*/
เกาะเต่า-เกาะนางยวน | ||
![]() |
||
ไปเที่ยวมาเมื่อวันที่ 21 - 24 สิงหาคม 2550 มีแต่ฝรั่งเต็มเกาะเลยครับ...... |
||
View All ![]() |
<< | เมษายน 2009 | >> | ||||
อา | จ | อ | พ | พฤ | ศ | ส |
1 | 2 | 3 | 4 | |||
5 | 6 | 7 | 8 | 9 | 10 | 11 |
12 | 13 | 14 | 15 | 16 | 17 | 18 |
19 | 20 | 21 | 22 | 23 | 24 | 25 |
26 | 27 | 28 | 29 | 30 |
ตอนที่สอง...ลงโอซาก้าตะลุยโกเบ ผู้โดยสาร TG622 ถูกปลุกขึ้นมาด้วยแสงไฟบนเครื่องบิน พร้อมกับเสียงเจื้อยแจ้วของพนักงานต้อนรับการบินไทย ที่จะขอบริการอาหารเช้าให้กับทุกท่านก่อนที่เครื่องบินจะลงจอดที่สนามบิน Kansai เมือง Osaka ในเวลาเช้าตรู่ของวันที่ 27 มีนาคม 2552 ผมงัวเงียลุกขึ้นมาดูเวลาจากนาฬิกาข้อมือ ตีสามเอง จะให้กินแล้วหรือ? แต่ก็นึกขึ้นได้ว่าเวลาญี่ปุ่นต้องบวกสองชั่วโมง ก็หมายถึงตีห้าหรือ 05.00 น. ของญี่ปุ่นแล้ว หมายความว่าเหลือเวลาอีกชั่วโมงเศษๆเครื่องบินก็จะแตะรันเวย์ที่สนามบินคันไซ เมืองโอซาก้า ประเทศญี่ปุ่น และ แจแปนทัวร์ ของเราก็จะเริ่มต้นขึ้นอย่างแท้จริง ว่าแต่ตอนนี้ผมจะกินข้าวลงหรือนี่ เพราะเพิ่งจะตีสามของเมืองไทยเอง เท่ากับผมเพิ่งนอนไปเมื่อห้าทุ่มกว่าๆ หลังจากเครื่องบิน Departure ออกมาจากสุวรรณภูมิ นอนไปไม่ถึง 4 ชั่วโมงดี ก็ถูกปลุกขึ้นกินข้าวซะแล้ว แต่กินก็กินจะเรื่องมากไปทำไม ค่าโดยสารก็เสียแล้วตั้งแพง ว่าแล้วคุณแอร์โฮสเตสคนสวย ก็บริการเสริฟ ข้าวหน้าปลาแซลมอน มาให้หนึ่งสำรับ กินไปกินมาก็อร่อยดีเหมือนกัน ก็เลยซัดซะเกลี้ยงเลยทีนี้ แต่ไหนๆก็ต้องตื่นแล้วผมก็เลยขอกาแฟดำมากระตุ้นหัวใจเสียหนึ่งแก้ว อร่อยนะครับกาแฟการบินไทยเนี่ย ผมชอบดื่มไม่ว่าจะเป็นไฟลท์ภายในประเทศหรือต่างประเทศ จะต้องขอกาแฟของการบินไทยมาดื่มให้ได้ ไม่ทราบว่าเขาใช้สูตรไหนชง ผมดื่มเป็นกาแฟดำไม่ใส่น้ำตาล รสชาติของเขาหวานอยู่แล้วในตัว ขอชม !! กัปตันประกาศลดระดับการบินเพื่อร่อนลงสู่สนามบินคันไซ ผมโชคดีที่ได้ที่นั่งติดริมหน้าต่างจึงได้ถ่ายรูปฟากฟ้าเมืองโอซาก้า ประเทศญี่ปุ่น พระอาทิตย์กำลังขึ้นสวยมากเชียวครับ แต่ก่อนลงจอดเสียวไส้เล็กน้อย เมื่อเห็นหมอกลงหนาจัด จนกัปตันต้องประกาศเตือนว่าอาจจะต้องวนอีกรอบ แต่ในที่สุดก็ลงได้เรียบร้อยในเวลา 06.15 น. เวลาท้องถิ่น ประเทศญี่ปุ่น ผมสังเกตเห็นสนามบินคันไซของโอซาก้า ไม่ใหญ่โตโอฬาร เหมือนสุวรรณภูมิของเรา ก็คิดว่าหรือจะเป็นเพราะเป็นเมืองต่างจังหวัดของญี่ปุ่น ไม่มีไฟลท์บินมาลงมากนัก สนามบินก็เลยไม่ต้องใหญ่โตมากมากมายอะไร ผมเปรียบเทียบดูแล้วน่าจะใหญ่กว่าสนามบินภูเก็ตบ้านเราเล็กน้อยเท่านั้น แต่พอนั่งรถออกมาจากสนามบินก็ต้องแปลกใจเมื่อเห็นรถทุกคันล้วนแต่ต้องวิ่งข้ามสะพานคอนกรีตยาวไกลมา แล้วก็ทิ้งสนามบินเอาไว้เบื้องหลัง เมื่อหันกลับไปดูถึงได้รู้ว่าสนามบินคันไซของโอซาก้า สร้างอยู่ในทะเล !! ผมถึงกับทึ่งกับความคิดและวิศวกรรมของคนญี่ปุ่น ที่มีความสามารถสูงขนาดถมทะเลแล้วสร้างเป็นสนามบินไว้ตรงกลาง เหมือนเป็นเกาะเอาไว้ แล้วก็ต่อเชื่อมด้วยสะพานอย่างยาวมาถึงฝั่ง สะพานนี้ก็ต้องสร้างอย่างดีและแข็งแรงมากนะครับ เพราะนอกจากจะต้องรองรับรถยนต์นานาชนิดที่จะไปมากับสนามบินแล้ว ยังจะต้องมีรถไฟที่วิ่งข้ามไปมาระหว่างสนามบินกับตัวเมืองอีกด้วย คนญี่ปุ่นนั้นใช้การคมนาคมทางรถไฟเป็นหลักครับ มีรถไฟเชื่อมต่อกันมากมายยิ่งกว่าใยแมงมุมเสียอีก ทั้งใต้ดินบนดิน แล้วก็มีหลายสายหลายบริษัทฯ เพียงแค่ดูจากแผนที่ที่พี่อ๊อดเอามาให้ดู ผมก็ตาลายแล้วครับท่านผู้ชม สนามบินคันไซในวันนั้นมีฝนตกเฉอะแฉะเล็กน้อยครับ คาดว่าคงมีฝนตกก่อนที่เครื่องบินจะลงมาไม่นาน เพราะมีประกาศจากกัปตันเครื่องบินออกมาก่อนหน้านั้น เรื่องการพยากรณ์อากาศของญี่ปุ่นนี่ก็ค่อนข้างจะแม่นยำนะครับ หลายวันที่เที่ยวอยู่ในญี่ปุ่น จะสังเกตเห็นว่ามีบางวันที่ชาวญี่ปุ่นจะถือร่มติดตัวกันออกมาทุกคน จูนบอกว่าวันนี้มีพยากรณ์อากาศว่าฝนจะตก แล้วมันก็ตกจริงๆครับ ไม่เหมือนของเราครับ ที่บอกว่าฝนจะตก 20% ของพื้นที่ ก็เลยไม่รู้ว่าไอ้พื้นที่ที่เราอยู่มันอยู่ใน 20% หรือ 80% !! แต่จะไปว่าเขาทำไม เขาบอกได้แค่นี้ก็ดีถมแล้ว ดีกว่าเขาจะบอกว่า ฝนตกแล้วจะรายงานให้ทราบ !! กลับมาที่สนามบินคันไซอีกครั้งครับ ผมยังไม่ได้พาทุกท่านออกจากสนามบินเลย ไหนๆก็เคยทำงานเป็น Customs ภายในสนามบินมาก่อน ก็จะขอเล่าถึงวิธีการของเจ้าหน้าที่ Immigration และ Customs ของญี่ปุ่นเขาเสียหน่อย Immigration ก็คือเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมือง และ Customs ก็คือเจ้าหน้าที่ศุลกากรครับ ทั้งสองเจ้าหน้าที่นี้ทำหน้าที่แตกต่างกัน Immigrationจะตรวจ คน ซึ่งก็คือตรวจ Passport ของเรา ส่วน Customs จะตรวจของ ซึ่งก็คือกระเป๋าของเรา บางประเทศเจ้าหน้าที่ทั้งสองหน่วยนี้ อาจจะขึ้นอยู่กับกรมเดียวกัน หรือกระทรวงเดียวกัน แต่ของไทยจะแยกกันครับ Immigration ของไทย ซึ่งบางครั้งที่เราเรียกว่า เจ้าหน้าที่ ตม.จะขึ้นอยู่กับ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ส่วน Customs หรือเจ้าหน้าที่ศุลกากร ขึ้นอยู่กับกรมศุลกากร กระทรวงการคลัง ที่มี ฯพณฯท่าน กรณ์ จาติกวณิชย์ นั่งว่าการฯอยู่ในตอนนี้ Immigration และ Customs นั้น ถือเป็นเจ้าหน้าที่สากลที่ทั่วโลกจะต้องมี ประจำด่านฯหรือช่องทางเข้าออกระหว่างประเทศนะครับ นอกจากนั้นแล้วยังมีเจ้าหน้าที่อีกประเภทหนึ่งคือ Quarantines หรือแปลได้ว่า เจ้าหน้าที่กักกัน เจ้าหน้าที่กักกันนี้เป็นเจ้าหน้าที่จากหลายหน่วยงาน แต่โดยหลักก็จะมาจากสามหน่วยคือ เจ้าหน้าที่กักกันโรค จากกระทรวงสาธารณสุข ก็มีหน้าที่ กักกัน หรือดูแล ผู้โดยสาร ที่เป็นโรคติดต่อ หรือโรคที่ไม่พึงประสงค์จะให้เข้าไประบาดในประเทศของเขา เจ้าหน้าที่กักกันสัตว์ จากกรมปศุสัตว์ ก็มีหน้าที่ กักกันหรือดูแลสัตว์ที่ผู้โดยสารนำติดตัวเข้าไป เจ้าหน้าที่กักกันพืช จากกรมวิชาการเกษตร ก็มีหน้าที่กักกันหรือดูแลพืชหรือส่วนของพืช ที่ผู้โดยสารนำติดตัวเข้าไป เจ้าหน้าที่ทั้งสามหน่วยนี้เราเรียกรวมๆว่า Quarantines ซึ่งผู้โดยสารปกติจะอาจไม่เจอะเจอ เหมือน