*/
เกาะเต่า-เกาะนางยวน | ||
![]() |
||
ไปเที่ยวมาเมื่อวันที่ 21 - 24 สิงหาคม 2550 มีแต่ฝรั่งเต็มเกาะเลยครับ...... |
||
View All ![]() |
<< | กรกฎาคม 2009 | >> | ||||
อา | จ | อ | พ | พฤ | ศ | ส |
1 | 2 | 3 | 4 | |||
5 | 6 | 7 | 8 | 9 | 10 | 11 |
12 | 13 | 14 | 15 | 16 | 17 | 18 |
19 | 20 | 21 | 22 | 23 | 24 | 25 |
26 | 27 | 28 | 29 | 30 | 31 |
ตอนที่หก...นั่งชินกันเซนตื่นเต้นๆ ...วันที่ 31 มีนาคม 2552... ความที่เมื่อคืนนอนแต่หัวค่ำ ก็เลยตื่นตั้งแต่ตีสี่ สังเกตเห็นผ้าห่มมันหนาๆ ลองเลิกดูก็ปรากฏว่าเป็นผ้าห่มสองผืน คุณนายหมูเธอคงเอาผ้าห่มสำรองจากโซฟาอีกผืนหนึ่งมาห่มทับ เธอคงจะหนาว ผมรู้สึกผิดเล็กน้อยไม่มากมายอะไร เป็นเพราะว่าเมื่อคืนก่อนนอน ผมบอกว่าไม่ต้องเปิด Heater ที่อยู่บนหัวนอน ซึ่งไอ้เจ้า Heater มันก็เหมือนแอร์นั่นแหละครับ เพียงแต่ว่าลมที่ออกมามันไม่ใช่ลมเย็น แต่เป็นลมร้อน เนื่องจากเมื่อคืนที่ผ่านมา ผมปิดหน้าต่างแล้วเปิด Heater โดยตั้งอุณหภูมิไว้ที่ 25°C กะว่าคงกำลังสบายๆ แต่ที่ไหนได้ ตื่นนอนขึ้นมาเจ็บคอเจ็บจมูกไปหมด ก็เลยสันนิษฐานว่าสงสัยจะเป็นเพราะไอ้เจ้า Heater มันทำให้อากาศแห้งเกินไป คืนนี้ก็เลยกะว่าจะเปิดหน้าต่างพอแง้มๆ ให้มีอากาศเข้าได้นิดหน่อยกันอึดอัด ไม่ต้องเปิด Heater คุณนายหมูเธอเป็นภรรยาที่นอนหลังสามีอยู่เป็นนิจ เธอก็คงจะกลัวคำสั่งผม (คิดเอาเอง!!!) ก็เลยไม่กล้าเปิด Heater แต่ทีนี้เธอคงจะหนาว เพราะอุณหภูมิกลางคืนของญี่ปุ่นนั้น ตามพยากรณ์อากาศแล้วจะประมาณ 3°C ทีเดียว เธอก็เลยไปหยิบผ้าห่มอีกผืนหนึ่งมาห่มอีกชั้นกันหนาว... แต่ไหนๆก็ตื่นแล้ว ผมก็เลยลุกเข้าห้องน้ำฉี่เสียหน่อย ดื่มน้ำเสียนิด แล้วก็จะมานอนต่อ แต่เห็นคุณภรรยาเธอนอนเหมือนจะหนาวมาก แล้วก็เลยรู้สึกเอ็นดู (ภาษาปักษ์ใต้บ้านผมเขาชอบใช้คำนี้ครับประมาณว่ามากกว่าเห็นใจ แต่ไม่ถึงกับสงสาร!!!) ผมก็เลยปิดหน้าต่างแล้วก็เปิด Heater ให้เธอ เผื่อว่าอีก 2 ชั่วโมงที่เหลือ เธอจะได้นอนได้สบายขึ้น พอล้มตัวลงนอนไม่ทันไร ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเปิด Heater ให้เธอ เธอก็เลยจะขอบคุณผมหรือเปล่า หรือว่าเป็นจังหวะที่เธอจะต้องพลิกตัวอยู่แล้ว เธอถึงได้พลิกตัวมากอดผม แต่เจ้ากรรมปากของเธอมาอยู่ที่หูผมพอดี ทีนี้ก็เลยไม่ต้องนอนกัน เพราะเสียงกรนของเธอ ประมาณ 80 เดซิเบล เข้าหูผมแบบเต็มๆ...!!! ตื่น 6 โมงเช้า รีบทำธุรกิจส่วนตัวจนเรียบร้อย แล้วก็ลากกระเป๋าลงมาชั้นสอง กันทั้งสองสามีภรรยา เจอป้าแดงกำลังนั่งรอจะ Breakfast ในเวลา 07.00 น. อยู่ก่อนแล้ว แต่ก็ไม่ทันได้ทานหรอก เพราะวันนี้ทุกคนทำเวลากันได้ดีมาก จนพี่จันทร์ยิ้มแป้นไม่ต้องดุด่าว่ากล่าวใครเลย เวลา 07.30 น. พวกเราทุกคนขนกระเป๋าลงมาถึง ข้างล่างของโรงแรมเรียบร้อย มี Taxi มาจอดรออย่างเป็นระเบียบ 3 คัน พอขึ้นรถได้ โชเฟอร์ Taxi ก็ขับอย่างไวเลี้ยวซ้ายป่ายขวาไม่ถึงสิบนาทีก็มาถึงสถานี JR Station Kyoto ทำให้คิดว่าคนขับ Taxi นี่มันต้องมีสัญชาตญาณอะไรพิเศษ ในการขับรถไวเหมือนกันทุกชาติหรือเปล่า ประมาณว่า Born To be a Taxi อะไรอย่างนั้น นี่ขนาดว่าโชเฟอร์แท็กซี่ในญี่ปุ่นนี้ ส่วนใหญ่จะเป็นคนค่อนข้างมีอายุ ประมาณ 50 อัพ กันแล้วทั้งนั้นนะครับ แต่ฝีไม้ลายมือในการขับไม่ต่างกับแท็กซี่ไทยเลยจริงๆ ...ป้ายโฆษณาชาเขียวยี่ห้อหนึ่งที่สถานีรถไฟเกียวโตแสดงถึงเอกลักษณ์ของคนญี่ปุ่นได้อย่างตรงไปตรงมา... ...คุณนายหมูของผมเธอยืนสวัสดีอยู่ที่สถานีรถไฟเกียวโต... ...คณะสิบหัวทุยตะลุยทัวร์ถ่ายรูปที่สถานีรถไฟเกียวโต เหลือแต่เจ็ดสาว กับหนึ่งหนุ่มคนถ่ายรูป ไม่รู้ว่าสองสหายจันทร์-อ๊อดหายไปไหน... ...สถานีรถไฟเกียวโตกว้างขวางใหญ่โตพอสมควร... รถไฟออกในเวลา 08.22 น.เราจึงมีเวลาประมาณ 30 นาที ในการแสวงหาอาหารเช้ากัน โดยส่วนใหญ่ก็จะซื้อเป็นแบบสำเร็จรูป เป็นกล่องๆเอาไว้ทานบนรถ คุณนายหมูของผมไม่ต้องห่วงเธอ เพราะเช้าๆเธอไม่ค่อยทานอะไร ลำพังไขมันที่สะสมเอาไว้ก็มากพอที่จะใช้ได้เป็นปี ห่วงก็แต่ผมนี่แหละ ซึ่งคนเป็นห่วงผมก็ไม่ใช่ตัวผม แต่ก็เป็นคุณนายหมู ซึ่งเธอรู้ว่าจะปล่อยให้ผมหิวไม่ได้ มิฉะนั้นจะแปลงร่างเป็นมนุษย์หมาป่า เที่ยวแขวะกัดเขาไปทั่ว เธอก็เลยกระตุ้นให้ผมไปซื้ออะไรกินเสีย ผมเดินไปยังไม่ได้เดินมาก็พบร้านกาแฟ มีแซนด์วิชขายอยู่ด้วย ก็ถูกใจ เดินเข้าไปในร้านก็ยิ่งถูกใจใหญ่ เพราะคนขายสวยน่ารักคิขุอาโนเนะสไตล์ญี่ปุ่นเป๊ะเลย เสียดายที่ไม่ได้ถ่ายรูปมาฝากทุกคน เพราะมัวแต่ชมความน่ารักของเธอเพลิน ผมซื้อกาแฟดำหนึ่งแก้วกระดาษขนาดกลาง ราคา 250¥ กับแซนด์วิชอีกหนึ่งชิ้น จำไม่ได้แล้วว่าราคาเท่าไหร่ เพราะมัวยุ่งอยู่กับการเก็บงูบนหัว ที่พาลจะเที่ยวชูคอออกมาดูคนสวยอยู่...!!! วันนี้เป็นวันแรกที่เราจะสามารถใช้ตั๋ว JR Pass นี้ได้ฟรี วิธีการใช้ตั๋ว JR Pass นั้นใช้ได้สองวิธี ก็คือวิธีแรกโชว์ JR Pass แล้วก็ไปรอขึ้นรถไฟขบวนที่เราต้องการจะไปเลย วิธีนี้เรียกว่า Non Reserved คือไม่ต้องจอง ไม่ต้องให้เขาออกตั๋วรถไฟอีก แต่ว่าเราต้องไปขึ้นตู้ที่เป็น Non Reserved หรือไม่ก็ไปนั่งที่ๆไม่มีคนนั่ง หากว่ามีเจ้าของที่นั่งเขาขึ้นมา แล้วโชว์ตั๋วที่นั่งให้เราดูเราจะต้องลุกให้เขานั่ง ส่วนวิธีที่สองก็คือไปที่ห้องขายตั๋วแล้วยื่น JR Pass ให้เขาจองตั๋วให้ ซึ่งเราก็ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆอีก เขาก็จะออกตั๋วให้ เป็นตั๋วสีเขียวอมฟ้า หรือว่าฟ้าอมเขียวก็ไม่ทราบได้ครับ คิดว่าคงต่างคนต่างอม ก็เลยดูสีไม่ค่อยออก ขนาด 6 x 8 ซม. ลองไปดูกันเลยครับ จะเห็นได้ว่าชนิดตั๋วนี้จะเป็น Reserved Seat Ticket จาก Kyoto ไปยัง Hiroshima คือเราจะต้องไปฮิโรชิมาก่อนครับ แล้วจากนั้นถึงจะต่อรถไฟไปฟูกุโอกะอีกที Mar. 31 คือวันที่ 31 เดือนมีนาคม Hikari คือชื่อของรถไฟครับเป็นแบบหรือโมเดลน่ะครับ เหมือนเครื่องบินที่เป็นแบบ แอร์บัส หรือจัมโบ้อะไรอย่างนั้น 495 อันนี้ใบ้หวย เอ๊ย...!!!