*/
<< | พฤษภาคม 2009 | >> | ||||
อา | จ | อ | พ | พฤ | ศ | ส |
1 | 2 | |||||
3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8 | 9 |
10 | 11 | 12 | 13 | 14 | 15 | 16 |
17 | 18 | 19 | 20 | 21 | 22 | 23 |
24 | 25 | 26 | 27 | 28 | 29 | 30 |
31 |
ธรรมที่เป็นจริง แยกออกได้เป็นสอง คือสัจจธรรมในทางโลกอย่างหนึ่ง สัจจธรรมในทางธรรมอย่างหนึ่ง สัจจธรรมในทางโลกก็ได้แก่เหตุผลที่มีที่เป็นอยู่ในโลก เช่นฝนตกดินเปียกแดดออกดินแห้ง หรือฟ้าผ่า สิ่งที่ถูกฟ้าผ่าทลายหักพัง นี่เป็นสัจจธรรมธรรมที่เป็นจริงในทางโลก เมื่อผู้สนใจจะรู้สัจจธรรมในทางโลก เขาก็เรียนเหตุผลในทาง โลกกัน จนจับได้อย่างละเอียด นำมาทำของที่ยังไม่มีไม่เป็น ให้มี ให้เป็นขึ้น เช่น เรือบิน เรือดำน้ำ เป็นต้น ส่วนสัจจธรรมที่เป็นใน ทางธรรมนั้น ก็คือ สัจจธรรมที่มีบุคคล บุคคลตามธรรมดา ว่าตามทางพระพุทธศาสนายังไม่เป็นคนดีคนชัว เมื่อยังไม่ได้ทำอะไรไม่ได้พูดอะไร ไม่ได้คิดอะไรที่เป็นดีหรือเป็นชั่ว พึงนึกดูเด็ก ๆ เมื่อเขายังไม่รู้จักดีชั่วผิดถูก เขาก็ไม่แสดงอาการดี อาการชั่วออกมาให้ปรากฏ เป็นแต่แสดงอาการอย่างเด็ก ๆ ที่ไม่นิยมยึดถือกันว่าเป็น คนดีเป็นชั่ว ต่อเมื่อบุคคลนั้นแหละเป็นผู้ใหญ่ขึ้นแล้ว ทำดีออกไปเป็นเหตุ ก็ปรากฏผลให้เป็นคนดี ทำชั่วออกไปเป็นเหตุก็ปรากฏเป็นคนชั่วนี่เป็นสัจจธรรมในภายใน หรือสัจจธรรม ทางธรรม และมีที่บุคคล ตลอดจนถึงมรรคผลนิพพาน อันเป็นสัจจธรรมชั้นสูง ก็ปรากฏที่บุคคลนั่นเอง ถ้าไม่มีบุคคล มรรคผลนิพพานก็ไม่ปรากฏ ดีชั่วจึงปรากฏที่บุคคล เหตุผลที่มีที่บุคคลนี่แหละเป็นสัจจธรรมทางธรรม ถ้าออกไปเกี่ยวข้องกับโลกธาตุเป็นสัจจธรรมทางโลก ทางพระพุทธศาสนามุ่งแสดงสัจจธรรมเกี่ยวกับคนเป็นใหญ่ ไม่ได้มุ่งสอนทางโลก หรือเหตุผลทางโลก เพราะอะไร เพราะว่าคนที่แม้จะรู้จักเหตุผลทางโลกแล้ว นำมาประกอบให้เป็นสิ่งต่าง ๆ ขึ้น และนำมาใช้ในทางชั่วเช่นทำลายล้างกันก็ได้ผลชั่วเป็นทุกข์แต่ถ้าคนเป็นคนดีแล้ว นำสิ่งของที่ทำขึ้นมาทำนุบำรุงกันก็ได้ผลดีเป็นสุขหลักสำคัญจึงอยู่ที่คน ถ้ารู้จักเหตุผลทั้งส่วนดีทั้งส่วนชั่วแล้ว ต้องการผลดีไม่ต้องการผลชั่ว ก็จะได้ทำเหตุที่ดีเพื่อจะได้ผลดี ไม่ทำเหตุที่ชั่วเพื่อจะไม่ต้องได้ผลชั่ว