*/
<< | กุมภาพันธ์ 2018 | >> | ||||
อา | จ | อ | พ | พฤ | ศ | ส |
1 | 2 | 3 | ||||
4 | 5 | 6 | 7 | 8 | 9 | 10 |
11 | 12 | 13 | 14 | 15 | 16 | 17 |
18 | 19 | 20 | 21 | 22 | 23 | 24 |
25 | 26 | 27 | 28 |
..อารมณ์แปรคนเปลี่ยนเวียนผ่านภพฯ ศัพท์ว่า มาร มาจาก มรฺ ธาตุ แปลว่า ตาย มารแปลว่าผู้ให้ตาย หมายความว่าผู้ฆ่า คนเราไม่สามารถทำทิฏฐธัมมิกัตถประโยชน์ก็เพราะมารจึงตั้งตัวไม่ได้ คนไม่สามารถปฏิบัติสัมปรายิกัตถประโยชน์ก็เพราะมาร จึงไม่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบต่อกัน
คนไม่ได้ปฏิบัติในปรมัตถประโยชน์ก็เพราะมารมารเป็นผู้คอยทำลายล้าง เป็นผู้ฆ่าคุณความดี ตามภูมิตามชั้น
มารนั้นท่านแจกเป็น ๕ คือ
ขันธ เรียกว่าขันธมาร ได้แก่กายอันนี้ที่แยกออกโดยอาการเป็นขันธ์ ๕เป็นมารอย่างไร ? คนมุ่งที่จะทำดีทำชอบและจะทำได้ก็ต้องอาศัยกายอันนี้กายอันนี้ถ้าเจ็บไข้ได้พยาธิอย่างใดอย่างหนึ่ง ก็ทำไม่ได้ เช่นคนเจ็บอยู่
จะทำกิจการอย่างใด ในทิฏฐธัมมิกัตถะ หรือสัมปรายิกัตถะ หรือ
ปรมัตถะ ก็ทำไม่ได้ หรือได้บ้างก็ไม่สะดวก เพราะฉะนั้น ขันธ์ ๕
อันรวมเข้าเป็นกายอันนี้ จึงเรียกว่ามาร อีกอย่างหนึ่งขันธ์ ๕เป็นที่ยึดถือของสัตว์ ที่ยังข้องอยู่ เมื่อสัตว์ยึดถือข้องอยู่ในขันธ์ ๕
ขันธ์ ๕ ก็เป็นมาร ทำลายล้างคุณงามความดีเรียกว่าขันธมาร
มารคือขันธ์ อย่าง ๑ อภิสังขาร ความคิดนึกอันประกอบกับอารมณ์ ท่านแยกเป็น ๓ คือ
อปุญญาภิสังขาร คิดนึกเรื่องที่ชั่วอันปรุงแต่งจิตให้ชั่วอย่างหนึ่ง
ปุญญาภิสังขาร คิดนึกเรื่องที่ดี อันปรุงแต่งจิตให้ดีอย่างหนึ่งอเนญชาภิสังขาร คิดนึกอยู่ในอารมณ์อันเดียวจนจิตแน่วแน่ไม่หวั่นไหวอีกอย่างหนึ่ง
อปุญญาภิสังขาร เป็นมารของปุญญาภิสังขาร ปุญญาภิสังขารก็เป็นมารของอเนญชาภิสังขาร อเนญชาภิสังขารก็เป็นมารของความตรัสรู้
เป็นมารกันเป็นชั้น ๆ รวมเข้าก็เรียกว่าอภิสังขารมาร
มาร คือ อภิสังขาร นี่อย่าง ๑.มัจจุ แปลว่า ความตาย ความตายมีแก่อะไร ? มีแก่ร่างกายอันนี้ที่แยกออกเป็นขันธ์ ๕
กายอันนี้ยังมีอยู่ ก็สามารถจะช่วยให้ทำกิจการงานได้ ถ้ากายอันนี้สลาย
แม้จะตั้งใจทำกิจการงานก็ไม่สำเร็จเพราะไม่มีกายที่เป็นเครื่องมือ มัจจุความตายของกายอันนี้จึงเป็นมาร เรียกว่ามัจจุมาร มารคือความตาย อย่าง ๑เทวปุตตมาร มารคือเทวบุตร แต่ก่อนท่านแสดงกันว่าได้แก่พระยามาร ที่มาผจญพระพุทธเจ้า ขี่ช้างนาฬาคีรี สูง๑๕๐ โยชน์ เท้าหน้ายันบัลลังก์ เท้าหลังยันขอบจักรวาล แต่เมื่อพิจารณาแล้วอาจสำเร็จสันนิษฐานว่า อารมณ์ คือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ นี่เอง
รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะที่เป็นสำคัญก็รวมลงที่คนหรือตลอดถึงสัตว์ด้วย รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ของคนตลอดจนถึงของสัตว์ ควรจัดเข้าว่าเป็นเทวปุตตมาร เพราะมีรูปร่างมีเสียงมีกลิ่นมีรสมีโผฏฐัพพะ