ไม่ใช่ครับ เป็นเลขที่ขบวนของรถเที่ยวนี้ ต้องจำเอาไว้นะครับ ไม่งั้นจะขึ้นผิดขบวน เพราะรถไฟญี่ปุ่นจะมาติดๆกัน แล้วก็ตรงเวลาเป๊ะๆ เขาจะมีอักษรวิ่งขึ้นให้ที่บริเวณชานชาลา ที่จริงเขามีประกาศเป็นเสียงเหมือนรถไฟไทยนี่แหละครับ แต่ว่าฟังยากภาษาญี่ปุ่นไม่ต้องพูดถึง ฟังไม่รู้เรื่องอยู่แล้ว ภาษาอังกฤษสำเนียงญี่ปุ่นนั่นแหละครับ ฟังยาก...!!! เวลา 08.22 คือเวลาที่รถไฟจะมาถึงชานชาลา และเวลา 10.21 คือเวลาที่จะถึง Hiroshima ครับ Car 11 Seat 2-A คือที่นั่งของเราอยู่ตู้ที่ 11 หมายเลขที่นั่งคือ 2-A ฉะนั้นเราจะต้องไปเราที่ชานชาลา ที่มีคำว่า Car 11 เขียนไว้ อ้อ!! ต้องดู Track ด้วยนะครับ Track คือหมายเลขชานชาลาครับ เขาจะมีป้ายบอกไว้ที่บริเวณสถานี ลองไปดูกันครับ นั่นแหละครับ Hikari 495 คือขบวนที่ผมจะต้องโดยสารไป จะเห็นได้ว่าเขามีบอกไว้ด้วยว่า ตู้ที่ 1 5 นั้นเป็น ตู้ Non Reserve สามารถขึ้นไปได้เลยโดยไม่ต้องจอง ส่วน Track คือ Track ที่ 13 ครับ เราก็ไปรอรถขบวนนี้ที่ชานชาลาที่ 13 โดยที่พื้นชานชาลาจะมีอักษรเขียนบอกไว้ว่ารถคันที่เท่าไหร่ เราก็ไปรอตามนั้น จากรูปจะเห็นได้ว่ามีหลายเลขอยู่ตรงทางเท้าเดียวกัน อย่างเพิ่งงงครับหรือว่างงไปก่อนก็ได้ เดี๋ยวผมจะอธิบายให้หายงง เลข 8, 4, 4, และ 2 นั้น ก็หมายถึงหมายเลขตู้นั่นแหละครับ ท่านผู้ชมก็คงจะค้านต่อว่า อ้าว!!แล้วไงมันมามีหลายตู้อยู่ตรงที่เดียวกัน คือยังงี้ครับ มันขึ้นอยู่กับขบวนของรถสายนั้นด้วยว่ามีกี่ตู้ อย่างเลข 8 นั้นเป็นตู้เลขที่ 8 ของขบวนรถไฟที่มี 16 ตู้ให้มารอตรงนี้ เดี๋ยวตู้ 8 จะมาตรงหน้าที่ท่านรอเป๊ะเลย ส่วนหมายเลข 4 ก็คือตู้ที่ 4 ของขบวนรถไฟที่มี 8 ตู้ และหมายเลข 2 ก็คือตู้ที่ 2 ของขบวนรถไฟที่มี 6-4 ตู้ อ๋อ...หรือยังครับทีนี้ และนี่ก็คือ Car No.11 ของพวกเราที่จะต้องมายืนรอกันตรงนี้ครับ ส่วน Nozomi ที่อยู่บนป้าย นั่นก็เป็นรถไฟ Shinkansen อีกแบบหนึ่งครับ รถไฟแบบนี้วิ่งเร็วกว่าแบบ Hikari เล็กน้อย แล้วก็จะจอดเฉพาะสถานีใหญ่ๆเท่านั้น เช่น Osaka, Tokyo, Nagoya, Kyoto แล้วก็ Hakata ฮากาตะ นี่เป็นชื่อสถานีของเมือง Fukuoka ที่เราจะไปวันนี้แหละครับ ไหนๆก็สาธยายแล้วก็ขออธิบายเสียเลยว่า รถไฟ Shinkansen นี้ สร้างมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1964 โดยเริ่มเปิดใช้ครั้งแรกในวันที่ 1 ตุลาคม 2507 ในครั้งแรกนั้น รถไฟ Shinkansen หรือรถไฟหัวกระสุนนี้วิ่งได้เร็วเพียง 210 กิโลเมตรต่อชั่วโมงเท่านั้น แต่ต่อมาก็มีการพัฒนาขึ้นมาเรื่อยๆ จนปัจจุบันสามารถทำความเร็วได้ถึง 300 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ในการวิ่งแบบเชิงพาณิชย์ แต่สามารถทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 581 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ในการวิ่งแบบทดสอบ ซึ่งถูกบันทึกไว้ในกินเนสบุ๊คเมื่อปี 2003 ปัจจุบันมีรางที่ต่อเชื่อมทั้งประเทศญี่ปุ่นเฉพาะ ชินกันเซน นี้ถึง 2,459 กิโลเมตร ทีเดียว... การรถไฟแห่งประเทศไทยได้ฟังแล้วรู้สึกอายบ้างไหมเนี่ย เพราะของเราก็มี กิจการเดินรถไฟมานานพอๆกับญี่ปุ่น จากวันที่เริ่มต้นเดินรถไฟครั้งแรก จากกรุงเทพฯไปอยุธยา เมื่อวันที่ 26 มีนาคม พ.ศ.2439 นับเข้าวันนี้ก็ 113 ปีเข้าให้แล้ว แต่ก็ยังแค่กระชึกกระชัก หยุดบ้างวิ่งบ้างประท้วงบ้าง ขอขึ้นค่าแรงบ้าง ไม่ไปไหนเลย...!!! ...สาวน้อยกระติกเดินยิ้มโปรยเสน่ห์มาตามชานชาลารถไฟ... ...มาแล้วครับ "ชินกันเซน" ดูทันสมัยดีจริงๆ... ...รูปแบบโบกี้ผู้โดยสารก็ออกแบบได้เรียบหรูดูดีมีสไตล์เชียวครับ... ...ขอนำเสนอคุณนายหมูอีกทีเช้าวันนี้เธอดูสดใสน่ารักน่ากอด... ...จูนกับพี่เปิ้ลโชว์กล่องข้าวอาหารเช้าที่ซื้อตุนไว้... ...ดูดีไหมครับ ไม่ใช่ผมนะครับหมายถึงที่นั่งในโบกี้รถไฟน่ะครับ... ...ขบวนนี้ดูเหมือนคนจะไม่เยอะเท่าไหร่ครับ... รถไฟ Shinkansen มีทั้งหมดสามแบบหรือสามสาย ไม่รู้จะเรียกว่ายังไงดี คือทั้งสามแบบ สามโมเดลหรือสามสายนี้ ใช้รถไฟต่างแบบกัน อาจจะใช้เส้นทางเดียวกัน แต่จะหยุดตามสถานีไม่เหมือนกัน 1. แบบ Nozomi แปลเป็นไทยได้ว่า ความหวัง เป็นรถไฟที่วิ่งได้เร็วที่สุดแล้วก็จอดสถานีน้อยที่สุด ค่าโดยสารก็แพงสุด ที่สำคัญรถไฟแบบนี้ไม่รวมอยู่ในตั๋ว JR Pass ที่ผมซื้ออยู่นี่ อยากขึ้นต้องเสียสตางค์ต่างหากครับ 2. แบบ Hikari แปลได้ว่า ลำแสง ก็ขบวนคันที่ผมจะต้องขึ้นไป Hiroshima อยู่นี่แหละครับ เป็นรถไฟที่จอดสถานีมากกว่าแบบ Nozomi อยู่เล็กน้อย แต่ที่สำคัญกว่าก็คือ ถ้าถือตั๋ว JR Pass แล้วนั่งฟรีครับ 3. แบบ Kodama แปลได้ว่า เสียงสะท้อน เป็นรถชินกันเซนประมาณรถหวานเย็นของเรา คือจอดทุกสถานี