ทั้งสำหรับตัว ทั้งสำหรับคนที่อยู่ด้วยกันเมื่อคนมุ่งทางธรรมอยู่เช่นนี้อยู่ด้วยกัน แม้จะมีสิ่งของที่ไม่ได้เกิดขึ้นใช้ทันสมัย ก็อยู่ด้วยกันเป็นสุข ไม่เบียดเบียนกัน แต่ถ้าไม่มีหลักธรรมในตนแล้ว อยู่ด้วยกันเป็นทุกข์เพราะเบียดเบียนกัน พระพุทธเจ้ามุ่งสอนคนให้เป็นคนดี ไม่ให้เป็นคนชั่ว จึงทรงแสดงสัจจธรรม ที่บุคคลตั้งแต่เบื้องต้นไปจนถึงเบื้องสูง อีกปริยายหนึ่ง สัจจธรรม ธรรมที่เป็นจริงโดยทั่ว ๆ ไปแล้ว ก็แยกได้เป็น ๒ คือ สัจจธรรมอันเป็นภายนอก คือนอกจากคนอันมีอันเป็นไปในโลกส่วนหนึ่ง สัจจธรรมอันมีที่บุคคล ปรากฏที่บุคคล อันเป็นภายในอีกส่วนหนึ่ง สัจจธรรมภายนอกอันเป็นไปปรากฏอยู่ในโลกนั้น ย่อมเป็นเหตุผลในภายนอก เมื่อบุคคลสนใจค้นคว้าแสวงหา ก็สามารถจะนำมาประกอบให้สำเร็จเป็นสิ่งที่ตนประสงค์ ทำสิ่งที่ยังไม่มีให้มีปรากฏขึ้นได้ เช่นสิ่งของทั้งหลายต่าง ๆ อันยังไม่เคยมีไม่เคยเป็น ถ้าบุคคลไม่รู้สัจจธรรมตามเหตุและผล ก็ไม่สามารถจะนำมาประกอบให้ปรากฏให้เกิดขึ้นใหม่ได้ แต่สิ่งเหล่านั้น ไม่เป็นไปเพื่อความสุข หรือไม่เป็นไปเพื่อความทุกข์โดยตรง เพราะบุคคลอาจนำสิ่งที่ทำให้เกิดให้มีขึ้นนั้นไปใช้ในทางดีได้ ไปใช้ในทางชั่วก็ได้ ถ้านำไปใช้ในทางดี ก็ให้เกิดผลเป็นสุข ถ้านำไปใช้ในทางชั่ว ก็ให้เกิดผลเป็นทุกข์ ดังที่ปรากฏเห็นกันอยู่ในปัจจุบันนี้ ส่วนสัจจธรรมที่มีในภายใน คือที่ตนเองนั้น เป็นหลักสำคัญ เพราะเมื่อบุคคลในใจค้นคว้าแสวงหาให้รู้ตามเป็นจริงว่า นี้เป็นเหตุผลส่วนดี นี้เป็นเหตุผลส่วนชั่ว พยายามทำเหตุที่ดีให้เกิดขึ้น ให้บรรลุถึงผลคือความเป็นคนดี พยายามละเหตุที่ชั่วที่เกิดขึ้นแล้วไม่ให้มีอยู่เพราะระวังเหตุที่ชั่วที่ยังไม่เกิดไม่ให้เกิดก็จะพ้นจากผลคือความเป็นคนชั่ว บุคคลที่บรรลุถึงผลคือความเป็นคนดีพ้นจากผลคือความเป็นคนชั่วเช่นนี้ แม้ในชั้นต้นก็ย่อมทำตนให้เป็นคนดี ไม่ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อนเป็นทุกข์ เพราะฉะนั้น ทางพระพุทธศาสนาจึงมุ่งประกาศสัจจธรรมที่บุคคล ให้บุคคลค้นคว้าแสวงหาให้รู้จักว่าอะไรเป็นส่วนดี อะไรเป็นส่วนชั่ว เมื่อรู้ตามเป็นจริงแล้ว ทำส่วนที่ดีให้เกิด ละส่วนที่ชั่วเสีย เมื่อนำสิ่งที่ทำให้เกิดขึ้นไปใช้ ก็จะนำไปใช้ในทางดีทางชอบ ให้เกิดสุขแก่ตน และแก่บุคคลอื่น ไม่นำไปใช้ในทางชั่ว ทางผิด ซึ่งให้เกิดทุกข์แก่ตนและแก่บุคคลอื่น ส่วนที่ดีที่ชอบอันสูงๆขึ้นไปโดยลำดับ ก็เรียกว่าพรหมจรรย์ แต่เป็นไปตามชั้นสัจจธรรม ธรรมที่เป็นจริงนั้น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประกาศโดยปริยายเป็นอันมาก กล่าวตามสาราณียธรรม ธรรมเป็นที่ตั้งแต่งความระลึกถึงกันในทางดีทางชอบ สองข้อเบื้องปลาย ก็ได้แก่ สีลสามัญญตา ความเป็นผู้มีความประพฤติกายวาจาใจให้เป็นไปในทางดีเสมอกัน ไม่ให้ลุอำนาจของโลภะ โทสะ โมหะ เรียกว่าศีล ศีลนี้ อย่างสูงต้องเป็นไทแก่ตัว คือ ไม่เป็นทาสของศีล อันหมายความว่าบุคคลตั้งใจรับศีลเพราะเห็นว่าเป็นบุญ แต่ก็ยังไม่เห็นโทษของการล่วงศีลจริง ๆ จึงต้องรักษาศีล กลัวศีลจะขาด เมื่อเป็นเช่นนี้ ผู้รักษาศีล หรือศีลที่บุคคลรักษาก็ ไม่เป็นไทแก่ตัว ต่อเมื่อได้ทำศีลให้เกิดมีจนไม่ต้องรักษา ศีลเป็นตัวเอง ตัวเองเป็นศีล เช่นนี้ได้ชื่อว่าศีลเป็นไท ไม่เป็นทาส คือไม่ต้องระวังรักษา เพราะกลัวจะขาด และเป็นศีลที่ท่านผู้รู้สรรเสริญเป็นอปรามัฏฐะ คือไม่ต้องยึดถือ บุคคลที่ยังยึดถือศีลอยู่ ศีลอาจจะหลุดขาดได้ เหมือนดังบุคคลผู้เดินทางนำเสบียงอาหารไป ก็ต้องรักษาเสบียงอาหารนั้นไว้ กลัวจะตกจะหล่น และถ้าเผลอ ก็อาจจะตกจะหล่นได้ แต่ถ้าบุคคลผู้นำอาหารนั้นไปบริโภคอาหารนั้นเข้าไปเสีย ให้รสอาหารซึมซาบเข้าไปในร่างกาย เช่นนี้ ได้ชื่อว่าทำศีลให้เป็นตัวของตัวเอง หรือทำตัวเองให้เป็นศีล ไม่ต้องไปมัวยึดถือ จึงไม่ขาดตกบกพร่อง ศีลก็ได้ชื่อว่าเป็นศีลโดยตรงซึ่งแปลว่าเป็นปกติ หมายความว่าปกติกายปกติวาจา ปกติใจ เพราะความประพฤติเป็นสัจจะทางกายทางวาจาทางใจนั้น ไม่เป็นไปตามอำนาจของ โลภะ โทสะ โมหะ เมื่อศีล เป็นศีลแท้เป็นปกติเช่นนี้แล้ว ก็เป็นไปเพื่อให้ได้ความสงบของจิต ซึ่งท่านเรียกว่าสมาธิสังวัตตนิกะ เป็นเพื่อสมาธิคือความสงบจิตเมื่อทำสมาธิให้เกิดขึ้นได้ก็เป็นไปเพื่อปัญญา ปัญญาอบรมจิตจิตก็จะหลุดพ้นจากความไม่รู้ตามเป็นจริง เพราะฉะนั้น จึงมีพระบาลีแสดงไว้ว่าสีลปริภาวิโต สมาธิ มหปฺผโล โหติ มหานิสํโส สมาธิอันศีลอบรมแล้วย่อมมีผลใหญ่ มีอานิสงส์ใหญ่ สมาธิปริภาวิตา ปญฺญา มหปฺผลา โหติ มหานิสํสา ปัญญาอันสมาธิอบรมแล้วย่อมมีผลใหญ่ มีอานิสงส์ใหญ่ ปญฺญาปริภาวิตํ จิตฺตํ สมฺมเทว อาสเวหิ วิมุจฺจติ จิตอันปัญญาอบรมแล้ว ย่อมหลุดพ้นจากความไม่รู้ และหลุดพ้นจากการเข้าไปเกี่ยวข้องพัวพัน ศีลนี้แหละ แม้ตั้งต้นแต่ศีลที่ยังต้องถือ ยังต้องยึด ยังต้องระวัง ก็ยังเป็นเหตุให้บุคคลผู้รักษาศีลอยู่ด้วยกันเป็นสุขไม่เบียดเบียนกันและกัน แต่ถ้าบุคคลที่อยู่ด้วยกันนั้น ต่างฝ่ายต่างไม่มีศีลอยู่ด้วยกัน ก็ย่อมจะเบียดเบียนกันทำให้ลำบากเดือดร้อนทั้งตัวเอง เดือดร้อนทั้งผู้อื่นเช่นคนที่มุ่งฆ่าเขามุ่งทำร้ายร่างกายเขา ตัวเองก็เดือดร้อน ผู้ที่ถูกมุ่งและรู้เรื่องก็เดือดร้อน เมื่อเขามุ่งฆ่ามุ่งทำร้ายร่างกายเรา ผู้มุ่งก็เดือดร้อน เราเองที่ถูกมุ่งเมื่อรู้อยู่ ก็เดือดร้อนไม่เป็นสุข ถ้าต่างฝ่ายต่างมีศีลอยู่ด้วยกัน ไม่คิดฆ่าไม่คิดร้ายกันเป็นต้น อยู่ด้วยกันก็เป็นสุข เพราะไว้วางใจกันได้ แม้ศีลองค์อื่น ๆ ก็เป็นเช่นนี้แหละ ถึงจิตฟุ้งซ่านไม่สงบ ก็เป็นทุกข์สำหรับผู้นั้น ถ้าจิตไม่ฟุ้งซ่านก็ให้ผลเป็นสุข ส่วนทิฏฐิความเห็นหรือสัมมาทิฏฐิความเห็นชอบ อันพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงในสาราณียธรรมนั้น ก็คือยายํทิฏฺญ อริยา ทิฏฐิอันใด ประเสริฐนิยฺยานิกา เป็นเครื่องนำออก คือนำออกจากทุกข์ นิยฺยาติ ตกฺกรสฺส สมฺมาทุกฺขกฺขยาย ย่อมนำออกเพื่อความสิ้นทุกข์โดยชอบแก่ผู้ทำทิฏฐินั้น หรือนำผู้มีทิฏฐิเช่นนั้นออกไปเพื่อความสิ้นทุกข์โดยชอบ โดยนัยนี้ ทุกข์เป็นหลัก ทิฏฐิความเห็นอันใดที่นำออกจากทุกข์ ทิฏฐิอันนั้นก็อริยะประเสริฐ เป็นเครื่องนำออก ทิฏฐิอันใดที่นำเข้าไปประกอบกับทุกข์ ทิฏฐิอันนั้นก็เป็นมิจฉาทิฏฐิ ( ไม่ใช่นำออกจากทุกข์แต่กลับนำเข้าไปข้องกับทุกข์ ) แม้บุคคลบางคนมุ่งจะให้ได้สิ่งที่ตนปรารถนาจากผู้อื่น ไม่เลือกทางดีชั่วผิดถูก หรือบุคคลมุ่งร้ายผู้อื่นด้วยความโกรธแค้นขัดเคืองหรือบุคคลผู้เห็นผิดจากคลองธรรม ต้องการจะเบียดเบียนผู้ที่ตนเห็นว่าเป็นเครื่องกีดขวางให้เดือดร้อนเหล่านี้ ถึงทำสำเร็จได้ ได้ทรัพย์มาสมประสงค์กำจัดคนที่โกรธแค้นขัดเคืองออกไปได้ กำจัดคนที่เห็นว่าจะกีดขวางต่อการปฏิบัติของตนให้สำเร็จ อาจเข้าใจว่าตนได้ความสุข แม้จะได้ความสุขส่วน ๑ ก็จริง แต่ก็ก่อทุกข์อีกส่วน ๑ ให้ตน เพราะกลัวเขาจะตอบแทนล้างแค้น