คนมุ่งจะทำดีทำชอบ แต่ถ้ามี รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ที่ชอบใจเข้ามาประสบ ก็ไปยินดี ใน รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ที่ชอบ เพราะฉะนั้น รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ที่ชอบที่เป็นที่ตั้งของราคะ จึงเป็นมาร ถ้ารูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ เป็นที่ตั้งของความยินร้าย คือโกรธแค้นขัดเคืองคนก็ไปโกรธแค้นขัดเคืองต่อ รูป เสียงกลิ่น รส โผฏฐัพพะ ที่รวมเข้าเป็นรูปเป็นร่างเป็นคนเป็นสัตว์ นี้ก็ป้องกันหรือทำลายความดี ถ้ารูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ เป็นที่ตั้งของความหลง
คนก็หลงต่อ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะเช่น หลงกลัวผี กลัวสัตว์ร้าย
กลัวอะไรต่าง ๆ ตลอดถึงกลัว แต่ เจ็บ ตาย นี้ก็ป้องกันหรือทำลายความดี
รวมความว่ารูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ที่เป็นที่ตั้งแห่งความยินดี
ก็ยั่วให้เกิดความยินดี ที่เป็นที่ตั้งแห่งความยินร้าย ก็ยั่วให้เกิดความยินร้าย
เป็นที่ตั้งแห่งความหลง ก็ยั่วให้เกิดความหลงงมงาย ไม่กล้าทำคุณความดีได้
จึงเป็นมาร เรียกว่า เทวปุตตมาร มารคือเทพบุตร อย่าง ๑อีกอย่างหนึ่งที่เป็นสำคัญก็คือกิเลสเครื่องเศร้าหมองใจ หรือเครื่องที่ทำใจให้เศร้าหมอง เคยแสดงกันมาแล้ว เมื่อกล่าวโดยย่อ กิเลสอย่างละเอียดอย่างกลางอย่างต่ำเป็นมารของกันและกันเป็นชั้น ๆกิเลสอย่างต่ำ เป็นมารของกิเลสอย่างกลางกิเลสอย่างกลาง เป็นมารของกิเลสอย่างสูงกิเลสอย่างสูง เป็นมารของการตรัสรู้ แต่ว่าโดยนัย ตามพระพุทธภาษิตที่แสดงถึงกิเลสมีอาการต่าง ๆ ท่านแยกเป็น ๔ คือ
กามะ ความใคร่ที่นอนเนื่องอยู่กับจิตเมื่อมีอารมณ์มาประสบ ก็ออกมาใคร่อารมณ์ นี่อย่างหนึ่งภวะ ความเป็นที่นอนเนื่องอยู่กับจิตเมื่อได้รู้ความเป็นอะไรต่าง ๆ ก็ออกมาเป็นนั่นเป็นนี่ อีกอย่างหนึ่งทิฏฐิ ความเห็นที่มีอยู่ในจิต มุ่งเอาความเห็นผิดอยู่ แต่ถ้ามีอารมณ์มาประสบความเห็นที่มีอยู่ก็ออกมาเห็นอารมณ์ แล้วก็เห็นผิดจากความจริงไป นี่อีกอย่างหนึ่ง. อวิชชา ตามศัพท์ แปลว่า ความไม่รู้จะพึงแยกออกได้เป็น ๒ คือ
อวิชชาเดิมได้แก่ความไม่รู้ คือไม่รู้อะไร ๆ ออกไปเหมือนดังคนอยู่ในห้องมืด ไม่รู้ว่าในห้องนั้นมีอะไร มืด ท่านจึงเรียกว่า ตโม หรือตมะ แปลว่า
มืด เมื่อมีอารมณ์มาประสบอวิชชานั้นออกไปรู้จักอารมณ์ อวิชชาก็มีอาการคือรู้ผิดจากความจริง ความจริงเป็นอย่างหนึ่ง แต่รู้ผิดจากความจริงไปเป็นอีกอย่างหนึ่ง นี่เป็นอวิชชามีอาการหรืออาการของอวิชชา เหมือนดังคนอยู่ในห้องมืด ไม่รู้ว่าในห้องมีอะไร เมื่อมีแสงสว่างเข้าไปในช่องหนึ่ง ก็เห็นสิ่งที่อยู่ในห้องนั้นช่องหนึ่ง ก็นึกว่ามีเท่านี้แหละ ครั้นมีแสงสว่างเข้าไปอีกช่องหนึ่ง ก็เห็นว่ามีเท่านี้แหละ ไม่เห็นตลอด เช่นเห็นเกิดแล้วก็ดีใจ เห็นตายก็เสียใจ สำหรับคนที่รักใคร่กัน แต่ถ้าคนที่เกลียดกัน เกิดขึ้นก็ไม่ชอบใจ