ซึ่งรถสายนี้เราจะต้องอาศัยพาเราไปสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นสถานีเล็กๆ โดยเราอาจจะอาศัย Hikari ไประหว่างเมืองใหญ่ๆ แล้วต่อจากนั้นก็ต้องอาศัยเจา Kodama นี่แหละครับ พาไปท่องเที่ยวตามสถานที่ต่างๆที่เราต้องการ และแน่นอนครับ ถ้ามีตั๋ว JR Pass อยู่ในมือแล้ว ก็เพียงแค่โชว์ตั๋ว เราก็ขึ้นไปได้แล้ว... พวกเรามารอ Hikari 495 อยู่ที่ชานชาลา 13 ตู้ที่ 11 ตามตั๋วได้สักสิบนาทีก่อนเวลา สังเกตเห็น Shinkansen แต่ละคันที่วิ่งเข้าวิ่งออกกันฉิวๆแล้วก็รู้สึกตื่นตาตื่นใจ รถไฟความเร็วสูงพวกนี้เขาวิ่งด้วยไฟฟ้าครับท่านผู้ชม ไม่ได้ใช้น้ำมันอย่างหัวรถจักรดีเซลแบบบ้านเรา เขาต้องใช้ไฟฟ้าถึง 25,000 Volt ทีเดียวแหละครับ ในการขับเคลื่อน มิน่าล่ะถึงได้เร็วน่าดู แต่ก็น่าจะต้องใช้พลังงานไฟฟ้ามหาศาลเหมือนกัน เวลาที่รถไฟ Shinkansen วิ่งเข้ามาเทียบชานชาลา จะมีเสียงดังสูงๆประมาณสักสามวินาที น่าจะเป็นเสียงของเบรกหรือว่าอะไรก็ไม่ทราบได้ครับ แต่สังเกตเห็นบนหลังคาของทุกขบวน จะมีเหมือนเสาทำเป็นแฉกสองแฉก เอาไว้รับกระแสไฟฟ้าจากไฟฟ้าที่ขึงเป็นสายอยู่เบื้องบน และก่อนที่มันจะจอดก็จะมีไฟฟ้าแปลบๆออกมาให้เป็นที่น่าหวาดเสียวเล่น รถไฟขบวน Hikari 495 มาจอดเทียบท่าชานชาลา 13 เป๊ะ ตามกำหนดเวลาที่ให้ไว้เลยครับ แถมตู้ที่ 11 ก็มาหยุดอยู่ตรงหน้าเราตรงประตูเป๊ะอีกเหมือนกัน ของเขาดีจริงๆครับท่านผู้ชม ตู้ที่ 11 ที่เราโดยสารมานี้เป็นตู้สำหรับ คนไม่สูบบุหรี่ ครับ เขาจะมีตู้สำหรับคนสูบบุหรี่เฉพาะไว้ด้วย พี่จันทร์ซึ่งสูบบุหรี่อยู่คนเดียวในคณะ จึงต้องหาทางทำอย่างอื่นเพื่อให้คลายความอยากสูบบุหรี่ลง ซึ่งก็มีอยู่สามอย่างที่พี่จันทร์จะทำได้คือ หนึ่งคุยกับพี่อ๊อด สองแกล้งพี่ฟ้าเล่น และสามหลับ และด้วยความที่รถไฟใช้เวลาถึงสองชั่วโมงกว่าที่จะมาถึง Hiroshima พี่จันทร์ก็เลยต้องใช้ทั้งสามยุทธวิธีนั้น...!!! ผมนั่งอยู่บนรถไฟ Shinkansen ซึ่งวิ่งอย่างนิ่มนวล ไม่กระชึกกระชักกระตุกกระตักเหมือนรถไฟไทย พยายามจะนึกเปรียบเทียบว่ามันเร็วกว่ากันขนาดไหน ก็ไม่ค่อยจะรู้สึกว่ามันเร็วสักเท่าไหร่ ยังนั่งนึกปรามาสว่านี่รถไฟเขาวิ่งถึง 300 กิโลเมตรต่อชั่วโมงแล้วหรือ ทำไมมันดูเหมือนไม่ค่อยจะเร็วเลย แต่พอมีรถไฟวิ่งสวนกันถึงได้รู้สึก เพราะมันจะมีเสียงดังมาก แล้วก็มีพลังลมปะทะเข้ามาจนตู้รถไฟสั่น รถไฟมาถึง Hiroshima ตรงเป๊ะ ไม่ขาดไม่เกินสักนาทีเลยครับท่านผู้ชม 10.21 น. เราต้องลงที่ Hiroshima นี้เพื่อเปลี่ยนรถไฟขบวนใหม่ไป Hakata ซึ่งเป็นสถานีของเมือง Fukuoka รถไฟขบวนใหม่ออกเวลา 10.49 น. ก็เลยมีเวลาเล็กน้อยในอันที่จะเข้าห้องน้ำ ซื้อขนม ชมสินค้า บ้าถ่ายรูปและสูบบุหรี่ สำหรับพี่จันทร์...!!! รถไฟขบวนใหม่นี้แปลกกว่าเก่าครับ ขบวนที่เรามานี้ยังแค่แบ่งแยก Reserve, Non Reserve, Smoking และ Non Smoking ขบวนใหม่นี้มาแหวกแนวกว่าครับ มันเป็นขบวน Silence Car เป็นขบวนที่ห้ามส่งเสียงดังครับท่านผู้ชม ผู้ที่จะขึ้นรถไฟขบวนนี้เขาห้ามพูดห้ามคุย ห้ามจาม ห้ามตด ใดๆทั้งสิ้น อ๋อ...ถ้าตดแบบไม่มีเสียงน่าจะได้รับการยกเว้นนะครับ ก็ไม่ทราบเหมือนกันครับว่า หากทำเสียงดังถึงเท่าไหร่ถึงจะผิดกฎ แล้วหากว่าผิดกฎแล้ว เขาจะลงโทษอย่างไร แต่จะอย่างไรก็ตามทั้ง สิบหัวทุยตะลุยทัวร์ ก็ไม่มีใครกล้าผิดกฎข้อนี้เลยครับ แม้ว่าจะช่างพูดช่างคุยด้วยกันทั้งนั้น คนที่สบายสุดน่าจะเป็น กระติก เพราะเธอเป็น จอมหลับ อยู่แล้ว ไม่ว่าจะขึ้นรถอะไร ในรถไฟ Shinkansenนี้ จะมีพนักงานมาบริการขายอาหารขายน้ำขายกาแฟด้วยครับ เธอจะเข็นรถเข็นคันเล็กๆ เหมือนกับที่แอร์โฮสเตสใช้บนเครื่องบิน เมื่อเข็นเข้ามาในตู้ที่ผู้โดยสารนั่ง เธอจะโค้งก่อนหนึ่งที แล้วก็ยิ้มหวานจ๋อย ส่งเสียงทักทาย อิราชัยมาเสะ แล้วก็ว่าเรื่อยเจื้อยไปถึงสินค้าที่เธอต้องการจะขาย ไปจนสุดตู้อีกด้านหนึ่ง ก่อนจะออกไปจากตู้เธอก็โค้งอย่างนอบน้อมอีกหนึ่งที ช่างเป็นกิริยามารยาทที่งดงามอะไรเช่นนี้ บริษัทใดจะสอนพนักงานให้กระทำอย่างนี้บ้างก็น่าจะดีนะครับ แต่ว่าอย่าเอาอย่างพวกพนักงานเก็บเงินตามซุปเปอร์มาร์เก็ตก็แล้วกัน ท่านผู้ชมคงเคยเจอนะครับ ผมก็ไม่รู้ว่าใครเป็นคนต้นคิดต้นสอนให้เธอเหมือนกัน ว่าให้ไหว้ลูกค้าและกล่าวขอบคุณเมื่อรับชำระเงินเรียบร้อยแล้ว ที่จริงฟังดูก็น่าจะเป็นนโยบายที่ดีของบริษัทนะครับ เพียงแต่ว่าในสถานการณ์จริงๆ มันไม่ได้เป็นอย่างนั้นนะสิ ลูกค้ามารอคิวหางยาว เธอก็คงจะรีบทำงานให้แล้วๆเสร็จๆ เวลาไหว้เธอก็เลยกระโดกกระเดกก้มหัวไม่ลง ท่าพนมมือของเธอก็เสมือนเอามือมาแปะไว้แค่นั้น บางทีสายตาเธอแทบไม่ได้มองลูกค้าด้วยซ้ำ เพราะไปมัวคำนึงอยู่ถึงลูกค้ารายต่อไปที่กำลังเข้าแถวมา แถมลูกค้าอย่างเราเมื่อรับของมาก็อยากจะรับไหว้ตอบ แต่ก็ติดตรงหิ้วของอยู่พะรุงพะรัง สรุปแล้วก็อิหลักอิเหลื่อด้วยกันทั้งสองฝ่าย ภาพที่ออกมาแทนที่จะดูดีมีกิริยามารยาท สมกับเป็นคนไทย ก็เลยกลายเป็นเหมือนจราจรกำลังจะโบกรถที่ติดเป็นแถวยาวให้รีบไปเสียอย่างนั้น ผมว่าไม่จำต้องถึงขนาดจะต้อง ยกมือไหว้ขอบคุณกันชดช้อยปานนั้นหรอกครับ เอาแค่ยิ้มหวานๆให้ออกมาจากใจแล้วก็กล่าวคำว่า ขอบคุณค่ะ วันหลังเชิญใหม่นะค่ะ แค่นี้ก็กินใจแล้วละครับ...!!! ในรถไฟ Shinkansen ขบวนที่จะไป Hakata นี้ก็เช่นกันครับ มีพนักงานสาวสวยมาบริการขายอาหารบนรถเข็นเช่นเคย เพียงแต่ว่าความที่เป็นรถขบวน Silence Car ห้ามส่งเสียง เธอก็จึงได้แต่โค้งแล้วก็ยิ้มหวานๆ เข็นรถเข็นจำหน่ายสินค้าเบาๆไปจนสุดตู้ แล้วก็โค้งอีกทียิ้มอีกนิดแล้วก็เปิดประตูออกไป อือม์... Silence Car นี้ศักดิ์สิทธิ์จริงๆครับท่านผู้ชม ...