Immigration และ Customs แต่ขอให้ทราบว่าเขามีอยู่ และมีอำนาจหน้าที่ที่จะ กักกัน หรือดูแลตามอำนาจหน้าที่ของเขาได้ โดยรวมเราจะเรียกเจ้าหน้าที่ ที่อยู่ในช่องทางระหว่างประเทศนี้ว่า CIQ ซึ่งก็หมายถึง Customs Immigration และ Quarantines นั่นเอง !! เจ้าหน้าที่ที่เราจะต้องเจอะเจอก่อนเป็นด่านแรกของทุกที่ก็คือ Immigration ซึ่งมักจะนั่งอยู่ในคอก แล้วให้เรายื่นพาสปอร์ตไปให้เขาตรวจ ข้างหน้าคอกที่นั่งเดี๋ยวนี้เขาจะมีกล้อง ไว้ถ่ายรูปเราลงไปบันทึกในคอมพิวเตอร์ด้วย แต่ Immigrationของญี่ปุ่นมีมากกว่านั้น คือมีเครื่องสแกนนิ้วชี้ทั้งสองข้างของเราไว้ด้วย นอกเหนือไปจากกล้องบันทึกภาพใบหน้าของเราโดยปกติแล้ว แต่ที่ทำให้ผมต้องอมยิ้มออกมาได้ในยามเช้าก็คือ หน้าจอมีคำภาษาไทย บอกขั้นตอนการปฏิบัติด้วยว่า ให้ทำอย่างไรบ้าง แสดงว่าคนไทยนี่เป็นลูกค้ารายใหญ่ของญี่ปุ่นทีเดียว!! เจ้าหน้าที่ Immigration ของญี่ปุ่น ซึ่งถึงแม้จะตีหน้าตาย ไม่ยิ้มแย้มแจ่มใส เหมือนกันกับ Immigration ทั่วโลก แต่อย่างน้อยเช้าวันนี้เขาก็ทักทายผมว่า โอะฮะโย โกไซมัส สวัสดีตอนเช้าครับ!! ผ่านเจ้าหน้าที่ Immigration มา ก็จะต้องมารับกระเป๋าเดินทางที่สายพาน แต่ละสายพานจะมีป้ายหรือหน้าจอมอนิเตอร์บอกถึงไฟลท์เครื่องบินที่เราโดยสารมา ได้กระเป๋าแล้วเราก็จะต้องเข็นสัมภาระผ่านเจ้าหน้าที่ Customs หรือเจ้าหน้าที่ศุลกากรต่อไป อ้อ!! ลืมบอกไปว่า เจ้าหน้าที่กักกันหรือ Quarantines ก็จะอยู่แถวๆนี้แหละครับ อาจจะโผล่มาคอยดูสัมภาระของเราว่ามีสัตว์หรือพืชติดตัวมาหรือไม่ แต่บางประเทศที่เขาค่อนข้างเข้มงวดในเรื่องนี้อย่าง นิวซีแลนด์ ที่ผมเคยไปมา เจ้าหน้าที่กักกันพืชและสัตว์ เขาจะมายืนคอยตรวจตรา อยู่รวมกับ Customs เลยนะครับ ยกเว้นแต่ Quarantines ที่เป็นเจ้าหน้าที่สาธารณสุข บางครั้งหากกำลังมีโรคระบาดร้ายแรงจากประเทศที่เรามา เช่น ซาร์ หรือไข้หวัดนก เขาอาจจะตั้งโต๊ะตรวจเราตั้งแต่ช่องทางเดินออกจากเครื่องบิน ก่อนเข้าสู่ช่องทางตรวจพาสปอร์ตของ Immigrationก็ได้ การผ่าน Customs ของญี่ปุ่น จะต้องเขียนใบสำแดงของติดตัวผู้โดยสาร หรือ Declaration Form ก่อนนะครับ ใบ Declaration Formนี้ ปกติพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินจะแจกให้เรา พร้อมๆกับใบสำแดงรายละเอียดผู้โดยสารของ Immigration แต่ถ้าว่าเราไม่ได้รับ เพราะกำลังหลับอยู่ ก็ไม่ต้องโวยวายไปนะครับ ลองตรวจหาดูแถวบริเวณที่รับกระเป๋านั่นแหละครับ เขาจะมีเคาน์เตอร์วาง Declaration Form ไว้อยู่ ของไทยเราแต่ก่อนก็ต้องเขียน Declaration Formก่อนเหมือนกัน แต่เดี๋ยวนี้ยกเลิกไปแล้ว เพราะเรามีช่องแดงช่องเขียวไว้ให้ผู้โดยสารเลือกเข้าไปอยู่แล้ว นี่แสดงว่ากิจการ Customs ของเราก้าวหน้ากว่าของญี่ปุ่นนะเนี่ย !! การสำแดงของติดตัวผู้โดยสารใน Declaration Form นั้น เป็นการแสดงความบริสุทธิ์ใจของเราว่าไม่ได้นำของต้องห้าม(Prohibited Goods) ของต้องกำกัด(Restricted Goods) เข้าประเทศของเขา หากเราสำแดงว่า ไม่มี แล้วเขาตรวจพบว่ามี อันนี้ก็จะเป็นความผิด ของต้องห้าม ก็คือของที่ห้ามเข้าประเทศเขาเด็ดขาด หรือแค่มีไว้ในครอบครองก็จะเป็นความผิดแล้ว โดยทั่วๆไปก็คือ ยาเสพติด, ธนบัตรปลอม, ของละเมิดลิขสิทธิ์ อะไรประมาณนี้ ส่วน ของต้องกำกัด ก็คือ ของที่ต้องมีใบอนุญาตในการนำเข้าประเทศของเขา เช่นว่า เหล้า, บุหรี่, อาวุธปืน, ยาต่างๆ, แต่ละประเทศอาจห้ามไม่เหมือนกัน ฉะนั้นเพื่อความแน่ใจ หากเรามีสิ่งที่ไม่แน่ใจว่าจะเป็นความผิดติดตัวมา ก็ให้ถามเจ้าหน้าที่ของเขาเสียก่อน จะได้ไม่เป็นความผิด ผมผ่านช่องตรวจตราของ Customs ญี่ปุ่น ซึ่งจะมีเคาน์เตอร์สำหรับตรวจตราสัมภาระวางตั้งอยู่ข้างหน้า กำลังลุ้นว่าเจ้าหน้าที่ที่อาชีพเดียวกันกับผมจะตรวจตราอะไรผมหรือไม่? สังเกตดูท่าทางเจ้าหน้าที่ก็เฉยเมย ไม่ยิ้มแย้มต้อนรับขับสู้ลูกค้าจากประเทศไทยอย่างผมแต่ประการใด ผมว่าสำหรับเจ้าหน้าที่ที่ต้องทำการควบคุมให้เป็นไปตามกฎหมายแล้ว ทั่วโลกก็คงเป็นเหมือนกันแหละครับ ก็คือตีหน้าขรึมไว้ก่อน แสดงเอาไว้ซึ่งอำนาจ เมื่อเวลาสั่งการให้ทำอะไร เช่น ให้เปิดกระเป๋า จะได้ไม่ต้องอิดออดเอ่ยเอื้อนต่อรองอะไรให้มากความ ผมก็เป็นครับท่านผู้ชม!! เจ้าหน้าที่ Customs ญี่ปุ่น ไม่ได้ตรวจตราสัมภาระของผมแต่ประการใด เพียงแต่ถามว่า Wherere you come from? เท่านั้น ซึ่งผมก็ตอบไปว่า Thailand ท่านก็พยักหน้าสองหงึก เป็นสัญญาณให้ผมผ่านไปได้ ใจหนึ่งก็นึกจะสนทนาพาทีกับเขา เพื่อให้ทราบว่าเรามีอาชีพเดียวกัน แต่ก็ห่วงว่าจะชักช้าอยู่ เพราะคนอื่นๆเข็นรถเข็น Trolley บรรทุกกระเป๋า ผ่านช่องทางออกไปกันหมดแล้ว ผมก็เลยต้องรีบเข็นผ่านออกไป เรามานั่งรอ พี่เปิ้ล ซึ่งจะมาแจแปนแอร์ไลน์ หลังจากเราห้าสิบห้านาที อยู่ที่บริเวณห้องโถงของผู้โดยสาร ส่วนพี่จันทร์ก็ไปตระเวนดูหนทางที่จะต้องต่อรถไป สถานี Namba ในเมือง Osaka อีก สักพักแกก็กลับมา บอกว่ามีสองทางเลือกคือไปรถไฟค่าโดยสารคนละ 890¥ หรือไปรถยนต์ค่าโดยสารคนละ 880¥ ถือว่าไม่ต่างกัน ที่ต่างกันคือไปรถไฟต้องลากกระเป๋าขึ้นไปชั้นสองของสนามบิน จากนั้นจะมีทางเชื่อมไปทะลุ สถานีรถไฟ ส่วนรถยนต์ก็แค่ออกมานอกห้องโถงที่เรานั่งรอกันอยู่ แล้วก็มายืนรอรถตรงป้ายที่มีข้อความเขียนไว้ว่าไปนัมบะ ส่วนค่าโดยสารทั้งรถยนต์และรถไฟ มีวิธีจ่ายค่าโดยสารเหมือนกัน คือเอาเหรียญหรือธนบัตรญี่ปุ่นไปหยอดตู้ ซึ่งจะมีอยู่แถวๆนั้น วิธีการก็คือเมื่อเอาเงินหยอดเข้าไปแล้ว จะมีไฟโชว์ขึ้นมาว่าให้เราเลือกค่าโดยสารเป็นจำนวนเท่าไหร่ เมื่อเรากดไปแล้วก็จะโชว์ต่อไปว่าจำนวนกี่คน กดเสร็จสรรพก็จะมีตั๋วโดยสารออกมา พร้อมกับเงินทอน ฟังดูไม่น่าจะยากใช่ไหมครับ แต่ที่มันยากมันอยู่ตรงที่ ภาษาที่ใช้มันจะเป็นภาษาญี่ปุ่นทั้งหมด!! ที่จริงมันจะมีบางเครื่องที่มีปุ่มให้เปลี่ยนภาษาเป็นภาษาอังกฤษได้ ต้องดูดีๆมักอยู่บริเวณมุมขวาด้านบน แต่บางเครื่องก็อยู่ที่หน้าจอสัมผัส แต่ถ้าจนปัญญาและมยุราจริงๆ ก็สอบถามเจ้าหน้าที่เอาเถอะครับ เจ้าหน้าที่ของเขาแม้จะพูดภาษาอังกฤษได้งูๆปลาๆเหมือนอย่างเรา แต่เขาก็ตั้งใจบริการเต็มที่ สำคัญว่าสื่อสารกับเขาให้รู้เรื่องเท่านั้นเอง!! พวกเราเลือกที่จะเดินทางไป Namba ด้วยรถยนต์ เหตุผลเพราะไม่ต้องเดินไกล ฉะนั้นเมื่อพี่เปิ้ลโผล่หน้ามาฮัลโหลทักทายเป็นที่เรียบร้อย เราก็เลยเข็นกระเป๋ากันออกมาข้างนอก แต่พอออกมาได้ก็แทบอยากจะเข็นกลับเข้าไปทันทีครับท่านผู้ชม ก็ข้างนอกนั้นอากาศมันหนาวอย่างกับอะไรดี แถมลมพัดมาทีหนึ่งก็สะท้านยะเยือกเข้าไปถึงทรวง อยู่ภายในห้องโถงสนามบินไม่รู้เรื่องอะไรเลยครับว่าข้างนอกอากาศหนาว เพราะเขาปรับระดับอุณหภูมิไว้เป็นอย่างดี จนทีแรกยังนึกปรามาสในใจว่าไหนว่าญี่ปุ่นอากาศหนาว เขาเข้าจริงก็ไม่เท่าไหร่เลย แต่ตอนนี้ไม่ใช่แล้วล่ะครับ!! พี่จันทร์ไปหยอดสตางค์ซื้อตั๋วโดยสาร พวกเราก็เข็นกระเป๋ากันมายืนคอยที่ป้ายรถบัสไป Namba แม้ที่ป้ายจะบอกไว้แล้วว่าไป Namba เวลาต่อไปคือ 07.55 น. แต่เพื่อความแน่ใจก็สอบถามเจ้าหน้าที่ที่เก็บรถเข็นสัมภาระแถวนั้นดูอีกที ซึ่งก็ได้รับคำตอบว่าใช่แล้ว แถมตาลุงคนนี้ ซึ่งผมก็แปลกใจเหลือเกินว่าเหตุใดพนักงานเข็นรถ Trolley ที่ญี่ปุ่นนี้ จึงมีแต่คนสูงอายุ เพราะเห็นคนอื่นๆก็แก่ๆพอๆกับตาลุงคนนี้ ต่างกันกับของเมืองไทยที่มีแต่หนุ่มวัย ฉะกัน เข็นรถ Trolley ทียังกะซิ่งรถยนต์ไปตามถนน จนน่าหวาดกลัวว่าจะไปชนเอาใครเข้า ตาลุงคนนี้แกยังมาช่วยจัดเรียงกระเป๋าในช่องที่ขีดเป็นเส้นไว้ เสมือนให้ผู้โดยสารมายืนรอคิว แม้แกจะพูดภาษาอังกฤษได้อย่าง a few little แต่แกก็ดูยิ้มแย้มแจ่มใสที่จะให้บริการแก่พวกเราเป็นอย่างดี และเราก็พบว่าคนอย่างตาลุงคนนี้มีอยู่ทั่วไปในญี่ปุ่น!! รถบัสที่จะนำเราไป Namba มาจอดตรงป้ายพอดีในเวลา 07.50 น. คนขับรถเอาป้ายเล็กๆมาให้เราเขียนชื่อกำกับไว้แล้วก็เอาไปผูกกับกระเป๋า จากนั้นก็ทำการเก็บสัมภาระของพวกเรา เอาไว้ใต้ท้องรถ เหมือนรถทัวร์บ้านเรา พวกเราก็เฮโลสาระพารีบขึ้นมาบนรถ เพราะจะได้ไม่ต้องทนยืนหนาวสั่นกันอยู่ข้างนอก พอได้เวลา 07.55 น. ปั๊บ ตาคนขับรถซึ่งตะกี้แกยังยืนสูบบุหรี่คุยอยู่กับตาลุงเข็น Trolley อยู่เลย ก็ขึ้นมาบนรถปั๊บ แล้วก็ออกรถเลย แล้วผมก็พบว่าตลอดเวลาทัวร์ญี่ปุ่นในครั้งนี้ ทั้งรถไฟรถเมล์ของญี่ปุ่นเขาก็เป็นเช่นนี้ตลอด คือตรงเวลาเป๊ะ!! รถบัสใช้เวลาวิ่งประมาณชั่วโมงเศษ ก็พาพวกเรามาถึงสถานีรถไฟ Namba สองข้างทางระหว่างวิ่งมา ผมสังเกตได้ว่าทางซ้ายมือของเรา จะเป็นทะเลมีท่าเรือและโรงงานอุตสาหกรรม มีโรงไฟฟ้า มีท่าเรือยอร์ช ติดต่อกันไปตลอด ส่วนฝั่งขวามือก็จะเป็นตึกรามบ้านช่อง อาคารสำนักงาน ถนนหนทางต่างๆ จนแทบจะไม่มีที่ว่างให้เห็นพื้นแผ่นดินเลย คนญี่ปุ่นอยู่กันอย่างแออัดเช่นนี้นี่เอง ทุกอย่างจึงต้องมีระเบียบวินัยเคร่งครัด ไม่งั้นคงต้องทะเลาะกันเองตายแน่ พวกเรานั่ง Taxi จากสถานีรถไฟ Namba ไปยังโรงแรม Grand Vista ที่เราจองไว้ ซึ่ง พี่อ๊อด พี่อู๊ด และ จูน มาคอยอยู่ก่อนหน้าแล้ว คนขับ Taxi ดูงงๆเมื่อพวกเราบอกชื่อโรงแรม เพราะโรงแรมนี้เป็นโรงแรมใหม่ เพิ่งเปิดให้บริการได้ไม่นาน แถมตั้งอยู่ที่ถนนแคบๆ รถบัสคันใหญ่ไม่สามารถวิ่งเข้าไปได้ คงใช้ได้เฉพาะรถ Van หรือรถตู้ เราเลือกพักที่นี้ เพราะนอกจากจะเป็นโรงแรมใหม่ ราคาถูก และค่าโรงแรมยังรวมอยู่ใน Package ของตั๋วเครื่องบินแล้ว โรงแรมนี้ยังตั้งอยู่ใกล้ๆ สถานีรถไฟ Namba ซึ่งเราสามารถเดินไปได้ เพราะต่อไปนี้เมื่อทริปเราเริ่มขึ้น เราจะต้องมาตั้งต้นกันที่สถานีรถไฟ Namba แห่งนี้แหละ แต่ที่เราต้องเรียก Taxi ก็เพราะสัมภาระกระเป๋าของเราแต่ละคน ใบโตๆกันทั้งนั้น ขืนให้เดินลากกันไปโรงแรม ลูกทัวร์คนแรกที่จะโวยวายก็คือ พี่ฟ้า แน่นอน พี่จันทร์ ซึ่งเตรียมไว้แล้วว่า Taxi อาจจะไม่รู้จักโรงแรม ก็เลยงัดเอาแผนที่มากางให้ดู โชเฟอร์แท็กซี่ก็ร้อง อ๋อ เป็นภาษาญี่ปุ่น แล้วก็ขนพวกเราใส่รถ เลี้ยวรถสองทีก็ถึง โรงแรม Grand Vista เรียบร้อย ....."ยินดีต้อนรับสู่สนามบินคันไซ" ป้ายต้อนรับที่ติดอยู่ในห้องโถงของสนามบินคันไซ เมืองโอซาก้า... ....นี่แหละครับ ห้องโถงสำหรับผู้โดยสารนั่งรอระหว่างเดินทางเข้าออกสนามบิน ดูโอ่โถง เรียบร้อยสะอาด แม้ว่าจะมีขนาดไม่ใหญ่โตอะไร... ....พวกเรามายืนเข้าแถวรอบัสจากสนามบินคันไซ เพื่อจะไปสถานีนัมบะ อากาศหนาวนะครับข้างนอกนี่... ....สะพานที่เชื่อมสำหรับฝั่งและสนามบินคันไซ ซึ่งตั้งอยู่กลางทะเล ผมถ่ายจากรถบัสเมื่อข้ามมาถึงฝั่งแล้วครับ ลิบๆปลายสะพานด้านโน้นแหละครับคือสนามบิน... ....โรงผลิตกระแสไฟฟ้าของญี่ปุ่นครับ ญี่ปุ่นนับเป็นประเทศที่ใช้กระแสไฟฟ้ามากที่สุดประเทศหนึ่งของโลก ถ้านับจากปริมาณน้ำมันที่นำไปผลิตกระแสไฟฟ้าแล้วล่ะก็ เป็นอันดับสามของโลกรองจากจีนและสหรัฐอเมริกาทีเดียว... ....มีท่าเรือยอร์ชด้วย แต่ดูแล้ว สู้ภูเก็ตบ้านเราไม่ได้แน่นอน ทั้งสถานที่ ความสวยงาม และปริมาณเรือที่จอด... ....ถึงโรงแรมแกรนด์วิสต้าแล้ว พบปะทักทายกันครบคณะ "สิบหัวทุยตะลุยทัวร์" ก็ต้องถ่ายรูปกันไว้หน่อย ในภาพจะขาดผมกับจูน ซึ่งเป็นคนถ่ายครับ... ....สภาพถนนหน้าโรงแรมครับ เล็กๆแคบๆอย่างนี้แหละครับ รถบัสจึงเข้าไม่ได้ แท๊กซี่ยังไม่รู้จักเลยครับ... ....ร้านขายอาหารทะเล ร้านนี้ดูจะเป็นจุดเด่นของเมืองโอซาก้า ที่มักจะปรากฏอยู่ตามโบชัวร์และแผ่นพับ แม้แต่รายการท่องเที่ยวทั้งหลาย อย่างของช่องห้าวันก่อนที่มีดารานักร้องอย่าง "ฟิล์ม-รัฐภูมิ" มานำเที่ยว ก็ยังมาถ่ายสัญลักษณ์ของร้านนี้ "ป้าแดง"บอกว่าได้เจอ "ฟิล์ม-รัฐภูมิ" แล้วก็ขอถ่ายรูปไว้ด้วย... ...