญ่"..... .....เจ้าพ่อเขาใหญ่...เป็นรูปเคารพคล้ายเจ้าแม่กวนอิมสลักอยู่ในถ้ำบนเขา....ถือเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์สำคัญของชาวเกาะสีชัง....จะมีงานฉลองเจ้าพ่อเขาใหญ่ทุกปีประมาณเดือนกุมภาพันธ์....ซึ่งช่วงนั้นจะมีผู้ข้ามเรือมากราบไหว้เจ้าพ่อเขาใหญ่กันมากทีเดียว.... .....ภาพวิวทิวทัศน์ถ่ายจากบนศาลเจ้าพ่อเขาใหญ่....จะเห็นบ้านเรือนชาวเกาะสีชังแออัดกันอยู่ริมฝั่ง ด้านหน้าเกาะเพราะด้านนี้จะเป็นด้านที่ บังลมบังพายุซึ่งมักจะพัดมาจากทางหลังเกาะ ด้านที่อยู่ใกล้ภาพนั้นคือ ท่าบน ส่วนที่ไกลออกไปเกือบสุดภาพนั้นเป็นท่าล่าง.... .....ผมก็ไม่ทราบว่าใครเป็นคนแรกที่แก้บนเจ้าพ่อเขาใหญ่ด้วย "ลิเก" จนต่อๆมาทุกคนที่มาบนบานศาลกล่าวเอากับเจ้าพ่อเขาใหญ่ ก็จะต้องมาแก้บนด้วย "ลิเก" จนมีวิกลิเกมาตั้งประจำอยู่ที่ ด้านล่างของศาล..... .....และก่อนจะจบบล็อกท่องเที่ยวเกาะสีชังครั้งนี้....ก็ต้องขอกราบ "เจ้าพ่อเขาใหญ่" ผ่านบล็อกนี้ไว้....เพราะถ้าไม่ใช่บารมีของ "เจ้าพ่อเขาใหญ่" ที่พี่ "เกษม เปี่ยมวิมล" บนบานไว้ให้ผมว่ายน้ำกลับมาอย่างปลอดภัย จนต้องเสียค่าลิเกแก้บนไป 1,500 บาท อาจจะไม่มีผมมานั่งเขียนบล็อกในวันนี้ก็ได้...!!! |
ถึง บล็อกเกอร์ ทุกท่าน โปรดอ่าน
ด้วยทาง บริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จำกัด (มหาชน) ได้ติดต่อขอความร่วมมือ มายังเว็บไซต์และเว็บบล็อกต่าง ๆ รวมไปถึงเว็บบล็อก OKnation
ห้ามให้มีการเผยแพร่ผลงานอันมีลิขสิทธิ์ ของบริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ฯ บนเว็บ blog โดยกำหนดขอบเขตของสิ่งที่ห้ามทำ และสามารถทำได้ ดังนี้
ห้ามทำ - การใส่ผลงานเพลงต้นฉบับให้ฟัง ทั้งแบบควบคุมเพลงได้ หรือซ่อนเป็นพื้นหลัง และทั้งที่อยู่ใน server ของคุณเอง หรือ copy code คนอื่นมาใช้ - การเผยแพร่ file ให้ download ทั้งที่อยู่ใน server ของคุณเอง หรือฝากไว้ server คนอื่น สามารถทำได้ - เผยแพร่เนื้อเพลง ต้องระบุชื่อเพลงและชื่อผู้ร้องให้ชัดเจน - การใส่เพลงที่ร้องไว้เอง ต้องระบุชื่อผู้ร้องต้นฉบับให้ชัดเจน จึงเรียนมาเพื่อโปรดปฎิบัติตาม มิเช่นนั้นทางบริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ฯ จะให้ฝ่ายดูแลลิขสิทธิ์ ดำเนินการเอาผิดกับท่านตามกฎหมายละเมิดลิขสิทธิ์
OKNATION
กฎกติกาการเขียนเรื่องและแสดงความคิดเห็น
1 การเขียน หรือแสดงความคิดเห็นใด ๆ ต้องไม่หมิ่นเหม่ หรือกระทบต่อสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ หรือกระทบต่อความมั่นคงของชาติ
2. ไม่ใช้ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่นในทางเสียหาย หรือสร้างความแตกแยกในสังคม กับทั้งไม่มีภาพ วิดีโอคลิป หรือถ้อยคำลามก อนาจาร 3. ความขัดแย้งส่วนตัวที่เกิดจากการเขียนเรื่อง แสดงความคิดเห็น หรือในกล่องรับส่งข้อความ (หลังไมค์) ต้องไม่นำมาโพสหรือขยายความต่อในบล็อก และการโพสเรื่องส่วนตัว และการแสดงความคิดเห็น ต้องใช้ภาษาที่สุภาพเท่านั้น 4. พิจารณาเนื้อหาที่จะโพสก่อนเผยแพร่ให้รอบคอบ ว่าจะไม่เป็นการละเมิดกฎหมายใดใด และปิดคอมเมนต์หากจำเป็นโดยเฉพาะเรื่องที่มีเนื้อหาพาดพิงสถาบัน 5.การนำเรื่อง ภาพ หรือคลิปวิดีโอ ที่มิใช่ของตนเองมาลงในบล็อก ควรอ้างอิงแหล่งที่มา และ หลีกเลี่ยงการเผยแพร่สิ่งที่ละเมิดลิขสิทธิ์ ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบหรือวิธีการใดก็ตาม 6. เนื้อหาและความคิดเห็นในบล็อก ไม่เกี่ยวข้องกับทีมงานผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซต์ โดยถือเป็นความรับผิดชอบทางกฎหมายเป็นการส่วนตัวของสมาชิก คลิ้กอ่านเงื่อนไขทั้งหมดที่นี่"
OKnation ขอสงวนสิทธิ์ในการปิดบล็อก ลบเนื้อหาและความคิดเห็น ที่ขัดต่อความดังกล่าวข้างต้น โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ต่อเจ้าของบล็อกและเจ้าของความคิดเห็นนั้นๆ
|
||
![]() ![]() |