พนักงานขายของบนรถไฟครับ ดูเหมือนแอร์โฮสเตสเลยครับ แต่ทำงานบนรถไฟพอจะเรียกว่า "เทรนโฮสเตส" ได้ไหมครับ... ภูมิประเทศของประเทศญี่ปุ่นนั้นเป็นภูเขาเสียมากกว่าครึ่งครับ ฉะนั้นจึงไม่ต้องสงสัยเลยว่ารถไฟของเขาจะต้องลอดอุโมงค์แล้วลอดอุโมงค์เล่า ยาวบ้างสั้นบ้าง เป็นร้อยๆอุโมงค์ทีเดียว เห็นแล้วก็ให้ทึ่งในความอุตสาหะของคนญี่ปุ่นเขา ที่มีความพยายามอย่างสูง เพื่อจะสร้างระบบคมนาคมให้สะดวกสบายให้ได้ กลับมาดูของเราอีกทีสภาพพื้นที่ก็ไม่ได้มีภูเขามากมายเหมือนของเขา อุโมงค์ให้รถไฟลอดก็มีอยู่ไม่กี่อุโมงค์ในประเทศนี้ แต่ของเรากลับอ้างนู่นอ้างนี่ แล้วก็ปล่อยปละละเลยจนกลายเป็น รถไฟโบราณ อยู่ในขณะนี้ เฮ้อ...คิดแล้วก็ปวดหัวใจ ว่าไหมครับท่านผู้ชม...!!! รถไฟสายนี้ต้องวิ่งข้ามทะเลด้วยนะครับ ด้วยว่าเมือง Fukuoka นั้นเป็นเมืองที่ตั้ง อยู่บนเกาะ คิวชู ซึ่งเป็นเกาะตอนใต้สุดของประเทศญี่ปุ่น แต่ผมก็ไม่ทันเห็นหรอกครับว่ารถไฟข้ามเกาะตอนไหน รู้อีกทีก็ถึง Hakata เรียบร้อยแล้วในเวลา 11.59 น. ใช้เวลาวิ่งจาก Hiroshima มาก็หนึ่งชั่วโมงสิบนาทีพอดีครับ โรงแรมที่เราจองไว้ที่ Fukuoka นี้ชื่อ Sunlife 1 Hotel คือมันมี Sunlife 2 Hotel ด้วยครับ ก็อยู่ใกล้ๆกันนั่นแหละ ก็เลยต้องแบ่งเป็น Sunlife 1 และ Sunlife 2 ค่าโรงแรมที่นี่ตกคนละ 3,000 ¥ พอดีครับ โรงแรมนี้ดูดีกว่า Super Hotel ที่ Kyoto เสียอีก แต่ก็ยังด้อยกว่า Grand Vista ที่ Osaka ซึ่งที่นั่นดีที่สุดแล้วสำหรับทัวร์ทริปนี้ ราคาที่เราพักคนละสามพันเยนนี้ เป็นราคาที่ไม่มีอาหารเช้าครับ พี่จันทร์บอกว่าถ้าบวกอาหารเช้าแล้วดูจะแพงเกินไป ก็เลยไม่เอา อีกอย่างหนึ่งเราจะนอนที่นี่แค่คืนเดียว พรุ่งนี้เราก็จะไป Hiroshima ต่อ อาหารเช้าก็ค่อยไปว่าเอาข้างหน้าก็แล้วกัน แต่ที่ดีที่สุดของโรงแรมนี้ก็คือ เป็นโรงแรมเดียวของทัวร์ครั้งนี้ ที่อยู่ใกล้สถานีรถไฟขนาดที่เดินมาโรงแรมได้ ทำให้ประหยัดค่า Taxi ไปได้หลายพันเยน คณะเราเข้าเช็คอินที่ Sunlife 1 Hotel เสร็จเรียบร้อย ก็โหยหาอาหารเที่ยงกันทันที พี่จันทร์บอกว่าลองเดินไปหาเอาแถวสถานีรถไฟ เพราะเมื่อตะกี้ตอนเดินผ่านมาก็มีร้านน่าสนใจอยู่หลายร้าน กินเสร็จเราจะได้นั่งรถไฟไปสถานี Futsukaishi เพื่อจะได้ไปเที่ยว Dazaifu Tenmangu Shrine กัน ...ถึงแล้วครับเมือง Fukuoka แท๊กซี่ญี่ปุ่นนี้สามารถเปิดประตูหลังด้านซ้าย ให้ผู้โดยสารขึ้นได้จากที่นั่งคนขับเลยนะครับ ใหม่ๆผมตกใจว่ามันเปิดออกมาได้ยังไง... ...ปกติเวลาเขาจอดรอผู้โดยสารเขาจะเปิดประตูอ้าไว้อย่างนี้แหละครับให้รู้ว่าของเขาคิวแรก... ...Sunlife Hotel 1 ที่พักของสิบหัวทุยตะลุยทัวร์ในค่ำคืนนี้ครับ... ...จูนกับพี่จันทร์กำลังเช็คอิน พี่อ๊อดก็กำลังมองหาบูทที่ให้ข้อมูลสำหรับนักท่องเที่ยว ส่วนผมก็ถ่ายรูปไปเรื่อย... ...สภาพห้องพักของโรงแรมก็ไม่เลวนะครับ ตกคนละ 3,000 เยนต่อคนต่อคืนก็พอไหวครับ... ...ถนนหน้าโรงแรมที่พักครับ ถนนที่ Fukuoka นี้ไม่ค่อยจะกว้างขวางเหมือนที่เกียวโตครับ... ...Starbucks in Fukuoka บันไดทางขึ้นข้างร้านสตาร์บัคนั่นแหละครับ ที่เราขึ้นไปกินอาหารเที่ยงกัน... เราได้ร้านอาหารน่าสนใจร้านหนึ่ง เป็นร้านประมาณปิ้งๆย่างๆ แต่ก็มีอาหารเป็นชุดไว้ให้เลือกด้วย ผมกับหมูนั่งโต๊ะเดียวกับพี่อู๊ดพี่อ๊อด เราก็สั่งอาหารเป็นชุดมาคนละชุดเรียบร้อย เหลือบไปเห็นในเมนูมีเนื้อโกเบน่าทานอยู่ชุดหนึ่ง ราคา 1,800¥ แต่มีเนื้ออยู่แค่ 5 ชิ้น ปรึกษาพี่อู๊ดพี่อ๊อดคนชอบทานเนื้อกันว่า เราสั่งมาสักชุดหนึ่งดีไหมแล้วแบ่งกันทาน คนละชิ้นๆที่เหลือค่อยเป่ายิ้งฉุบเอา เพราะอยากจะรู้ว่ารสชาติที่ว่ากันว่า ละลายในปากไม่ละลายในมือ นั้นเป็นอย่างไร เพราะที่ทานที่ร้านที่โกเบนั่นก็ว่าอร่อยแล้ว แต่ดูที่นี่จะน่าจะเป็นเนื้อชนิดที่ดีกว่ามาก เพราะที่โกเบเป็นบุพเฟต์ราคาต่อหัว 1,900¥ กินเท่าไหร่ก็ได้ แต่ที่นี่ถึงราคาจะแค่ชุดละ 1,800¥ แต่ก็มีอยู่แค่ 5 ชิ้นเอง พี่อู๊ดพี่อ๊อดเห็นดีด้วยก็เลยสั่งทันที แต่ปรากฏว่าเมื่อเขาเอามาเสริฟ กลับมีเนื้ออยู่แค่ 4 ชิ้นเอง หรือว่าเขาเห็นว่าโต๊ะเรามากัน 4 คนก็ไม่รู้? ได้แต่สงสัยกันในโต๊ะแต่ก็ไม่ได้ถาม? ทำไมไม่ถามก็ยังสงสัยอยู่เหมือนกัน เพราะปกติก็ช่างซักช่างถามกันทุกคน แต่ก็ดีไม่ต้องเป่ายิ้งฉุบ...!!! คุณนายหมูเธอยกส่วนของเธอให้กับผม ผมก็เลยได้ทานคนเดียวสองชิ้น มันสุดยอดจริงๆครับท่านผู้ชม ผมเคี้ยวชิ้นหนึ่งไม่น่าจะเกินสี่ครั้ง มันก็ละลายลงคอไปแล้ว มันหวานและเนียนบอกไม่ถูก รสชาติของมันติดลิ้นติดคอกำซาบเข้าไปถึงหัวใจ รัดรึงตรึงจิตวิญญาณให้หลงใหลไม่รู้ลืม อยากจะบรรยายเป็นภาษาอาจารย์เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์เสียจริงๆครับ...!!! ...ท่านางแบบกระติกกับแจกันดอกไม้หน้าร้านอาหารที่เราไปทาน... ...ร้านนี้แหละครับ... ...ชุดนี้แหละครับ 4 ชิ้น 1,800 เยน แบ่งกันกินคนละชิ้น... ...ดูรูปนี้ทีไรผมน้ำลายไหลทุกทีครับ... ...