ร้านกุ๊กหน้าตาขี้โมโหคนนี้ก็เช่นกันครับ มักจะถูกถ่ายรูปลงตามโปรแกรมท่องเที่ยวต่างๆ จะบอกให้ว่าอยู่ใกล้ๆโรงแรมที่ผมไปพักนี่แหละครับ... โรงแรม Grand Vista เป็นโรงแรมใหม่ เพิ่งเปิดให้บริการเมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2551 หรือปี 2008 ปีที่แล้วนี่เอง ราคาห้องพักผมก็ไม่ทราบเหมือนกัน เพราะรวมอยู่ในค่าเครื่องบินเรียบร้อย ค่าตั๋วเครื่องบินไป-กลับญี่ปุ่นในครั้งนี้ ตกราคา 23,400 บาท ท่านผู้ชมลองคำนวณเอาเองเถิดว่าค่าโรงแรมที่แท้จริงจะเท่าไหร่ แต่ถ้าอยากจะทราบเผื่อวันหน้าวันหลังจะเดินทางไปก็ลองไปดูได้ที่เว็บไซด์ของเขา http://www.hotel-vista.jp/osaka/index_e.html หรือจะ Ctrl+คลิกไปที่ชื่อโรงแรมก็ได้นะครับ ผมเชื่อมโยงไว้ให้เรียบร้อยแล้ว ในห้องของโรงแรมแม้ไม่กว้างเหมือนอย่างโรงแรมไทย แต่ก็นับว่าไม่คับแคบเสียทีเดียว เหมือนอย่างกับที่เคยได้ยินมาว่า โรงแรมในญี่ปุ่นกลับตัวก็ยังไม่ได้ ทั้งห้องน้ำก็มีขนาดพอเหมาะสมกับที่จะเข้าไปอาบและ ทำธุระส่วนตัว แถมยังออกแบบส่วนผนังที่ติดกับเตียงนอนไว้แบบเป็นกระจกใส มองเห็นกันได้อีก ผมกับคุณนายหมูแม้จะเห็นอะไรต่ออะไรซึ่งกันและกันจนเบื่อแล้ว แต่ก็ยังอายกันอยู่ ถ้าจะต้องอาบน้ำโชว์กัน ยังดีที่เขาทำเป็นม่านชักรูดเอาไว้สำหรับแขกที่ยังอายกันอย่างผม ได้ปิดกันอุจาดไว้ด้วย ที่สำคัญของโรงแรมแห่งนี้ มีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกครบถ้วน นอกเหนือจากสบู่ ยาสระผม ครีมนวดผมแล้ว ก็ยังมี สบู่ล้างหน้าและล้างมือ หวี แปรงสีฟัน ยาสีฟัน ที่โกนหนวด ที่เป่าผม มีรองเท้าแตะ ชุดนอน กาต้มน้ำ นาฬิกาปลุก และอีกสารพัดครับ จนผมคิดว่าขนาดของโรงแรมแม้จะประมาณโรงแรมสามดาวเมืองไทย แต่ Facility หรือสิ่งอำนวยความสะดวกแล้ว น่าจะห้าดาวบวกๆเสียด้วยซ้ำ แถมอาหารเช้าของที่นี่ก็อร่อยนะครับน่าทานมาก มีให้เราเลือกหลายอย่างทีเดียว ทั้งแบบของญี่ปุ่น แบบตะวันตก รวมทั้งกาแฟก็สุดยอด ที่ผมชอบก็คือไข่ลวกครับ เขาลวกได้พอดีเป๊ะไข่แดงยังไม่แข็งเป็นไข่ต้ม แต่ขณะเดียวกันก็ไม่เหลวจนไหลเยิ้มออกมา พรรณนาเสียขนาดนี้ไม่อยากจะบอกครับว่า นี่เป็นโรงแรมที่ดีที่สุดในการทัวร์ครั้งนี้ วันต่อๆไปเราจะลดเกรดลงมาเรื่อยๆครับ...ฮา พวกเราเจอะเจอ พี่อ๊อด พี่อู๊ด และ จูน ที่โรงแรมนี้เรียบร้อยพร้อมหน้าพร้อมตาครบ สิบหัวทุยตะลุยทัวร์!! พี่อ๊อดคุยใหญ่ว่าแท็กซี่ที่แกเรียกมา ก็ไม่รู้จักโรงแรมเหมือนอย่างพวกเรา แต่แกบอกไม่เป็นไรเดี๋ยวบอกทางให้ ว่าแล้วก็ชี้ทางให้แท็กซี่มาได้จนถึง จนแท็กซี่งงว่าไหนไม่เคยมา แกคุยว่าแกดูจาก Map Google จนจำได้ว่ามายังไงบ้าง ส่วน จูน ก็เดินกอดคนโน้นคนนี้หนึ่งที ตามประสาคนที่คิดถึงกันมานาน จากนั้นก็มาวางโปรแกรมกันว่าใครจะไปไหน เด็กๆอย่าง พี่เปิ้ล จูน และ กระติก จะไป Universal Studios ส่วนคนอื่นๆรวมทั้งผมอยากจะไปกินเนื้อโกเบ กันดูว่าอร่อยสมคำร่ำลือหรือไม่ อันที่จริง Universal Studios ผมก็อยากไปอยู่หรอกนะ แต่เมื่อต้องเลือกก็ขอไปลองเนื้อโกเบก่อนดีกว่า คิดไปเสียว่า Universal Studios ก็คงจะครือๆกันกับ Dream World บ้านเรานั่นแหละ คิดไว้แบบนี้จะได้ไม่เสียดายที่ไม่ได้ไปเที่ยว!! ทั้ง สิบหัวทุยตะลุยทัวร์ ก็เลยเดินกันออกมา แล้วก็เลี้ยวลง Subway B20 ที่อยู่ใกล้โรงแรมที่สุด เพื่อที่จะเดินไปที่สถานี Namba แต่เดินเลี้ยวไปเลี้ยวมากลับหลงอยู่ใน Subway หาทางไปสถานีรถไฟยังไม่ได้ Subway ของญี่ปุ่นนี่กว้างขวางซับซ้อนมากนะครับ สองข้างทางจะเต็มไปด้วยร้านค้าขายของ ทั้งของกิน ทั้งร้านอาหาร กิ๊ฟช้อป ร้านขายยา ร้านหนังสือ สารพัดมีใน Subway จนเรียกได้ว่าเป็นเมืองอีกเมืองหนึ่ง มิน่าล่ะญี่ปุ่นที่ว่าคนเยอะๆแต่บนท้องถนนข้างบนถึงดูไม่เยอะเท่าไหร่ แถมรถราก็ไม่ติดแหงกเหมือนเมืองไทย แม้ว่าไฟแดงเขาจะเยอะแยะไปหมดก็ตามที เป็นเพราะว่าภายใต้ถนนที่เราเดินอยู่เบื้องบนนั้นมีเมืองอีกเมืองหนึ่ง ซ่อนอยู่ด้านล่างนี่เอง พอพวกเราเริ่มงง ผู้นำ ทั้งสามคนคือ พี่จันทร์ พี่อ๊อด และ จูน ก็ต้องเริ่มหาข้อมูล ทั้งสอบถามคนที่เดินไปมา และทั้งมองหาแผนที่ Subway ที่จะติดอยู่เป็นระยะๆ จนในที่สุดเราก็มาโผล่ที่สถานี Namba เรียบร้อย เราแยกย้ายกันไป ตะลุยทัวร์ ตามที่ต้องการ พี่เปิ้ล จูน กระติก โบกมือบ๊ายบายไป Universal Studios ส่วนพวกเราก็ไปหาช่องทางซื้อตั๋วรถไฟไป Kobe วันนี้เรานัดเจอกันอีกก็ที่โรงแรมเลย กลุ่มโน้นไม่น่าเป็นห่วงเพราะมี จูน ไปด้วย ห่วงแต่กลุ่มเรานี้แหละ ที่จะต้องพึ่งพระเอกอย่าง พี่จันทร์ และ พี่อ๊อด ....สภาพห้องนอนของโรงแรมแกนด์วิสต้า ดูหรูไม่ใช่เล่นนะครับ แม้จะเป็นโรงแรมเล็กๆก็ตาม.... ....มีข้าวของเครื่องใช้ เครื่องอำนวยความสะดวกให้ครบ ดูทีวีสิครับยังจอแบนเล้ย!!... ....ดูน้องน้ำสิครับ ไม่อยากจะเข้าเลย กลัวจะทำห้องน้ำเขาเปื้อนเดี๋ยวหมดสวย ชักโครกก็ใช้ไฟฟ้า แถมมีปุ่มน้ำล้างก้นให้ด้วย... ....อ่างอาบน้ำขนาดย่อม ที่เรียกว่าขนาดย่อมไม่เรียกว่าขนาดเล็ก เพราะต่อไปเราเจอที่เล็กกว่านี้อีกครับ แล้วดูวิวตรงผนังอ่างอาบน้ำสิครับ ช่างคิดมาได้ทำเป็นกระจกใสให้มองเห็นกันระหว่างเตียงนอน กับคนอาบน้ำ ยังดีที่ยังอุตส่าห์ทำฉากสำหรับปิดเปิดไว้ให้... ....อีกมุมหนึ่งถ้าดูจากห้องนอน จะเห็นทะลุห้องน้ำ ดูยังงี้ก็สวยดี แต่ถ้าเวลาอาบอยู่นี่สิ ไม่สวยแน่!!... ....ภายใต้ Subway ของ Osaka เสมือนเป็นเมืองอีกเมืองหนึ่งที่อยู่ใต้ดิน ในภาพเรากำลังดูแผนที่กันอยู่ เพราะกำลังหลงทางหาทางไปสถานี Namba ไม่เจอ สามคน"พี่จันทร์+พี่อ๊อด+จูน" จะหน้านิ่วคิ้วขมวดกันยังไง เราไม่สนเราก็ยังสนุกสนานกันเต็มที่ ไม่เชื่อก็ดูพี่ฟ้าสิ!!... ....สภาพภายใน Subway ผู้คนก็ขวักไขว่เป็น "นอหนู" ยังงี้แหละครับ เพราะคนส่วนใหญ่ของญี่ปุ่นเขาเดินทางกันด้วยรถไฟ... ....เครื่องซื้อตั๋วรถไฟของญี่ปุ่นเขาจะเป็นเครื่องหยอดเหรียญครับ แต่เป็นแบ็งค์ก็ได้นะครับ ใส่ไปแล้วถ้าไม่พอดีมันจะมีเงินทอนไหลออกมาให้เอง ไม่ต้องห่วงครับ แต่ที่ห่วงก็คือภาษาครับ ในภาพจะเห็นได้ว่าพี่จันทร์กำลังมองหา ปุ่มที่จะเปลี่ยนเป็นภาษาอังกฤษอยู่... ...คนญี่ปุ่นเขาจะมีระเบียบและมารยาทมาก ขึ้นลงรถไฟหรือลิฟท์ เขาจะคอยให้คนออกมาก่อนถึงจะก้าวเข้าไปเสมอ... ....สภาพถายในรถไฟฟ้าของเขา ก็ดูไม่ต่างจากของเรา...ต่างคนต่างนั่ง ถ้ามาด้วยกันคุยกันเขาก็จะคุยกันเบามาก... ....