ทั้งก็ก่อทุกข์ให้บุคคลอื่น คือบุคคลผู้เป็นเจ้าของทรัพย์ บุคคลผู้ถูกปองร้าย บุคคลผู้ถูกเกียตกันจากความกีดขวางทรัพย์หรืออำนาจที่บุคคลผู้นั้นทำให้เกิดมีขึ้นแก่ตน ก็ไม่ใช่จะอยู่ยืนยาวไปเท่าไรอย่างช้าก็เพียงสิ้นชีวิตเท่านั้น แล้วก็ทิ้งทรัพย์สินไว้ในโลกนี้ ไม่มีใครนำไปได้แม้แต่สักนิดเดียว จนกระทั่งถึงรูปกายที่ยึดถือรักใคร่ก็ไม่อาจจะนำไปได้ ต้องทิ้งไว้ให้เขาฝั่งให้เขาเก็บ ให้เขาเผาไปตามเรื่องส่วนความเดือดร้อนกระวนกระวายใจที่มีอยู่ในใจนั้น ไม่ได้ทิ้งไว้ ย่อมติดตามบุคคลผู้นั้นไปตลอดจนถึง ภพเบื้องหน้า ดังพระพุทธภาษิตว่า ยถากมฺมํ คมิสฺสนฺติปุญฺญปาปผลูปคา สัตว์ทั้งหลายเป็นผู้เข้าถึงผลบุญและบาป จักไปตามกรรม นิรเยปาปกมฺมนฺตา ผู้มีกรรมคือการงานที่ทำ ทางกาย ทางวาจา ทางใจ เป็นบาป ย่อมไปในนรก ปุญฺญกมฺมา จ สุคตึ ผู้มีกรรมอันเป็นบุญย่อมไปสู่สุคติ คือที่ไปอันดีอันงาม ดังนี้ ชาติหน้าจงยกไว้ ว่าเฉพาะแต่ชาตินี้ก็เห็นได้ ด้วยปัญญาพิจารณาให้เห็นตามเป็นจริง นี้ก็เป็นสัจจธรรม ธรรมที่เป็นจริงหรือสภาพที่เป็นจริงอันปรากฏ บุคคลใช้ปัญญาพิจารณาย่อมเห็นได้ ในปัจจุบันบัดนี้เอง นี้ก็เป็นสัจจธรรม ธรรมที่เป็นจริงที่ปรากฏเห็นอยู่ เพราะฉะนั้น จึงมีพระคุณของพระธรรมอีกบทหนึ่งว่า สนฺทิฏฐิโก อันผู้ศึกษาเห็นเอง คือเห็นด้วยตนเอง คนอื่นจะเห็นแทนไม่ได้ และเห็นด้วยปัญญาอันชอบ ตามความเป็นจริง สัจจธรรมธรรมที่เป็นจริงจะสำเร็จประโยชน์แก่บุคคลก็ เพราะบุคคลเห็นสัจจธรรมนั้นตามเป็นจริง.สัจจธรรม กับ ศาสนธรรม เป็นคู่กัน ศาสนธรรมย่อมประกาศแสดงสัจจธรรม แม้สัจจธรรม ธรรมที่เป็นจริงนั้น อันศาสดาผู้แสดงก็แสดงแต่เพียงเรื่องของสัจจธรรม ไม่ใช่ตัวสัจจธรรมเอง เพราะตัวสัจจธรรม บุคคลนั้นเองต้องเห็นด้วยตัวเอง เหมือนดังบุคคลไปเห็นสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ที่เป็นจริงมาแล้ว นำมาเล่าให้บุคคลที่ยังไม่เห็นฟัง ผู้ยังไม่เห็นได้ฟัง แต่คำบอกเล่าเท่านั้น ยังไม่เห็นจริงด้วยตนเองต้องดูให้เห็นด้วยตนเองจึงจะเห็นได้ เพราะฉะนั้น สัจจธรรม จึงแยกได้เป็นสอง คือตัวสัจจธรรมอย่างหนึ่ง เรื่องของสัจจรรมอย่างหนึ่ง พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงสัจจธรรม ก็ทรงแสดงเรื่องของสัจจธรรม