ชิ้นนี้แหละครับ ละลายในปากไม่ละลายในมือ... พอได้ทานอิ่มท้องก็ได้เวลาเที่ยว เรานั่งรถไฟจากสถานี Hakata ไปยังสถานี Futsukaishi เพื่อจะไปเที่ยว Dazaifu Tenmangu Shrine กัน ทีนี้แหละครับที่เราจะได้ใช้บริการรถไฟสาย Kodama ซึ่งเป็นสายท้องถิ่นประเภทจอดทุกสถานี พอถึง Futsukaishi เราก็ต้องเรียก Taxi อีกสามคัน บรรทุกเหล่า สิบหัวทุยตะลุยทัวร์ ไปยัง Dazaifu Tenmangu Shrine ค่าโดยสารตกคันละ 1,450¥ + 1,450¥ + 1,500¥ ทำไมมันไม่เท่ากันก็ไม่รู้เหมือนกันครับ ทั้งๆที่ก็ออกจากจุดสตาร์ทเดียวกัน แล้วก็มายังจุดสต๊อปเดียวกัน แต่ก็จ่ายๆไปเถอะครับถามไปเถียงไปก็เปล่าประโยชน์ เพราะตัวตัดสินมันอยู่ที่ มิเตอร์ ตัวเดียว Dazaifu Tenmangu Shrine เป็นศาลเจ้าศักดิ์สิทธิ์และเก่าแก่ของ Fukuoka ครับ และที่จริงก็ถือได้ว่าเป็นศาลเจ้าที่สำคัญที่สุดของเกาะคิวชูทีเดียว ความศักดิ์สิทธิ์ของศาลเจ้าดาไซฟูลือเลื่องไปในเรื่อง การศึกษา ครับท่านผู้ชม ทั้งนี้เป็นเพราะศาลเจ้าแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นเพื่อ Michizane Sugawara ซึ่งถือได้ว่าเป็น ปราชญ์แห่งการเรียนรู้ และเมื่อตายไปแล้วก็ถูกยกย่องให้เป็น เซียน เทพเจ้า หรือว่า เจ้าพ่อ แห่งการเรียนรู้ แล้วแต่จะเรียกเอาเถอะครับ ดังนั้นที่ศาลเจ้าแห่งนี้ จึงมักมีเด็กนักเรียน นักศึกษา แห่กันมาขอพรกันเป็นประจำ คงไม่ได้มาขอพรเพื่อให้ได้เป็น The Star หรือ AF เหมือนอย่างเด็กไทยหรอกนะครับ ส่วนใหญ่พวกเขามาขอพรเพื่อให้เรียนหนังสือได้เก่ง และสามารถสอบได้ตามที่ต้องการ ก็ไม่รู้ว่าตามที่มีข่าวกันบ่อยๆว่า เด็กญี่ปุ่นที่ผิดหวังกับการสอบเข้ามหาวิทยาลัยไม่ได้ แล้วไปเที่ยวกระโดดตึกตายนั้น ก่อนสอบได้มาขอพรจากท่าน เทพเจ้าแห่งการเรียนรู้ นี้บ้างหรือเปล่า ผมไม่ได้ ลบหลู่ นะครับนี่ แต่อยากจะ บวกหลู่ เพิ่มมุมมองอีกมุมหนึ่ง เผื่อจะได้เห็นมุมอีกหลายๆมุม จากเรื่องเดียวกัน แล้วทีนี้เราอยากจะเลือกมุมไหนเข้าไปซุกหัวนอน ก็เลือกเข้าไปเถอะครับ ชีวิตเป็นของท่านนี่...!!! ไหนๆก็ออกนอกเรื่องกันมาแล้ว ก็ขอออกนอกกันไปอีกสักเรื่องหนึ่งเถอะครับ เคยได้ยินคำว่า เอาใจเขามาใส่ใจเรา ไหมครับ ฟังแล้วก็ดูดีนะครับ เพราะมันหมายถึงให้ลองสมมุติเป็นตัวเขา ในสถานการณ์นั้นๆแล้วคุณจะเข้าใจในตัวเขา แต่ผมไม่ชอบเข้าใจอย่างนั้นครับ ผมจะเข้าใจไปว่า ให้เอา ใจ ของเขามาใส่ใน ใจ ของเรา ฉะนั้น เราก็เลยจะกลายเป็นคน สองใจ และเขาก็เลยจะกลายเป็นคน หมดใจ มุมของผมน่าจะซุกหัวนอนกว่าไหมครับ...!!! ...กำลังหาข้อมูลกันง่วนเชียวครับ... ...ผมก็เลยถือโอกาสถ่ายรูปนี้มาฝาก "ป๋าโซ"... ...ถึงแล้วครับทางเดินไปศาลเจ้าดาไซฟู ส่วนสี่สาวนี่ฝากทุกๆคนในโอเคครับ... ...คุณนายหมูเธอขอถ่ายกับตุ๊กตาหน้าร้านขายขนม น่ารักพอกันเลยครับ... ...ประตูสุดท้ายก่อนเข้าบริเวณศาลเจ้าครับ... ...ที่ศาลเจ้าแห่งนี้มีต้นไม้ใหญ่ๆเยอะเชียวครับ ดูร่มรื่นดี... ...ต้องเดินข้ามสะพานแดงนี้เข้าไปด้วยครับ... ...ผมชอบถ่ายต้นไม้กับน้ำครับ เห็นแล้วรู้สึกเย็นใจดี... ...มีสระน้ำอยู่หลายแห่งทีเดียวครับ... ...นี่แหละครับประตูใหญ่ก่อนเข้าอาคารศาลเจ้า จะเห็นได้ว่ามีป้ายต้อนรับนักเรียนนักศึกษาไว้ด้วย เขียนไว้ว่าอะไรก็ไม่ทราบเหมือนกันครับ ลืมถามจูน... ...มันคิออะไรก็ไม่รู้ครับ แต่ว่าสวยดี ตั้งอยู่ที่ระเบียงก่อนทางเข้าศาลจ้า... ...คงจะเป็นเทพเจ้าองค์หนึ่งของญี่ปุ่นครับ จะเป็นเทพเจ้าแห่งการเรียนรู้หรือเปล่าก็ไม่ทราบครับ... ...โคมไฟที่ประตูใหญ่ทางเข้าศาลเจ้าครับ... ...ถึงแล้วครับ ศาลเจ้าดาไซฟู ใครอยากเรียนหนังสือเก่งๆก็ลองไหว้ผ่านรูปในบล็อกนี้ดูครับ... ...นี่แหละครับภายในศาลเจ้า... ผมไม่ค่อยจะได้ถ่ายตัวศาลเจ้าดาไซฟูนี่สักเท่าไหร่ครับ เพราะมัวแต่เพลินอยู่กับสวนและสระน้ำในบริเวณศาลเจ้า ที่จัดไว้อย่างร่มรื่นสวยงาม โดยเฉพาะต้นซากุระที่กำลังออกดอกชมพูนวลผ่องไปเป็นดง ดึงดูดสายตาและหัวใจของผมให้เข้าไปสอดส่อง เล็งกล้องปรับโฟกัส กดชัดเตอร์ชึบชับชึบชับ จนลืมคุณนายหมูไปชั่วขณะ มาเห็นอีกทีก็เห็นยืนโบกมือเรียกผม ให้ไปอีกด้านหนึ่งของสวน ซึ่งมีต้นซากุระเรียงรายอยู่ริมขอบสระน้ำ และในสระนั้นเขาก็จัดแต่งเป็นสวนน้ำแบบเซน มีปล่องเหมือนท่อคอนกรีต ที่เขาทำบ่อหรือคูน้ำของบ้านเรา เอาไปวางไว้แล้วก็ปลูกไม้ประดับไว้บนปล่องนั้น คุณนายหมูเธอต้องการจะถ่ายรูปคู่ครับ ผมก็เลยไปถ่ายคู่โอบกอดเธอสักหน่อย เอาใจที่เมื่อคืนปล่อยให้นอนหนาว จนต้องเอาผ้าห่มสำรองมาห่มทับอีกผืนหนึ่ง ที่ Fukuoka นี่ไม่ค่อยจะหนาวครับ เห็นจะเป็นเพราะอยู่ทางตอนใต้สุดของเกาะญี่ปุ่น ก็เลยมีอากาศที่อบอุ่นกว่า แต่ว่าผมใส่เสื้อมาเต็มยศเลยวันนี้ ใส่มาตั้งสามตัวทั้งเสื้อยืดข้างใน ทับด้วยเสื้อกั๊กจากนิวซีแลนด์ตัวโปรด แถมด้วยแจ๊กเก็ตเหลืองตัวหนาข้างนอกอีกตัว วันนี้ก็เลยออกจะรู้สึกร้อนๆครับ ต้นซากุระที่นี่ต้นไม่สูงครับ เตี้ยๆกำลังดีพอเหมาะพอสม กับการถ่ายรูปให้ติดดอกที่เป็นพวงๆสวยๆได้เป็นอย่างดี แต่ที่ยัง อึ้ง ไม่หายก็ สวนน้ำ แบบเซนนี่แหละครับ สวนน้ำที่นี่ได้รับการยกย่องว่างามเหลือหลาย คล้ายๆว่าเอาปรัชญาของศาสนาเซนมาแปลงเป็น สวนน้ำ ได้อย่างลงตัว ดูสงบราบเรียบเป็นธรรมชาติประมาณนั้น ที่ผม อึ้ง ก็เพราะว่า ผมดูยังไงก็ไม่เห็นความงามของมัน ก็เห็นเป็นแค่ปล่องๆคอนกรีต แล้วเอาต้นไม้ประดับเล็กๆไปปลูกไว้สองสามกอ ปล่องแต่ละปล่องก็จัดวางเอาไว้อย่างไม่เห็นว่าจะเป็นระเบียบอะไร ลองไปดูดีกว่าครับเดี๋ยวจะหาว่าผมช่างว่า ...