ป้ายบอกสถานี "Sannomiya" ส่วนสถานี "Kasuganomichi" และสถานี "Motomachi" นั้นคือสถานีก่อนหน้าและสถานีถัดไป... เราเดินทางไป Kobe ด้วยรถไฟของ Hanshin Line ค่าโดยสารคนละ 400¥ ท่านผู้ชมที่อยากทราบว่าเป็นเงินไทยเท่าไหร่ก็เอาจุดสามแปดที่ไม่ใช่ปืนคูณดูนะครับ แต่ปกติที่ผมคิดในใจก็จะเอาสี่คูณ ซึ่ง 400 เยน เราก็จะประมาณเอาคร่าวๆว่า 150 บาท ถูกหรือแพงก็ไม่รู้ครับ ไปใหม่ๆคูณออกมาแล้วก็ดูแพงไปหมด แต่พอวันหลังๆชักจะชิน ขนมกล่องละพันเยนยังว่าถูกเลยครับ เราไปลง Kobe ที่สถานีรถไฟชื่อ Sannomiya จากนั้นก็เดินหาร้านอาหารทานเลยเพราะว่าหิวกันแล้ว แต่เดินไปเดินมาก็ยังหาร้านที่เปิดขายไม่ได้ เพราะว่าในแถบที่เราไปเดินนั้นส่วนใหญ่เขาจะขายกันในตอนเย็นครับ จนมาหยุดอยู่ที่ร้านหนึ่งมีป้ายบอกว่าเป็นบุพเฟต์มีหลายราคา ดูตามรูปแล้วก็น่าทานดีครับ แต่ร้านนั้นต้องขึ้นบันไดแคบๆไปชั้นสองอีกที ซึ่งก็ไม่รู้เหมือนกันว่าร้านเปิดหรือยัง ก็พอดีกับที่มีผู้หญิงคนหนึ่งเดินลงมา พอเห็นเรากำลังยืนดูป้ายกันอยู่ก็ทักทายเป็นญี่ปุ่นยืดยาวมาเชียว ทั้งๆที่เห็นอยู่แล้วว่า คนหัวทุยกลุ่มนี้ไม่มีใครหน้าตากระเดียดญี่ปุ่นอยู่สักคน พอเราถามไปเป็นภาษาอังกฤษ เธอก็อังกฤษสำเนียงญี่ปุ่นกระท่อนกระแท่นกลับมา พอเป็นอันรู้ว่าร้านของเธอเพิ่งเปิด และพวกเราก็เป็นลูกค้ารายแรก ฉะนั้นเพื่อความเฮงในการค้าขายในวันนี้ เธอจึงรีบต้อนพวกเราเข้าสู่ร้านของเธอทันที!! ร้านของเธอเป็นร้านเล็กๆแคบๆ บนชั้นสอง แต่ก็ดูสะอาดดี บนโต๊ะจะมีเตาไฟฟ้าวางไว้ตรงกลางสำหรับย่างเนื้อทาน เราแยกกันออกเป็น สองโต๊ะ เพราะ พี่จันทร์ กับ พี่ฟ้า ไม่ทานเนื้อ ป้าแดง ก็ไปนั่งกับโต๊ะพี่จันทร์ด้วย ส่วนโต๊ะผมซึ่ง Need เนื้อเป็นการเฉพาะคือ พี่อ๊อด พี่อู๊ด คุณนายหมู และ ผม-เป๊ปซี่ ก็นั่งล้อมเตาไฟฟ้ารอย่างเนื้อกันใกล้ๆโต๊ะพี่จันทร์นั่นเอง เราสั่งเอาบุพเฟต์ชนิดราคาถูกที่สุดคือ คนละ 1,990¥ คิดเป็นเงินไทยก็ตกราวหัวละ 750 บาท นี่คือถูกสุดแล้วนะครับ คือถูกแพงนี่เขาคิดจากเกรดของเนื้อครับ เนื้อดีกว่านี้ก็แพงขึ้นไปอีกเป็นสองพันกว่าเยนและสามพันเยน ....ไม่ไหวครับ!! ในครั้งแรกที่เขาเสริฟเขาจะเสริฟมาก่อนสองจานครับ คือจานเนื้อล้วนๆหนึ่งจานและจานหมูกับไก่หนึ่งจาน ส่วนของโต๊ะพี่จันทร์ก็เสริฟเฉพาะจานหมูกับไก่ ถือว่าขาดทุนนะครับเนี่ย ส่วนเมื่อจานไหนหมดก็ขอเพิ่มได้ไม่จำกัดครับ แต่เขาจะจำกัดเวลา ร้านที่เราทานนี้ให้เวลาถึงสองชั่วโมงแนะครับ เนื้อที่เราทานแม้จะเป็นเนื้อที่ถูกสุดแล้ว แต่มันก็ชุ่มลิ้นฉ่ำรสอร่อยที่สุดเท่าที่เคยทานเนื้อมาเลยแหละครับ เป็นอย่างที่เขาบอกจริงๆครับว่า ละลายในปาก ไม่ละลายในมือ ไม่รู้ว่าไอ้ที่เกรดดีๆแพงกว่านี้ จะเป็นยังไง แต่แค่นี้ผมก็ซัดกันไปจนพุงกางแล้วล่ะครับ เราขอเพิ่มเฉพาะเนื้ออย่างเดียวสักสามจานเห็นจะได้ จนเห็นกว่ากลืนลงไปไม่ไหวแล้วนั่นแหละครับ ถึงได้ขออิ่ม สังเกตได้อย่างหนึ่งว่า ชาวญี่ปุ่นนี่ไม่ค่อยชอบกินผักหรืออย่างไรไม่ทราบ อาหารญี่ปุ่นจึงไม่ค่อยมีผักเป็นส่วนผสมสักเท่าไหร่ หรือว่าเป็นเพราะว่ามีพื้นที่ทำการเกษตรน้อย พืชผักจึงหายากก็ไม่ทราบได้ อย่างเช่นบุพเฟต์ในวันนี้แทนที่จะมีผักกะหล่ำ ฟักทอง กระเจี๊ยบ มาให้เราย่างกินแกล้มเนื้อ เหมือนอย่างร้านอาหารประเภทปิ้งๆย่างๆในเมืองไทยทำ ก็หามีไม่ แถมมีก้านผักของผักอะไรก็ไม่ทราบหั่นใส่มาให้แค่หนึ่งชิ้น ต่อเนื้อหนึ่งจานทุกครั้งที่เราสั่งเพิ่ม เราก็เลยขอเฉพาะผักนี้มาทาน เขาก็ใส่ถ้วยน้อยๆเหมือนถ้วยน้ำจิ้มมาให้หน่อยหนึ่ง....ก็ยังดี!! เรากินกันอย่างสนุกสนานจนกระทั่งอิ่ม ถึงได้สังเกตว่าร้านนี้มีคนบริการอยู่แค่สองคนเอง คือคุณผู้หญิงที่เราเจอที่หน้าร้านหนึ่งคน กับหญิงสาวอีกคนหนึ่งที่ดูอายุน้อยกว่า เธอทั้งสองเป็นทั้งบริกรและแม่ครัวไปด้วยในตัว เมื่อเราสั่งอาหารเพิ่ม เธอก็จะเดินเข้าครัว แล้วก็เอามีดหั่นเนื้อใส่จานมาให้เรา เสร็จแล้วก็จะเดินไปคอยอยู่หน้าร้านคอยต้อนรับลูกค้าคนอื่นที่จะเดินเข้ามา และเมื่อเราสั่งซุปเพิ่มเธอก็จะเดินมาบริการเราอีก ดูๆเธอจะทำหน้าที่ทั้งหมดทั้ง เป็นเจ้าของร้าน บริกรและแม่ครัว!! หลังจากอิ่มหนำสำราญ เจ็ดหัวทุยตะลุยทัวร์ ก็ตั้งเป้ากันจะไปที่ Rokko ซึ่งเป็นยอดเขามี Cable Car ขึ้นไปชมวิวเมืองโกเบเบื้องบน เราขึ้นรถไฟไปลงที่สถานี Rokko ซึ่งเป็นสถานีใกล้ๆค่ารถไฟจึงเพียง 180¥ เท่านั้น ลงจากรถไฟก็ต้องหาทางต่อรถเมล์ไปอีก ทีนี้หัวหน้าทัวร์ของเราเริ่มงง เพราะตรงป้ายรถเมล์หน้าสถานีรถไฟ Rokko ไม่มีสายไหนเลยที่บอกว่าจะไปที่ Rokko Cable Car สุดท้ายก็เลยต้องสอบถามเอากับเจ้าหน้าที่คนหนึ่ง ไม่ทราบว่าแกเป็นเจ้าหน้าที่ของรถไฟหรือเจ้าหน้าที่ของรถเมล์ ก็ได้ความว่าต้องอ้อมไปอีกด้านหนึ่งของสถานี พวกเราก็เลยต้องเดินข้ามทางรถไฟไปอีกด้านหนึ่ง พอข้ามมาแล้วก็ยังไม่แน่ใจอีกว่าใช่ป้ายนี้หรือไม่ พอดีมีวัยรุ่นญี่ปุ่นหน้าตาอาโนเนะเดินกันมาสี่คน พี่จันทร์ก็เลยสอบถามเสียเลย ดูเธอน่ะเข้าใจว่าเราต้องการอะไร แต่วิธีการที่เธอจะสื่อสารให้เราทราบนั้น ภาษาใบ้ของเธอทำให้เราเข้าใจได้มากกว่าภาษาอังกฤษที่เธอพูดเสียอีก เธอว่าบอกขึ้นรถเมล์ที่ป้ายนี้แหละสาย 16 เดี๋ยวก็มา แล้วก็ชี้ให้ดูเวลาที่กำหนดไว้ที่ป้าย ผมล่ะทึ่งเลยว่าขนาดรถเมล์ที่ญี่ปุ่นนี่ยังมีกำหนดเวลาเข้าป้ายเลย ของเมืองไทยขอให้มาก็บุญแล้ว แต่พอเราถามถึงค่าโดยสาร เธอก็ทำท่านับนิ้วไปมาแล้วก็บอกเราว่า Two Thousand Yen ทีนี้เราก็อึ้งกันอีกหนว่า ทำไมค่ารถเมล์มันแพงจังว่ะ พี่จันทร์ก็สันนิษฐานไปตามเรื่องว่า หรือว่าเป็นค่าโดยสารไปกลับ แต่ก็ยังแพงอยู่ดี หรือว่ารวมค่าขึ้น Cable Car ด้วย อันนี้พอจะเป็นไปได้ ขณะกำลังอึ้งอยู่นั่นเอง อาโนเนะกลุ่มเดิมเธอก็รีบวิ่งกลับมาที่พวกเรา แล้วก็กล่าว ซึมิมะเซน ดังลั่น ขอโทษ เธอว่าอย่างนั้น Two Hundred Yen!! คราวนี้พวกเรายิ้มออก แล้วก็รีบกล่าว แทงกิ้ว อาริกาโตะ โกไซมัส กันใหญ่!! เรารอรถเมล์อย่างลุ้นว่ามันจะมาตรงเวลาตามที่กำหนดไว้ที่ป้ายหรือไม่ รู้สึกว่าตอนนั้นจะเป็นเวลา 14.13 น. พอเข็มนาฬิกาข้อมือของผมกระดิกตรงจุดสิบสามนาที รถเมล์ก็มาจอดเป๊ะตรงป้ายพอดี โอ้โฮ!! ทำได้ไงเนี่ย เราเดินขึ้นไปบนรถเมล์แล้วก็หาที่นั่ง รถเมล์ญี่ปุ่นจะคันเล็กกว่าบ้านเรา ทางขึ้นอยู่ทางหนึ่งทางลงอยู่ทางหนึ่ง ห้ามขึ้นลงสวนทางกันเป็นอันขาด ทางขึ้นจะอยู่ประมาณกลางๆรถ ทางลงจะอยู่หน้ารถบริเวณคนขับ คนขับรถจะดูว่าที่ป้ายนี้มีคนลงหรือไม่ หากว่ามีคนลงเขาจะยังไม่เปิดประตูด้านทางขึ้น จะให้คนลงซึ่งจะต้องจ่ายสตางค์ลงในช่องเก็บเงินใกล้ๆคนขับลงหมดเสียก่อน