ส่วนตัวสัจจธรรมนั้นบุคคลนั้นเองต้องเห็นด้วยตนเอง และต้องเห็นด้วยปัญญาอันชอบ ไม่เช่นนั้นก็อาจจะเห็นผิดไป เช่นบุคคลเห็นทางรถไฟ อันยืดยาวไปไกล เห็นเรียวเล็กเมื่อเป็นเช่นนี้ตามที่หาเห็น รถไฟก็แล่นไปตามทางนั้นไม่ได้ ต้องอาศัยปัญญาพิจารณาประกอบกับตาที่เห็นด้วยกันไป จึงจะเห็นตามเป็นจริงเพราะฉะนั้นพระธรรมคุณ คุณของพระธรรมบทหนึ่งจึงได้ชื่อว่า สนฺทิฏฺญิโก อันผู้ศึกษาพึงเห็นเอง ด้วยประการฉะนี้ การเห็นสัจจธรรม นั้นก็ไม่ประกอบด้วยกาล ไม่ประกอบด้วยเวลา ใครทำเวลาไหนเท่าใดก็ได้ผลเท่านั้น ไม่มีกำหนดกาล ไม่มีกำหนดเวลา มีอาจารย์บางท่านแสดงไว้ว่า พระพุทธศาสนาเมื่อล่วงไปได้ ๑๐๐ ปีจะไม่มีพระอรหันต์ ล่วงไปอีก ๑๐๐ ปีจะไม่มีพระอนาคามี ล่วงไปอีก ๑๐๐ ปีจะไม่มีพระสกทาคามี ล่วงไปอีก ๑๐๐ ปีจะไม่มีพระโสดาบัน ในบัดนี้พระพุทธศาสนาล่วงมา ๒๕๕๐ กว่าปีแล้ว ก็เป็นอันไม่มีพระอริยะ ท่านที่แสดงเช่นนี้ค้านกับภาษิตที่แสดงพระธรรมคุณไว้ว่า อกาลิโก ไม่ประกอบด้วยกาล คือใครประพฤติเมื่อไรก็ได้ผลเมื่อนั้น ตามสมควรแก่การปฏิบัติ แม้พระพุทธภาษิต ตอนที่แสดงไว้ในเวลาจะปรินิพพาน ก็แสดงว่าเมื่ออริยมรรคมีองค์ ๘ ยังมีอยู่เพียงไรโลกก็จะไม่ว่างเปล่าจากพระอรหันต์ นี้ควรหมายความว่าอริยมรรคมีองค์ ๘ มีที่บุคคลผู้ใด ในเวลาใด ในเวลานั้นโลกก็ไม่ว่างเปล่าจากพระอรหันต์ อย่าว่าถึงพระพุทธศาสนาที่ยังมีอยู่เลย แม้สิ้นพระพุทธศาสนาแล้ว ท่านก็ยังแสดงว่า พระปัจเจกโพธิ ท่านผู้ตรัสรู้เองโดยชอบ และรู้เฉพาะตน ก็ยังปรากฏขึ้นได้ ด้วยเหตุนี้แหละ คนที่เข้าใจว่า ศาสนาล่วงมาเท่านั้น หมดพระอริยชนชั้นนั้น จนบัดนี้หมดพระอริยะ ดังนี้เป็นความเห็นที่ค้านพระพุทธศาสนาคือคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ว่าสัจจธรรมเป็น อกาลิโกไม่ประกอบด้วยกาลดังนี้ ( วชิร. ๔๓-๕๐ ). |
ถึง บล็อกเกอร์ ทุกท่าน โปรดอ่าน
ด้วยทาง บริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จำกัด (มหาชน) ได้ติดต่อขอความร่วมมือ มายังเว็บไซต์และเว็บบล็อกต่าง ๆ รวมไปถึงเว็บบล็อก OKnation
ห้ามให้มีการเผยแพร่ผลงานอันมีลิขสิทธิ์ ของบริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ฯ บนเว็บ blog โดยกำหนดขอบเขตของสิ่งที่ห้ามทำ และสามารถทำได้ ดังนี้