สวยแบบเซนครับ ไม่ใช่แบบ "ฟูจิ" หรือ "โออิชิ"... ...มาดูซากุระดีกว่าครับ ซากุระที่นี่กำลังสวยทีเดียว... ...ที่จริงที่ศาลเจ้าดาไซฟูนี้ เขาจะดังเรื่องต้นท้อที่มีอยู่มากด้านหลังวัด แต่วันนี้ไม่สนใจแล้วล่ะครับท้อเท้อ ซากุระนี้แหละสวยที่สุด... ...ผมเดินถ่ายฉึบฉับๆจนลืมคุณนายหมูไปชั่วขณะเลยครับ... ...โคลสอัพใกล้ๆมาให้ชมครับ... ...ชมเอาตามสะดวกนะครับ... ...ให้ชมอีกมุมหนึ่งของศาลเจ้าครับ... ...มุมนี้ก็สวยครับ... ...ถ่ายให้พี่ฟ้าใต้ร่มซากุระครับ... ...คุณนายหมูเธอเรียกให้ไปถ่ายรูปให้เธอหน่อย เลยนึกขึ้นได้ว่าเมียเรามาด้วย...!!! ...ถ่ายรูปคู่กันเพื่อเป็นที่ระลึกว่า "เหลืองกับแดง" เรารักกัน... ...ถ่ายสวนเซน ผ่านซากุระ พอจะทำให้สวนเซนดูดีขึ้นบ้างไหม... ...ดูดีขึ้นจริงๆเห็นไหม... ...เอ่อ รูปนี้ผมถ่ายอะไรมา...??? ผมถ่ายรูปจนอิ่มเอมแล้วก็เลยเดินกลับ เพื่อที่จะไปรอพรรคพวก สิบหัวทุยตะลุยทัวร์ กันที่จุดนัดหมาย เดินผ่านออกมาจากหน้าศาลเจ้า สองข้างทางก็จะเป็นร้านค้าขายอาหาร ขายขนม ขายของที่ระลึก เหมือนๆกับทุกๆที่ผ่านมา เพียงแต่ว่าที่นี่ดูจะเป็นท้องถิ่นมากกว่าที่ เกียวโต คือดูเหมือนกับว่าคนขายจะเป็นผู้ผลิตเองไปด้วย ไม่เหมือนกับที่เกียวโตที่ดูจะเป็นเชิงพาณิชย์มากกว่าที่นี่ คือเหมือนกับร้านค้าที่โน้นจะเป็นเพียงคนกลางที่รับของเขามาขาย แต่ที่ ดาไซฟู นี้ ดูเหมือนคนขายจะเป็นคนท้องถิ่นจริงๆ ทำเองขายเอง ขนมก็ออกจะแปลกๆกว่าที่อื่น การจัดร้านรวงก็ดูเก่าๆไม่ทันสมัยเหมือนที่เกียวโต ผมซื้อ ปลาหมึกย่างบด มากิน 1 ชิ้น ราคา 300¥ เพราะเห็นดูตัวโตเนื้อหนาน่ากินดี กินแล้วก็โอเคแหละครับ เนื้อหวานนุ่มลิ้นใช้ได้ไม่ค่อยเค็มเหมือนของเมืองไทย มีอยู่ร้านหนึ่งที่ผมประทับใจมาก เป็นร้านขายตุ๊กตาเซรามิคญี่ปุ่น เขาทำเป็นรูปผู้หญิงญี่ปุ่น รูปซามูไร รูปเด็ก ได้ดูน่ารักและมีชีวิตชีวามาก มากเสียจนอยากจะซื้อเป็นของที่ระลึก ติดอยู่ที่ราคาเท่านั้นแหละครับ ที่ทำให้ซื้อไม่ลง เพราะตัวหนึ่งตกถึงสี่หมื่นห้าหมื่นเยน บางตัวถึงหนึ่งแสนหกหมื่นเยนก็มี ก็ไม่รู้เหมือนกันครับว่าทำไมเขาถึงตั้งราคาไว้สูงขนาดนั้น หรือว่าจะกันไม่ให้นักท่องเที่ยวซื้อ นี่ถ้าขายสักสี่ซ้าห้าพันเยนป่านนี้คงหมดไปแล้วครับ หรือไม่ผมก็ได้เสียสตางค์ด้วยแน่ๆ ของบ้านเราเห็นที่เชียงใหม่เขาก็ทำได้สวยงามเหมือนกันนะครับ ราคาก็ถูกกว่ามาก ผมเห็นนักท่องเที่ยวทั้งฝรั่งทั้งญี่ปุ่น เห็นตุ๊กตาเซรามิคไทยแล้วก็ชื่นชม จนต้องซื้อไปทุกคน น่าจะซื้อไปให้เจ้าของร้านที่ญี่ปุ่นดูบ้างนะครับ ว่าเขาตั้งราคาเอาไว้อย่างไร ถึงจะขายได้ สิบหัวทุยตะลุยทัวร์ ครบหัวคน เราก็เรียก Taxi สามคันเหมือนเดิม นั่งรถกลับมาที่สถานีรถไฟ Futsukaishi ค่า Taxi คันละ 1,400¥ + 1,400¥ + 1,450¥ ถูกลงคันละ 50 เยน ประหลาดดีไหมครับ!!! ...นี่แหละครับตุ๊กตาเซรามิคญี่ปุ่นที่ผมว่าสวยไหมครับ... ...ตัวแค่นี้ตั้งสี่หมื่นกว่าเยนแน่ะ... ...ตัวนี้ก็สวยแล้วก็แพงพอๆกัน... ...ตัวนี้ตั้ง 160,000 เยนแน่ะ ไม่รู้จะแพงอะไรกันนักกันหนา... ...ตัวนี้ดูมีชีวิตชีวาเชียวครับ... ...ตัวนี้ราคาย่อมหน่อย 23,000 เยน แต่ก็ยังแพงอยู่ดี... ...อันนี้ขายเป็นคู่ครับ... ...ร้านขนมสองข้างทางครับ ดูเป็นแบบ "บ้านนอก" ญี่ปุ่นดีนะครับ... ...ดูหน้าร้านแล้วลองเปรียบกับที่เกียวโตในเอนทรีที่ผ่านมาดูนะครับ จะเห็นได้ว่าที่นี่ดูเชยๆ... ...ส่วนร้านนี้ไม่เชยครับ เพราะมีคนขายน่ารัก... ...ผมซื้อปลาหมึกย่างบดร้านนี้แหละครับ... จาก Futsukaishi เราก็นั่งรถไฟสาย Kodama กลับมาที่ Hakata จากนั้นก็มาเดินหาป้ายรถเมล์สาย 100 เพื่อที่จะได้ไปเที่ยวที่ Canal Cityกัน รถเมล์สาย 100 นี้เป็นรถเมล์สาย Loop ครับ คือเป็นรถเมล์ที่วิ่งเป็นวงกลมรอบเมือง เก็บค่าโดยสารเพียงแค่คนละ 100¥ เท่านั้น ถูกดีนะครับ แต่อย่าเทียบกับเมืองไทย ให้เทียบกับรถเมล์สายอื่นๆของญี่ปุ่นเท่านั้น เพราะปกติสายอื่นๆเขาจะเก็บประมาณ 200¥ ครับ รถเมล์ที่ Fukuoka นี้จะประหลาดกว่ารถเมล์ที่อื่นหน่อย ก็ตรงวิธีการเก็บค่าโดยสารของเขา คือรถเมล์ที่อื่นปกติก็ขึ้นไปปกติตรงประตูข้างๆรถ เวลาจะลงก็ไปจ่ายสตางค์ตรงข้างๆคนขับ แล้วก็เดินลงที่ประตูหน้ารถ แต่รถเมล์ที่ Fukuoka นี้ ก่อนขึ้นจะต้องกดที่เครื่องเล็กๆซ้ายมือทางขึ้นก่อน จะมีกระดาษสี่เหลี่ยมเล็กๆโผล่ออกมา ให้เราดึงกระดาษนั้นมาเก็บไว้คนละใบ จากนั้นเวลาลงก็ให้เราเอากระดาษนั้น ไปหยอดลงในช่องเก็บตั๋วข้างๆคนขับ แล้วก็จ่ายสตางค์ตามปกติ ก็ไม่ทราบเหตุผลเหมือนกันครับ ว่าทำไมต้องเพิ่มขั้นตอนให้มันยุ่งยากขึ้น แล้วถ้าเกิดเราทำกระดาษใบนั้นสูญหาย เกิดว่าหลุดมือแล้วปลิวออกไปนอกรถจะทำยังไง ไปกดใหม่ได้หรือไม่ ยังงงๆอยู่ แต่ช่างมันเถอะครับ เรากลับมาถึงบ้านแล้ว เก็บความงงเอาไว้กับการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของรัฐบาลกันดีกว่า ...ระหว่างรอรถเมล์ผมก็แอบถ่ายสาวน้อยคนนี้ สาวญี่ปุ่นดูเหมือนจะอยู่นิ่งไม่ได้ ว่างปุ๊บจะต้องยกโทรศัพท์ขึ้นมาเล่นเกมหรือไม่ก็เข้าอินเตอร์เนต... ...