จึงจะเปิดประตูให้คนขึ้นไป คนลงจะต้องเตรียมเงินไว้หยอดในช่องเก็บเงิน หากไม่พอดีหรือเป็นธนบัตรก็ไม่ต้องห่วง จะมีเงินทอนไหลออกมาเอง ด้วยวิธีการนี้ กระเป๋ารถเมล์ ก็เลยไม่ต้องมี!! นอกจากนี้เมื่อรถเมล์จะเข้าจอดป้ายใดป้ายหนึ่ง ก็จะมีเสียงบอกมาเหมือนในรถไฟฟ้าใต้ดินบ้านเราบอกว่า Next Station Siamsquare อะไรทำนองนั้น ทำให้ผู้โดยสารที่ไม่รู้จักทางอย่างเราได้รู้ว่า ถึงที่หมายหรือยัง แถมรถเมล์บางคันยิ่งกว่านี้ นอกจากจะมีเสียงประกาศแล้วยังอุตส่าห์มี จอมอนิเตอร์ติดอยู่หน้ารถ เหนือศีรษะคนขับ บอกถึงเส้นทางเดินรถและชื่อป้ายที่จะจอด พร้อมกับมีไฟสีแดงวิ่งไปให้รู้ว่า ตอนนี้รถเมล์ไปถึงป้ายไหนแล้ว แต่เหนืออื่นใดที่สร้างความพิศวงให้กับผมก็คือ เมื่อรถเมล์จอดป้ายปุ๊บ พ่อดับเครื่องปั๊บทันที รอจนคนลงคนขึ้นเสร็จ ถึงจะได้สตาร์ทเครื่องขับไปใหม่ ผมก็ไม่รู้เหตุผลกลใดของวิธีการที่ทำเช่นนั้น ทั้งๆที่ขณะที่จอดก็ไม่นาน ไม่น่าจะเกินนาทีนะผมว่า ก็ได้แต่เดาไปเรื่อยกับพี่จันทร์ว่า หรือว่าญี่ปุ่นมันต้องการจะประหยัดน้ำมัน เพราะว่าน้ำมันมันต้องซื้อ แต่หัวเทียนมันทำเอง!! ป้าย Rokkomichi ที่เราต้องการจะลง เป็นป้ายสุดท้ายสุดสายของรถเมล์พอดี เราก็เลยไม่ต้องรีบพี่จันทร์จ่ายสตางค์เสร็จก็บอกว่า Seven Personsพร้อมกับทำมือไปด้วย ป้องกันการฟังไม่รู้เรื่อง คนขับรถก็พยักหน้าสองหงึก เป็นอันเข้าใจ คนไทยหัวทุยทั้งเจ็ด ก็เดินลงจากรถเมล์ญี่ปุ่น อย่างสนุกสนานชื่นบาน ....ขึ้นมาจากสถานีรถไฟที่โกเบ ก็ต้อนรับพวกเราด้วย "Flower Road" ถนนดอกไม้สวยๆอย่างนี้แหละครับ... ...."พี่จันทร์กับพี่ฟ้า" กำลังนั่งยิ้มแป้นแล้นอยู่ที่ร้านเนื้อย่างที่เมืองโกเบ นี่ขนาดไม่กินเนื้อนะครับ แต่ก็ต้องตามใจลูกทัวร์อย่างเรา ที่อยากมาโกเบเพื่อการนี้โดยเฉพาะ... ....มาแล้วครับเนื้อโกเบ "ละลายในปาก ไม่ละลายในมือ" อธิบายเท่าไหร่ก็ไม่เข้าใจหรอกครับ นอกจากจะต้องไปทานเอง... ....ของพี่จันทร์พี่ฟ้าเป็นไก่กับหมูครับ งานนี้ยอมขาดทุนเพื่อนน้องๆ ฮิฮิ อ้อ !! เพื่อนๆ อย่างพี่อ๊อดกับป้าแดงด้วย... ....ย่างในเตาไฟฟ้าอย่างนี้ แล้วก็จิ้มน้ำจิ้มของญี่ปุ่น คล้ายๆโซยุอะไรอย่างนั้น แต่หวานกว่า แล้วก็ใส่ปาก เคี้ยวไม่เกินสามที กลืนได้เลยครับ.... ....พอเริ่มอิ่มเราก็เริ่มเดินกันวุ่นวาย เข้าห้องน้ำบ้าง เดินไปดูโน่นดูนี่บ้าง มิใยที่เจ้าของร้านเขาจะมาขอร้องให้นั่นลงอยู่กับที่ เพราะร้านเขาแคบและเล็ก จึงไม่ชอบให้ลูกค้าเที่ยวเดินไปเดินมา... ....ถึงแล้วครับ สถานี Rokko Cable Car ที่เราจะขึ้นไปชมวิวเบื้องบน... Rokko Cable Car ต้องเสียค่าขึ้นอีกคนละหนึ่งพันเยน พี่จันทร์ควักเอาคูปองส่วนลดที่เขามีไว้แจกนักท่องเที่ยว ยื่นให้ที่ห้องขายตั๋ว คิดว่าจะลดได้เยอะ เขาลดให้แค่คนละ 80 เยน เท่านั้น ตกลง 7 คนเลยต้องเสียค่าขึ้นเคเบิ้ลคาร์รวม 6,440 เยน Rokko Cable Car เป็นยอดเขาที่สูงไม่ใช่เล่น เฉพาะที่เป็นส่วนของ Cable Car นี้ ก็สูงกว่า 400 เมตรแล้ว ที่ข้างคนขับ Cable Car มีหนังสือบอกว่า Since 1932 นานไม่ใช่เล่นเหมือนนะเนี่ย!! Cable Car พาเราขึ้นมาด้านบน ทีจริงยังไม่ถึงยอดสุดหรอกนะครับ เพราะแหงนหน้ามองขึ้นไป ยังเห็นยอดอยู่อีกลิบๆ แต่เขาคงต้องการให้เราได้ชมวิวทิวทัศน์ อยู่บริเวณตรงนี้ ขึ้นมาด้านบนอากาศหนาวเชียวครับ ผมต้องเอามือใส่กระเป๋าไว้ เพราะไม่งั้นมันจะชา วันนี้ไม่ได้เอาเสื้อหนาวตัวหนาสีเหลืองใส่มาด้วย เก็บเอาไว้ที่โรงแรมเมื่อเช้า เพราะเห็นว่าแดดเริ่มออกจ้า คิดว่าไม่น่าจะหนาวมาก คงใส่มาแต่เสื้อกั๊กที่ซื้อไว้ตั้งแต่ครั้งไปเยือนนิวซีแลนด์ แต่ตอนนี้มันหนาวจริงครับพี่น้อง ยิ่งตอนลมกระโชกมาจะกระโดดเสียให้ได้ เขามีมิเตอร์วัดอุณหภูมิอยู่ที่ในห้องโถงของ Cable Car บอกว่าอุณหภูมิขณะนี้ 7°c แต่นี่เป็นอุณหภูมิในห้องโถงนะครับ ภายนอกต้องต่ำกว่านี้แน่ พวกเราถ่ายรูปชมวิวกันอยู่สักพัก ก็ลงมาจาก Rokko กัน จากนั้นก็ตั้งเป้าจะไปที่ท่าเรือโกเบ ซึ่งมีสัญลักษณ์เป็น Kobe Port Tower สีแดงเห็นแต่ไกล เรานั่งรถไฟไปลงที่สถานี Motomachi เสียค่ารถไฟไป 160¥ พอขึ้นมาจากสถานี Motomachi ก็มองเห็น Kobe Port Towerสีแดงอยู่ไม่ไกลเกินเดิน แต่พอเดินแล้วทำไมมันไกล๊ไกลก็ไม่รู้!! ไปถึง Kobe Port Tower แล้วก็ไม่ได้ขึ้นไปบนหอคอยของเขาหรอกครับ แต่ไพล่ไปล่องเรือชมวิวอ่าวโกเบ ที่นั่นมีเรือจอดให้บริการอยู่หลายลำ ลำหนึ่งตกแต่งเสียสวยงาม ด้วยการเสกสรรปั้นแต่งให้เป็นเรือในเทพนิยาย มีทั้งเจ้าชาย เจ้าหญิงและอสูร ดูแล้วถ้าเป็นเด็กก็คงจะชอบใจแหละครับ แต่แม้เป็นผู้ใหญ่อย่างผม ก็ยังรู้สึกตื่นเต้น จึงไปถ่ายรูปกับเจ้าหญิง เจ้าชายเสียหลายรูป พี่จันทร์ ไปสอบถามราคาค่าเรือ เรือของเขาชื่อ Villaggio Italiaคนขายตั๋วบอกว่าคนละหนึ่งพันเยน พี่จันทร์บอกว่าเรามีคูปองส่วนลด เขาก็เลยบอกว่างั้นลดให้เหลือหกร้อยเยน พี่จันทร์ก็ยังต่ออีกว่าห้าร้อยเยนได้ไหม เรามากันเจ็ดคน เขาก็ตกลงโอเค จะบอกว่านี่เป็นบริการเดียวของทัวร์ญี่ปุ่นครั้งนี้ ที่เราสามารถต่อรองราคากับเขาได้!! บริเวณอ่าวโกเบ ถึงแม้ว่าน้ำทะเลจะดูใสสะอาด เสียจนไม่น่าเชื่อว่านี่เป็นอ่าวของเมืองที่เต็มไปด้วยอุตสาหกรรมรอบข้าง แต่ก็มองไม่เห็นหาดทรายสักเม็ด มิน่าล่ะชาวญี่ปุ่นที่ไปเที่ยวบ้านเราถึงได้หลงใหล หาดทรายสีขาวบ้านเรา เสียจนแทบจะลงไปนอนเกลือก เรือวนรอบอ่าวโกเบสักชั่วโมงก็วนมาจอดที่เดิม มีที่น่าตื่นเต้นก็คือ มีอยู่ช่วงหนึ่งที่เรือวนไปรอบอ่าว พนักงานบนเรือก็ส่งเสียงบอกเราว่าให้ดู เรือดำน้ำ ก็เห็นเรือดำน้ำจอดอยู่สองลำ ไม่ทราบว่าตรงนั้นเป็นที่จอดเรือดำน้ำของกองทัพญี่ปุ่น หรือว่าเป็นอู่ต่อเรือดำน้ำของญี่ปุ่น ขึ้นจากเรือมาก็ค่อนข้างจะเย็นแล้ว ที่สำคัญก็คือเริ่มหิว และสำคัญกว่านั้นก็คือลูกทัวร์คนสำคัญอย่างพี่ฟ้าและป้าแดง เริ่มบ่นว่าเมื่อยเดินไม่ไหวแล้ว ที่จริงลูกทัวร์อย่างผมก็เมื่อยเหมือนกันแหละ แต่ไม่กล้าบ่น พวกเราจึงตกลงใจเรียก Taxi ไปยัง Motomachi Shopping Street ซึ่งเราได้เดินผ่านมา เมื่อตอนจะมาที่ท่าเรือโกเบนี้ และป้าแดงได้เล็งไว้แล้วว่า อยากจะเข้าไปช้อปร้านไหนบ้าง ที่ Motomachi