ห้ามทำ - การใส่ผลงานเพลงต้นฉบับให้ฟัง ทั้งแบบควบคุมเพลงได้ หรือซ่อนเป็นพื้นหลัง และทั้งที่อยู่ใน server ของคุณเอง หรือ copy code คนอื่นมาใช้ - การเผยแพร่ file ให้ download ทั้งที่อยู่ใน server ของคุณเอง หรือฝากไว้ server คนอื่น สามารถทำได้ - เผยแพร่เนื้อเพลง ต้องระบุชื่อเพลงและชื่อผู้ร้องให้ชัดเจน - การใส่เพลงที่ร้องไว้เอง ต้องระบุชื่อผู้ร้องต้นฉบับให้ชัดเจน จึงเรียนมาเพื่อโปรดปฎิบัติตาม มิเช่นนั้นทางบริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ฯ จะให้ฝ่ายดูแลลิขสิทธิ์ ดำเนินการเอาผิดกับท่านตามกฎหมายละเมิดลิขสิทธิ์
OKNATION
กฎกติกาการเขียนเรื่องและแสดงความคิดเห็น
1 การเขียน หรือแสดงความคิดเห็นใด ๆ ต้องไม่หมิ่นเหม่ หรือกระทบต่อสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ หรือกระทบต่อความมั่นคงของชาติ
2. ไม่ใช้ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่นในทางเสียหาย หรือสร้างความแตกแยกในสังคม กับทั้งไม่มีภาพ วิดีโอคลิป หรือถ้อยคำลามก อนาจาร 3. ความขัดแย้งส่วนตัวที่เกิดจากการเขียนเรื่อง แสดงความคิดเห็น หรือในกล่องรับส่งข้อความ (หลังไมค์) ต้องไม่นำมาโพสหรือขยายความต่อในบล็อก และการโพสเรื่องส่วนตัว และการแสดงความคิดเห็น ต้องใช้ภาษาที่สุภาพเท่านั้น 4. พิจารณาเนื้อหาที่จะโพสก่อนเผยแพร่ให้รอบคอบ ว่าจะไม่เป็นการละเมิดกฎหมายใดใด และปิดคอมเมนต์หากจำเป็นโดยเฉพาะเรื่องที่มีเนื้อหาพาดพิงสถาบัน 5.การนำเรื่อง ภาพ หรือคลิปวิดีโอ ที่มิใช่ของตนเองมาลงในบล็อก ควรอ้างอิงแหล่งที่มา และ หลีกเลี่ยงการเผยแพร่สิ่งที่ละเมิดลิขสิทธิ์ ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบหรือวิธีการใดก็ตาม 6. เนื้อหาและความคิดเห็นในบล็อก ไม่เกี่ยวข้องกับทีมงานผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซต์ โดยถือเป็นความรับผิดชอบทางกฎหมายเป็นการส่วนตัวของสมาชิก คลิ้กอ่านเงื่อนไขทั้งหมดที่นี่"
OKnation ขอสงวนสิทธิ์ในการปิดบล็อก ลบเนื้อหาและความคิดเห็น ที่ขัดต่อความดังกล่าวข้างต้น โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ต่อเจ้าของบล็อกและเจ้าของความคิดเห็นนั้นๆ
|
||
![]() ![]() |