สาวๆหัวทุยกำลังชื่นชมกับบรรยากาศของเมือง Fukuoka... ถึง Canal City ผมถึงกับงงงวย เพราะทีแรกคิดว่าจะเป็นสวนสาธารณะแล้วมีลำคลองสวยๆไหลผ่าน มีดงต้นซากุระอยู่สองฝั่งฟาก แล้วก็มีคนพายเรือเล่นไปมา แต่กลับกลายเป็นว่า Canal City กลายเป็นห้างสรรพสินค้าใหญ่เบ้อเริ่มเทิ้ม ที่ตั้งชื่อว่า Canal ก็เพราะเขาทำเป็นลำคลองเทียม ปล่อยน้ำใสๆให้ไหลผ่านห้างของเขาไป แล้วก็จัด Landscape ตบแต่งไปด้วยดอกไม้สวยๆนานาพันธุ์ ช่วงนี้จะเป็นเทศกาลอะไรของเขาก็ไม่ทราบครับ เขาตบแต่งเป็นตุ๊กตาหมีตัวใหญ่ยักษ์ พร้อมกับรูปหัวใจเขียนภาษาญี่ปุ่น อ่านไม่ออกเอาไว้ข้างๆ ประดับไว้ในสระน้ำนี้ เอ๊ะ..ผมจะเรียกคลองหรือเรียกสระดี ช่างมันเถอะครับเอาว่าเป็นอันรู้กันก็แล้วกันนะครับ ว่ามันหมายถึงสิ่งเดียวกัน ตรงตุ๊กตาหมีนี้ เขาจะลานเป็นรูปวงกลมมหึมาเพื่อให้คนเดินเข้ามาถ่ายรูปเป็นที่ระลึกกับหมีด้วย ก็มีคนเข้ามาถ่ายกันเป็นระยะๆแหละครับ รวมทั้งคณะ สิบหัวทุยตะลุยทัวร์ นี้ด้วย จูนบอกว่าเวลา 19.00 น. เขาจะมีการแสดงระบำน้ำพุตรงนี้ ให้มาคอยดูกัน ...ถึงแล้วครับ Canal City หน้าตาอย่างนี้แหละครับ... ...นี่แหละครับ Canal ของเขา... ...เรียกว่า "สระน้ำ" น่าจะเหมาะกว่า "คลอง" นะครับ... เราแยกย้ายกันไปเดินเที่ยวในห้าง ตามแต่อัธยาศัย ของผู้ใดจะถูกจริตกับสิ่งใด โดยนัดหมายให้เจอกันที่หน้าห้างในเวลา 19.30 น. คุณนายหมูเธอปล่อยผมไปตามอิสระ เว้นไว้แต่หัวใจเท่านั้นที่ยังคงมีเยื่อใยต่อกันอย่างมั่นคง ผมก็เดินดูโลเกชั่นถ่ายรูปไปทั่ว แล้วก็เดินวกเข้าไปดูของในห้างทางด้านประตูหนึ่ง เพราะเห็นมีร้านขายของกระจุกกระจิกเต็มไปหมด แล้วก็ไม่ผิดหวังเพราะมีร้านหนึ่งที่ขายทั้งของเล่น ของที่ระลึก และยังรวมไปถึงของเก่าด้วย แต่เปล่าผมไม่ได้สนใจทั้งสามของที่ว่ามา ที่ตื่นเต้นเพราะผมไปเจอของสะสมของเป๊ปซี่เข้า โดนครับโดน...โดนใจวัยรุ่นอย่างแรง แต่ไม่ได้ซื้อมาเพราะมันไม่โดนใจสตางค์ในกระเป๋า แพงเหลือเกินซื้อไม่ลงครับ มันเป็นนาฬิกาเป๊ปซี่ ทำด้วยสังกะสีเปลือยไม่มีกรอบ อักษรเป๊ปซี่ยังเป็นสมัยเก่า ดูแล้วคลาสสิกมากๆ ครบเครื่องทั้งที่เป็น เป๊ปซี่ และเป็น นาฬิกา เพราะผมชอบนาฬิกาอยู่ด้วยไงครับ แต่ราคาของมันนี่สิ 7,140¥ ตีเป็นเงินไทยแล้วก็ประมาณ 2,700 บาท ไม่ไหวครับแพงเกินไป ถึงจะชอบอย่างไรก็ต้องตัดใจครับ ถ้าราคาไม่เกินสัก 1,500 บาท ป่านนี้มันได้มาติดฝาบ้านผมที่กรุงเทพฯแล้วล่ะครับ ผมรีบถ่ายรูปฉุบฉับๆ เพราะเห็นไม่มีเจ้าของร้านเดินมาถามไถ่ ต้องรีบถ่ายครับเพราะปกติในห้างในร้านอย่างนี้เขาห้ามถ่าย ผมก็เลยแกล้งไม่รู้ถ่ายๆไปก่อนถ้าเขามาห้ามค่อยบอกว่า Sorry Sorry นิสัยไม่ดีนะครับผมนี่ เด็กๆอย่าเอาเป็นเยี่ยงอย่างนะครับ ...มีร้านขายของกระจุกกระจิกมากมายเชียวครับ... ...ของเต็มเลยครับ... ...ป้ายเป๊ปซี่แค่นี้อันหนึ่งตั้งหกร้อยกว่าบาทไทยเชียวครับ ไม่ไหว... ...ชิ้นนี้แหละที่ผมอยากได้อย่างที่สุด แต่ราคา 7,140 เยน ยอมแพ้ครับ... ...ร้านอื่นก็มีที่น่าดูเยอะแยะครับ แต่มันไม่ใช่สเปกผม... ...ซาริโอก็มี ญี่ปุ่นนี่ดีอย่างหนึ่งครับ ของเขามีแต่ของแท้ๆ ของปลอมลิขสิทธิ์ไม่มีเลยครับ เอ๊ะ!! อย่างนี้ไม่รู้ว่าดีหรือไม่ดี... ...ออกมาตระเวนถ่ายรูป Canal ของเขาต่อดีกว่าครับ... ...จัดได้ดีกว่าสวนเซนที่ดาไซฟูไหมครับ... 19.00 น. กลับมาที่ลานน้ำพุมานั่งรอดูระบำน้ำพุ ก็มาเจอคุณนายหมู จูน พี่เปิ้ล รออยู่ก่อนแล้ว ระบำน้ำพุก็เป็นการแสดงน้ำพุส่ายไปส่ายมาประกอบดนตรีของ Abba ในเพลง Mama Mia ดูแล้วก็สวยงาม เพลิดเพลินตาเพลิดเพลินใจดีแหละครับ เพียงแต่ว่าผมเกิดไปเปรียบเทียบกับ การแสดงระบำน้ำพุแบบเดียวกันนี้ที่ห้างจังซีลอน ที่หาดป่าตอง ภูเก็ต ซึ่งตอนที่ห้างเขาเปิดใหม่ๆ เขาก็จัดให้มีการแสดงอย่างนี้ในช่วงเย็นประมาณ หกโมงเย็นของทุกวันเหมือนกัน ผมว่าของจังซีลอนเขาทำได้ดีกว่าเยอะเลยครับ ทั้งสี เสียง การพุ่งขึ้นของน้ำพุ และความลงตัวของดนตรี ไม่รู้ทุกวันนี้เขายังจะแสดงอยู่หรือเปล่านะครับ หากว่าใครรู้จักเจ้าของเขาก็ช่วยบอกด้วยว่าผมขอชม!!! 19.30 น. เรามาเจอกันครบทีมตามนัด ตกลงกันว่าจะไปกินข้าวกันที่ Fish Market ซึ่งเป็นตลาดซื้อขายปลาทะเลของเมือง Fukuoka เขา แต่เรียกแท็กซี่ก็ไม่มีคันไหนยอมไป กลับบอกว่าเวลาตอนนี้ Fish Market ปิดแล้ว มิใยที่จูนจะบอกว่า เราไม่ได้ไปซื้อปลาแต่จะไปกินข้าวที่ร้านอาหารแถวๆ Fish Market แต่เขาก็ไม่ยอมไป งงๆกับแท็กซี่ญี่ปุ่นเหมือนกัน ฤาว่านี่จะเป็นข้อแตกต่างของแท็กซี่ไทยกับแท๊กซี่ญี่ปุ่น เพราะถ้าเป็นแท็กซี่ไทยถ้าผู้โดยสารยืนยันจะไปอย่างนี้คงจะไปแล้ว ไม่มัวมาต่อล้อต่อเถียงกับผู้โดยสารอยู่ว่ามันปิดแล้ว สรุปเราก็เลยต้องเดินไปหาป้ายรถเมล์เพื่อจะขึ้นสาย 68 ไป Fish Market อันนี้ต้องขอบคุณผู้หาข้อมูลเตรียมไว้ล่วงหน้าอย่างพี่อ๊อด เพราะพี่เขาแทบจะเป็นไกด์นำเที่ยวญี่ปุ่นได้แล้ว ทั้งๆที่ไม่เคยมาแต่รู้หมดว่าจากไหนไปไหนต้องใช้รถเมล์สายอะไร เราไปลงที่สถานี Minatoichome ซึ่งเป็นสถานีตรง Fish Market พอดี ค่ารถเมล์คนละ 180¥ ถูกกว่านั่งรถแท็กซี่เยอะเลย!!! ...เริ่มแล้วครับระบำน้ำพุ ประกอบเพลง Mama Mia ของ ABBA... ...ก็สวยดีนะครับ เสียดายเอาเพลงมาให้ท่านผู้ชมฟังไม่ได้... ...เหมือนน้ำพุกำลังเต้นระบำเหมือนกันครับ... ...พุ่งขึ้นได้สูงน่าดูนะครับ... ...ตอนจบครับ... ...หุ่นยนต์ตัวนี้จะเดินไปเดินมาครับ เป็นหุ่นยนต์ที่บอกข้อมูลของห้างนี้ โดยใช้หน้าจอสัมผัสด้านหน้าหุ่นนั่นแหละครับ... ...