Shopping Street ก็เป็นกึ่งๆ Shopping Center เหมือนๆ สยาม สแควร์บ้านเรายังงั้น มาถึงแหล่งช้อปปิ้ง ทั้งป้าแดงและพี่ฟ้าก็ลืมเหนื่อยลืมหิวกันไปพักหนึ่ง เดินเข้าร้านโน้นออกร้านนี้ แล้วก็มีถุงหิ้วติดมือออกมา ผมก็เดินดูของไปตามประสา ของในร้านญี่ปุ่นนี้ แม้ส่วนใหญ่จะเป็นภาษาญี่ปุ่นเสียเกือบหมด แต่ก็ยังดีอยู่อย่างหนึ่งคือ มีป้ายราคาบอกไว้ตัวใหญ่ๆให้เห็นเด่นชัดเสมอ ส่วนพี่จันทร์ก็ไปเดินหาร้านอาหารซึ่งเราจะได้ทานกันเย็นนี้ สักพักพี่จันทร์ก็โผล่มาบอกว่าเห็นร้านอาหารจีนร้านหนึ่งน่าทาน เพราะมีขาหมูและหูหมูตั้งอยู่หน้าร้าน พวกเราก็เลยโอเคไปตามร้านที่พี่จันทร์ว่า นอกจากหูหมูและขาหมูที่เราชี้นิ้วสั่งเอาจาก หม้อที่ตั้งโชว์ ไว้หน้าร้านแล้ว อาหารอย่างอื่นเราต้องสั่งเอาจากรูปทั้งสิ้น เพราะเมนูอาหารของเขาล้วนแล้วแต่เขียนด้วยตัวอักษร คันจิ หรือภาษาญี่ปุ่นทั้งนั้น และเพราะต้องสั่งเอาตามรูปนี่แหละ เราจึงสั่งผิดไปสองอย่าง คือเราต้องการจะสั่งเป็นกับข้าว เพราะได้สั่งข้าวเป็นถ้วยมาแล้ว แต่เพราะสั่งตามรูปก็เลยสั่งผิด ได้ ข้าวราดหน้าไข่ กับ ข้าวราดหน้าผัก มาด้วย ก็ในรูปมันมีแต่ไข่และผักโปะอยู่ข้างหน้า ดูน่ากิน มันมองไม่เห็นข้าวนี่นา!! ตกลงว่าค่าอาหารจีนมื้อนั้นคิดค่าอาหารแล้วราคา 14,450 เยน หาร 7 แล้วตกคนละสองพันกว่าเยน แพงเหมือนกันนะเนี่ย ราคาบุพเฟต์กลางวันยังถูกกว่าเลย!! ....นี่แหละครับคือขบวนรถ Cable Car ที่จะพาเราขึ้นไป ดูเก่าแก่แต่ก็คลาสสิคนะครับ... .....สภาพภายใน Cable Car คุณนายหมูเธอนั่งกับป้าแดง ถือกล้องถ่ายรูปอันใหม่ประจำตัวของเธอเอง ยังไม่เห็นรูปจากกล้องของเธอเหมือนกันครับ ไม่รู้ว่าจะแจ่มแจ๋วขนาดไหน... ....พนักงานขับรถ แต่งตัวเสียเท่เชียวครับ ว่าแต่ว่าพนักงานไหนๆในญี่ปุ่นก็แต่งตัวอย่างเท่ทั้งนั้นครับ ไม่เว้นแม้แต่โชเฟอร์แท๊กซี่ หรือโชเฟอร์รถเมล์ ต่างก็มีเครื่องแบบและหมวกใส่ทั้งนั้น และดูเขาจะทำงานของเขาด้วยความภาคภูมิใจยิ่ง... ....บอกว่าสร้างมาตั้งแต่ปี คศ 1932 นานพอได้นะครับเนี่ย ตรงกับปีพ.ศ.2475 ของไทยเลย ตอนนั้นเรากำลังสร้างสะพานพุทธอยู่พอดี... ....ด้านบนของ Rokko Cable Car อากาศหนาวมากครับ "ปากของคุณนายหมู" เป็นพยานได้... ....ต้นสนที่ขึ้นท้าลมหนาวอยู่เบื้องบน วิวจากมุมนี้สวยดีครับ เพียงแต่ผมถ่ายไม่เก่งเลยดูไม่ค่อยสวย ถ้าเป็นฝีมือของ "ย่าดา" "เลิฟคอนโด" หรือว่า "แป๋ม" คงจะสวยกว่านี้... .....เบื้องล่างนั่นแหละครับ วิวเมืองโกเบล่ะจะเห็นได้ว่าเขาสร้างเมืองลงไปในทะเลเลย... .....ข้างบนนี้ลมแรงครับ ยอดสนเหล่านี้ไม่หนาวบ้างหรือไง.... ....สภาพภายในเมืองโกเบครับ เรากำลังเดินกันเพื่อจะไปที่ท่าเรือโกเบ โดยสังเกตสัญลักษณ์ Kobe Port Tower สีแดง มองเห็นแต่ไกล... ....Motomachi Shopping Street ที่ป้าแดงกับพี่ฟ้า กำลังหมายตาไว้ว่า เดี๋ยวเราจะมาเดิน.... ....ถ่ายจากบนสะพานลอยเมืองโกเบครับ เห็นสภาพถนนว่างๆแล้วอิจฉานะครับ ปกติแล้วญี่ปุ่นไม่ค่อยมีสะพานลอยหรอกนะครับ ที่นี่เป็นแห่งเดียวที่เราพบเห็น... ....นี่แหละครับ Kobe Port Tower สัญลักษณ์ของท่าเรือโกเบ ดูทันสมัยดีนะครับ แต่ผมไม่ได้ขึ้นไปหรอก.... .....นี่ครับ เรามาขึ้นเรือลำนี้ท่องเที่ยวไปรอบอ่าวโกเบ... ....Orientel Hotel ของญี่ปุ่นสร้างเป็นอาคารรูปร่างแปลกตาดีครับ แต่ไม่รู้จะบริการดีเท่ากับ Orientel เมืองไทยหรือเปล่านะครับ... .....บนเรือ Villaggio Italia มีรูปปั้นนางฟ้าอยู่บนเรือด้วยครับ....ถ้าเป็นหนุ่มสาวขึ้นมาก็จะดู "โรแมนติก" อยู่ไม่น้อย แต่ถ้าเป็นวัยผมแล้วละก็คงจะ "โรแมนตก" ไปแล้ว!!... ...นี่แหละครับ "เรือดำน้ำ" สองลำ ที่พนักงานบนเรือพยายามจะชี้โบ๊ชี้เบ๊ให้ผมดู... .....ร้านอาหารของญี่ปุ่น มักจะทำอาหารหน้าตาน่าทานอย่างนี้ เอาไว้โชว์ลูกค้าหน้าร้าน อร่อยไม่อร่อยไม่รู้ แต่ดูน่ากินก็อร่อยไปครึ่งหนึ่งแล้ว ว่าไหมครับ?... .....ร้านนี้ขายร่มครับ ดูสวยถูกใจทีเดียว แต่ก็แพงแบบไม่ถูกใจเอาเสียเลย คันหนึ่งตกประมาณสองพันเยนแนะครับ... ...ร้านขายขนม จะมีอยู่ทั่วไปของญี่ปุ่น ล้วนแล้วแต่ทำไว้หน้าตาน่าทานทั้งนั้น แต่ก็อร่อยเสียเป็นส่วนใหญ่นะครับ... ....ร้านนี้ขายผลไม้ ดูมะพร้าวอ่อนลูกถลอกปอกเปิก ในตะกร้านี้สิครับ ราคาลูกละตั้ง 580 เยน ตกลูกละสองร้อยยี่สิบบาททีเดียว เมืองไทยขายลูกละ 20 บาท ก็บ่นกันระนาวแล้วครับ... ....ร้านขายผลไม้ร้านเดี๋ยวกับ "มะพร้าวอ่อน" นั่นแหละครับ ดูได้แต่ไม่ควรซื้อ เพราะมันแพง เมื่อคิดถึงส้มและกล้วยบ้านเรา... .....ยามเย็นในเมืองโกเบครับ...ถนนหนทางดูสวยและเป็นระเบียบเรียบร้อยดีจังครับ... .....นี่แหละครับ คือร้านอาหารจีนที่เราเข้าไปกินกัน นอกจากอาหารที่วางหน้าร้านแล้ว อย่างอื่นต้องชี้เอาตามรูปเท่านั้นครับ... ....."พี่จันทร์" เห็นขาหมูและหูหมู ในหม้อนี้แหละครับ ก็เลยชวนมาทาน ก็อร่อยดีครับ แต่ผมว่าเมืองไทยอร่อยกว่า โดยเฉพาะราคา.... .....ค่ำคืนในเมืองโกเบครับ พอเริ่มตกเย็นอากาศจะเริ่มหนาวลงอย่างรวดเร็วทันที ผมออกมาจากร้านอาหารถึงกับสั่นเลยครับ.... จากร้านอาหารเรานั่งรถไฟจากสถานี Motomachi จะไปลงที่ Osaka ซึ่งต้องเสียค่าโดยสารคนละ 390¥ ทั้งพี่จันทร์และพี่อ๊อดก็ช่วยกันดูแล้วว่าถูกขบวนแน่นอน เจ็ดหัวทุยตะลุยทัวร์ ก็ขึ้นไปนั่งเรียบร้อย ขณะที่รถไฟวิ่งไปๆ ก็มีรถไฟอีกขบวนหนึ่งวิ่งมาขนาบข้างคันขบวนของเรา จากนั้นก็แยกกันไปคนละทางขบวนนั้นตรงไป แต่ขบวนของเราเลี้ยวมาทางขวา ผมก็นั่งดูป้ายที่สถานีที่จอดไปเรื่อยๆ คือป้ายสถานีนี้นอกจากจะบอกชื่อสถานีแล้ว เขายังบอกสถานีที่ผ่านมาและสถานีข้างหน้าอีกด้วย ถึงสถานีไหนผมก็ขานชื่อสถานีนั้นดังๆ หวังว่าจะให้ทั้ง พี่จันทร์ และ พี่อ๊อด ได้ยิน เพราะเวลานั้นทั้งคู่หลับทั้งคู่!! ผมขานไปเรื่อยจนถึงสถานี Ebie พี่อ๊อดก็เริ่มจะสะกิดใจว่าสถานีนี้ เราไม่ผ่านนี่หว่า! และแล้วก็เป็นเรื่องจริงๆ เมื่อทุกคนตื่นมากันหมด และรับทราบว่าเรามาผิดทาง เพราะขึ้นขบวนผิด ไอ้ขบวนที่ถูกน่ะ ก็คือขบวนที่แซงหน้าขบวนของเราไปนั่นแหละ!! คุณป้าญี่ปุ่นที่อยู่ข้างพี่อู๊ดสอบถามว่าเราจะลงสถานีไหน เมื่อเราบอกว่า Osaka