ถ่ายเป็นที่ระลึกกับหมีญี่ปุ่นหน่อยครับ... จาก Fish Market เราต้องเดินไปอีกเล็กน้อยก็จะถึงอาคาร ที่เรียกว่า เป็นเสมือนที่ทำการของการท่าเรือ หรือผู้บริหารตลาดปลาแห่งนี้ เพียงแต่ว่าเมื่อมาเดินในยามที่เหน็ดเหนื่อยและหิวโหยเช่นนี้ ระยะทางเล็กน้อยเหมือนดูไม่ค่อยจะเล็กน้อยเอาเลย ที่น่ายกย่องก็คือพี่ฟ้าที่ปกติจะเดินไปไหนไกลๆไม่ค่อยจะไหว และมักจะเหนื่อยง่าย แต่วันนี้แม้จะดูว่าเหนื่อยและรู้ว่าเมื่อย แต่กลับไม่ได้ยินเสียงบ่นจากพี่ฟ้าเลยสักคำ แม้จะเดินได้ช้ากว่าคนอื่นๆ แต่ก็เดินได้เรื่อยๆไม่หยุดโดยมีกระติกทำหน้าที่ประคองไปอย่างน่ารักเป็นที่สุด พี่จันทร์อยากจะกินปลาแบบสดๆวางหน้าร้าน แล้วก็เลือกชี้เอาตามชอบใจ แต่ก็หาร้านประเภทนั้นไม่เจอสักร้าน ในที่สุดก็ตัดสินใจเอาหนึ่งร้าน เป็นร้านที่ดูเก่าๆแต่ก็เป็นกันเองดี มีคนกินอยู่แล้วหลายกลุ่มเหมือนกัน โชคดีที่ยังไม่เต็มเพราะพวกเรากลุ่มใหญ่ มีถึงสิบคนเข้าไปร้านไหนทีก็ปาเข้าไปครึ่งร้านแล้ว เพราะร้านอาหารที่ญี่ปุ่นนั้นส่วนใหญ่ก็จะเล็กๆแคบๆทั้งนั้น ...บรรยากาศภายในร้าน ดูแต่ละคนกำลังหิวโซกันทั้งนั้น... ข้อเสียอยู่อย่างของคนญี่ปุ่นก็คือเขาชอบสูบบุหรี่กัน แม้แต่ในร้านอาหารก็ไม่มีกฎหมายห้าม นับว่ายังล้าหลังกว่าเมืองไทยนะเนี่ย แต่ก็มีบางร้านที่พยายามพัฒนาการตัวเอง โดยแบ่งโซนสำหรับสูบบุหรี่และโซนผู้ไม่สูบบุหรี่ อยู่บ้าง แต่ก็ถือว่ายังแพ้เมืองไทยทีเดียวในข้อนี้ นับว่าไทยแลนด์ก็ยังมีดีกว่าญี่ปุ่นเหมือนกันนะ กินข้าวกันอิ่มหนำสำราญจนดึกแล้ว เกือบสี่ทุ่มต่างคนต่างเหนื่อยต่างคนต่างเพลีย มติจึงออกมา 10 ต่อ 0 ว่าให้นั่งแท็กซี่ เพียงแต่แท็กซี่แถวนี้ก็มีน้อยซะอีก เรียกมาได้หนึ่งคันจูนก็เลยเข้าไปเจรจาว่าเราต้องการแท๊กซี่สามคันไป Sunlife 1 Hotel โชเฟอร์แท็กซี่ก็เลยโทรศัพท์เรียกเพื่อนมาอีกสองคัน ไม่เกินสิบนาทีแท็กซี่อีกสองคันก็ปรากฏโฉมเรียบร้อย นำเราทั้ง สิบหัวทุยตะลุยทัวร์ มุ่งสู่ห้องพักบรมสุขีในคืนนี้แล้วพบกันใหม่ในตอนหน้าครับ รวมค่าใช้จ่ายในวันนี้ 31 มีนาคม 2552 - - - ค่าโรงแรม Sunlife 1 หนึ่งคืน = @3,000 ¥ x 10 = 30,000 ¥ - ค่าอาหารเที่ยง @1,780 ¥ x 10 = 17,800 ¥ - - ค่า Taxi จาก Dazaifu กลับมาที่ สถานี Futsukaishi = 1,400+1,400+1,450 ¥ = 4,250 ¥ (@425 ¥ x 10) - - ขึ้นรถเมล์สาย 68 ไป Minatoichome เพื่อไป Senkyoichiba @180 ¥ x 10 =1,800 ¥ - ค่าอาหารเย็นที่ Fish Market = 21,900 ¥ (@2,190 ¥ x 10) - ค่า Taxi กลับ Sunlife 1 Hotel = 1,650+1,500+1,500 = 4,650 ¥ (@465 x10)
โปรดติดตามต่อในตอนที่เจ็ด ตอนที่เจ็ด...ตะลุยดงซากุระ |
ถึง บล็อกเกอร์ ทุกท่าน โปรดอ่าน
ด้วยทาง บริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จำกัด (มหาชน) ได้ติดต่อขอความร่วมมือ มายังเว็บไซต์และเว็บบล็อกต่าง ๆ รวมไปถึงเว็บบล็อก OKnation
ห้ามให้มีการเผยแพร่ผลงานอันมีลิขสิทธิ์ ของบริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ฯ บนเว็บ blog โดยกำหนดขอบเขตของสิ่งที่ห้ามทำ และสามารถทำได้ ดังนี้
ห้ามทำ - การใส่ผลงานเพลงต้นฉบับให้ฟัง ทั้งแบบควบคุมเพลงได้ หรือซ่อนเป็นพื้นหลัง และทั้งที่อยู่ใน server ของคุณเอง หรือ copy code คนอื่นมาใช้ - การเผยแพร่ file ให้ download ทั้งที่อยู่ใน server ของคุณเอง หรือฝากไว้ server คนอื่น สามารถทำได้ - เผยแพร่เนื้อเพลง ต้องระบุชื่อเพลงและชื่อผู้ร้องให้ชัดเจน - การใส่เพลงที่ร้องไว้เอง ต้องระบุชื่อผู้ร้องต้นฉบับให้ชัดเจน จึงเรียนมาเพื่อโปรดปฎิบัติตาม มิเช่นนั้นทางบริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ฯ จะให้ฝ่ายดูแลลิขสิทธิ์ ดำเนินการเอาผิดกับท่านตามกฎหมายละเมิดลิขสิทธิ์
OKNATION
กฎกติกาการเขียนเรื่องและแสดงความคิดเห็น
1 การเขียน หรือแสดงความคิดเห็นใด ๆ ต้องไม่หมิ่นเหม่ หรือกระทบต่อสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ หรือกระทบต่อความมั่นคงของชาติ
2. ไม่ใช้ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่นในทางเสียหาย หรือสร้างความแตกแยกในสังคม กับทั้งไม่มีภาพ วิดีโอคลิป หรือถ้อยคำลามก อนาจาร 3. ความขัดแย้งส่วนตัวที่เกิดจากการเขียนเรื่อง แสดงความคิดเห็น หรือในกล่องรับส่งข้อความ (หลังไมค์) ต้องไม่นำมาโพสหรือขยายความต่อในบล็อก และการโพสเรื่องส่วนตัว และการแสดงความคิดเห็น ต้องใช้ภาษาที่สุภาพเท่านั้น 4. พิจารณาเนื้อหาที่จะโพสก่อนเผยแพร่ให้รอบคอบ ว่าจะไม่เป็นการละเมิดกฎหมายใดใด และปิดคอมเมนต์หากจำเป็นโดยเฉพาะเรื่องที่มีเนื้อหาพาดพิงสถาบัน 5.การนำเรื่อง ภาพ หรือคลิปวิดีโอ ที่มิใช่ของตนเองมาลงในบล็อก ควรอ้างอิงแหล่งที่มา และ หลีกเลี่ยงการเผยแพร่สิ่งที่ละเมิดลิขสิทธิ์ ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบหรือวิธีการใดก็ตาม 6. เนื้อหาและความคิดเห็นในบล็อก ไม่เกี่ยวข้องกับทีมงานผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซต์ โดยถือเป็นความรับผิดชอบทางกฎหมายเป็นการส่วนตัวของสมาชิก คลิ้กอ่านเงื่อนไขทั้งหมดที่นี่"
OKnation ขอสงวนสิทธิ์ในการปิดบล็อก ลบเนื้อหาและความคิดเห็น ที่ขัดต่อความดังกล่าวข้างต้น โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ต่อเจ้าของบล็อกและเจ้าของความคิดเห็นนั้นๆ
|
||
![]() ![]() |