แกเลยบอกว่าเราต้องลงสถานีหน้า แล้วนั่งรถย้อนกลับไปสองสถานี จากนั้นให้ขึ้นรถไฟอีกขบวนหนึ่ง ซึ่งต่อไป Osaka ได้ เจ็ดหัวทุยตะลุยทัวร์ จึงรีบลงจากรถไฟที่สถานีหน้านั้นเอง!! เมื่อเราลงมาจากรถไฟขณะที่กำลังเก้ๆกังๆ ขาดความเชื่อมั่นไปยี่สิบห้าเปอร์เซ็นต์ ผู้ชายญี่ปุ่นคนหนึ่ง ซึ่งมากับลูกสาว เห็นเราเป็นคนต่างชาติก็เข้ามาสอบถาม แล้วก็บอกเช่นเดียวกับคุณป้าคนนั้นว่า ให้นั่งรถย้อนกลับไปสองสถานี แต่แล้วเหมือนนึกอะไรได้แกเดินกลับมาที่เราอีกทีแล้วบอกใหม่ว่า สามสถานีไม่ใช่สองสถานี มีน้ำใจดีจริงๆพ่อคุณ!! และตลอดทริปนี้เราก็มักจะเจอคนญี่ปุ่นที่อารีอารอบ ให้กับนักท่องเที่ยวเช่นนี้ตลอดทริป มีบางทีที่เราถามถึงที่ที่หนึ่งแต่ที่จริงเราจะไปอีกทางหนึ่ง เขาก็จะมาคอยดูอยู่ว่าเราไปถูกทางหรือไม่ จนเราต้องทำทีเป็นเข้าห้องน้ำ ให้เขาไปเสียก่อนมิฉะนั้นเขาจะตามมาบอกอยู่นั้น ว่าทางที่ถามไม่ใช่ทางนี้!! เรากลับมาถึงสถานี Osaka ได้ตามทางที่ชายผู้นั้นบอกจริงๆ ยังไงก็ต้องขอขอบคุณผ่านทางตัวหนังสือแห่งนี้ด้วย จากสถานี Osaka เราก็ต่อรถไฟมาที่ Namba ก่อนจะถึง Namba ผมได้ยินเสียงผู้ประกาศบอกสถานีจาก Next Station Namba เป็น เน็ก สเตชั่น ลำบาก!! แน่ะ...ยังจะมาเยาะเย้ยกันอีก!! จากนั้นก็เดินทางเก่าภายใน Subway หวังว่าจะมาขึ้นที่ช่อง B20 แล้วเดินกลับโรงแรม แต่ก็ยังอุตส่าห์เดินผิดทางอีก พี่อ๊อดดูแผนที่แล้วก็บอกว่าผิดทางแล้ว เลยต้องเดินออกมาจาก Subway ข้ามถนนแล้วเดินเข้า Subway อีกด้านหนึ่งจากนั้นจึงมาโผล่ที่ B20 อือม์ !!นี่ขนาดวันแรกยังหลงได้ขนาดนี้นะเนี่ย เพราะเหตุที่หลงทางกันในวันนั้น เรามามาวิเคราะห์กันว่า สงสัยว่าจะเป็นเพราะ กรรม ที่เราดันขึ้นตู้ Only Lady โดยไม่ทันสังเกตเห็นว่ามันเป็นตู้สำหรับผู้หญิง เพราะเห็นว่าในแถวตรงนั้นไม่มีใครยืนเข้าแถวเพื่อรอขึ้นตู้อยู่เลย พวกเราก็เลยไปยืนรอกัน พอรถมาก็เลยขึ้นไปกันเลย แถมนั่งตรงไหนไม่นั่งดันไปนั่งตรง Priority Seat ที่นั่งสำหรับคนแก่ คนท้อง ผู้หญิงอุ้มลูกและคนเป็นโรคหัวใจเข้าอีก ก่อนนั่งน่ะไม่เห็น แต่นั่งแล้วถึงได้เห็น ว่าตู้นี้เป็นตู้เฉพาะผู้หญิง และที่นั่งเป็นที่นั่งเฉพาะ แต่ เจ็ดหัวทุยตะลุยทัวร์ ก็ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ นั่งหลับเสียยังงั้น กรรม มันเลยติดจรวดพาให้หลงทางเสียเลย.....สม!!
รวมค่าใช้จ่ายในวันนี้ 27 มีนาคม 2552 - ค่ารถบัสจากสนามบิน Kansai Osaka ไป Namba @880 ¥ x 7= 6,160 ¥ - ค่า Taxi จาก Namba ไปโรงแรม Grand Vista @660 + 630 ¥ = 1,290 ¥ - ค่าโรงแรม Grand Vista รวมอยู่ใน Package ค่าเครื่องบิน - ค่ารถไฟจาก Namba ไปโกเบ สถานี Sannomiya @400 ¥ x 7 = 2,800 ¥ - ค่าอาหารกลางวันบุพเฟต์เนื้อโกเบ = 16,370 ¥ (@2,400 ¥) - ขึ้นรถไฟไป Rokko @180 ¥ x 7 = 1,260 ¥ - ค่ารถเมล์สาย 16 ไป Rokko Cable Car @200 ¥ x 7 = 1,400 ¥ - ค่า Cable Car = 6,440 ¥ (@920 ¥) - ค่ารถเมล์ไป Rokkomichi @200 ¥ x 7 = 1,400 ¥ - ค่ารถไฟไป Motomachi @100 ¥ x 7 = 700 ¥ - ค่าล่องเรือ Villaggioitalia @500 ¥ x 7 = 3,500 ¥ - ค่า Taxi ไป Motomachi Shopping Street @740 ¥ x 2 = 1,480 ¥ - ค่าอาหารจีนมื้อเย็น = 14,450 ¥ (@2,060 ¥) - ค่ารถไฟจาก Motomachi ไป Osaka @390 ¥ x 7 = 2,730 ¥ - ค่ารถไฟจาก Osaka ไป Namba @230 ¥ x 7 = 1,610 ¥
โปรดติดตามต่อในตอนที่สาม ตอนที่สาม...เที่ยวนาราชมซากุระสุดสวย
|
ถึง บล็อกเกอร์ ทุกท่าน โปรดอ่าน
ด้วยทาง บริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จำกัด (มหาชน) ได้ติดต่อขอความร่วมมือ มายังเว็บไซต์และเว็บบล็อกต่าง ๆ รวมไปถึงเว็บบล็อก OKnation
ห้ามให้มีการเผยแพร่ผลงานอันมีลิขสิทธิ์ ของบริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ฯ บนเว็บ blog โดยกำหนดขอบเขตของสิ่งที่ห้ามทำ และสามารถทำได้ ดังนี้
ห้ามทำ - การใส่ผลงานเพลงต้นฉบับให้ฟัง ทั้งแบบควบคุมเพลงได้ หรือซ่อนเป็นพื้นหลัง และทั้งที่อยู่ใน server ของคุณเอง หรือ copy code คนอื่นมาใช้ - การเผยแพร่ file ให้ download ทั้งที่อยู่ใน server ของคุณเอง หรือฝากไว้ server คนอื่น สามารถทำได้ - เผยแพร่เนื้อเพลง ต้องระบุชื่อเพลงและชื่อผู้ร้องให้ชัดเจน - การใส่เพลงที่ร้องไว้เอง ต้องระบุชื่อผู้ร้องต้นฉบับให้ชัดเจน จึงเรียนมาเพื่อโปรดปฎิบัติตาม มิเช่นนั้นทางบริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ฯ จะให้ฝ่ายดูแลลิขสิทธิ์ ดำเนินการเอาผิดกับท่านตามกฎหมายละเมิดลิขสิทธิ์
OKNATION
กฎกติกาการเขียนเรื่องและแสดงความคิดเห็น
1 การเขียน หรือแสดงความคิดเห็นใด ๆ ต้องไม่หมิ่นเหม่ หรือกระทบต่อสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ หรือกระทบต่อความมั่นคงของชาติ
2. ไม่ใช้ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่นในทางเสียหาย หรือสร้างความแตกแยกในสังคม กับทั้งไม่มีภาพ วิดีโอคลิป หรือถ้อยคำลามก อนาจาร 3. ความขัดแย้งส่วนตัวที่เกิดจากการเขียนเรื่อง แสดงความคิดเห็น หรือในกล่องรับส่งข้อความ (หลังไมค์) ต้องไม่นำมาโพสหรือขยายความต่อในบล็อก และการโพสเรื่องส่วนตัว และการแสดงความคิดเห็น ต้องใช้ภาษาที่สุภาพเท่านั้น 4. พิจารณาเนื้อหาที่จะโพสก่อนเผยแพร่ให้รอบคอบ ว่าจะไม่เป็นการละเมิดกฎหมายใดใด และปิดคอมเมนต์หากจำเป็นโดยเฉพาะเรื่องที่มีเนื้อหาพาดพิงสถาบัน 5.การนำเรื่อง ภาพ หรือคลิปวิดีโอ ที่มิใช่ของตนเองมาลงในบล็อก ควรอ้างอิงแหล่งที่มา และ หลีกเลี่ยงการเผยแพร่สิ่งที่ละเมิดลิขสิทธิ์ ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบหรือวิธีการใดก็ตาม 6. เนื้อหาและความคิดเห็นในบล็อก ไม่เกี่ยวข้องกับทีมงานผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซต์ โดยถือเป็นความรับผิดชอบทางกฎหมายเป็นการส่วนตัวของสมาชิก คลิ้กอ่านเงื่อนไขทั้งหมดที่นี่"
OKnation ขอสงวนสิทธิ์ในการปิดบล็อก ลบเนื้อหาและความคิดเห็น ที่ขัดต่อความดังกล่าวข้างต้น โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ต่อเจ้าของบล็อกและเจ้าของความคิดเห็นนั้นๆ
|
||
![]() ![]() |