ตายไปก็ยินดีกาม ภพ ( ภวะ ) ทิฏฐิ อวิชชา ทั้ง ๔ นี้ที่นอนเนื่องครอบงำจิตอยู่ ยังไม่แสดงออกมาให้ปรากฏ ท่านเรียกว่า
อัณณวะ อัณณพ แปลว่า ทะเล เหมือนดังน้ำในทะเลที่นอนอยู่ไม่ไหลก็ท่วมปกปิดของที่อยู่ภายใต้ไว้ เรียกว่า โอฆะ บ้าง โอฆะแปลว่ากระแส หมายความว่า กระแสน้ำที่ไหลไปพัดพานท่วมทับสิ่งที่อยู่ในกระแสนั้น
กาม ภพ ทิฏฐิ อวิชชา ที่แสดงอาการออกไป ก็ท่วมทับไหลพัดพานใจสัตว์ จึงเรียกว่า โอฆะ กาม ภพ ทิฏฐิ อวิชชานี้ ที่มีอาการผูกใจสัตว์ไว้ให้ติดอยู่ในอารมณ์ต่าง ๆ หรือในภพ เรียกว่าโยคะ แปลว่า เครื่องประกอบร้อยรัดใจสัตว์ไว้ เรียกว่าคันถะ แต่ก็ ๔ อาการนี้แหละ
ถ้ามีอาการที่ท่วมทับให้จมอยู่ก็เปรียบด้วยทะเล เรียกว่าอัณณพ ที่ไหลพัดพานท่วมทับใจเรียกว่า โอฆะ ที่ผูกใจไว้ เรียกว่า โยคะ ที่ร้อยรัดใจไว้ก็เรียกว่า คันถะ สังโยชน์ก็ศัพท์เดียวกับโยคะแปลว่าประกอบพร้อม
แม้พระอริยบุคคลชั้นต้นก็ละได้เพียงสังโยชน์บางอย่าง ต่อขั้นสูงสุดจึงละสังโยชน์ได้หมด เหล่านี้แหละเป็นกิเลส เป็นมารทำลายล้างคุณความดีที่ไม่ให้คนทำถูกต้องตามคลองธรรม จึงเรียกว่า กิเลสมาร มาร
คือ กิเลส เมื่อคนอยู่ในอำนาจของมาร มารทำลายล้างความดี ใช้ไปให้ทำชั่วต่าง ๆ
คนหรือสัตว์ก็ทำตามอำนาจมาร นี่แหละมันจึงเกิดยุ่งกันขึ้น คนตั้งตัวไม่ได้ก็เพราะมาร อยู่ด้วยกันไม่เป็นสุขก็เพราะมาร ไม่รู้ตามเป็นจริงก็เพราะมาร
แม้เราจะยังละมารกำจัดมารไม่ได้ แต่ก็ควรจะรู้จักหน้าตาของมารไว้ เมื่อมารอะไรเกิดขึ้นครอบงำใจ ก็มีสติระลึกได้และรู้ตัว ท่านแสดงว่าพระพุทธเจ้าชนะมารก็ด้วยผจญมาร ผจญก็ต่อสู้มาร
ต่อสู้มารด้วยอะไร ?
ด้วยบารมี คือ ทานบารมี สีลบารมี เนกขัมมบารมี ปัญญาบารมี นี่เป็นข้อปฏิบัติโดยตรง วิริยะ ขันติ สัจจะ อธิษฐาน เมตตา อุเบกขา เป็นอุปการะช่วยอุดหนุน ชนะมารชั้นต้นก็เป็นด้วยบารมีสามัญ
ชนะมารชั้นกลางก็ด้วยอุปบารมี บารมีที่จวนใกล้
ชนะมารสูงสุดก็ด้วยปรมัตถบารมี จึงได้เป็นพระพุทธเจ้าเพราะฉะนั้น พระพุทธเจ้าชนะขันธ์เพราะท่านไม่ยึดถือขันธ์ ไม่อยู่ในอำนาจของขันธ์ ชนะอภิสังขารเพราะท่านไม่อยู่ในอำนาจของความนึกคิด ชนะมัจจุมารคือความตาย เพราะท่านอยู่เหนือความตาย ความตายไม่เข้ามาเกี่ยวข้องกับท่านชนะเทวปุตตมาร คือ ชนะ รูป เสียง กลิ่น รส
โผฏฐัพพะ ชนะกิเลสมาร มารคือกิเลส เพราะฉะนั้น จึงได้ชื่อว่ามารชิโนผู้ชนะมาร หรือ ชิตมาโร มีมารอันพระองค์ชนะแล้ว เรายังตกอยู่ในอำนาจหรือวิสัยของมารเพราะบำเพ็ญบารมียังไม่เต็มที่
แต่ถึงเช่นนี้ เมื่อระลึกถึงคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าแล้ว ก็ควรจะนำคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าเข้ามาบำเพ็ญให้เป็นบารมีไป ชั้นต้นก็ปฏิบัติทิฏฐธัมมิกัตถะ ชั้นที่ ๒ ก็ปฏิบัติสัมปรายิกัตถะ ส่วนปรมัตถะแม้จะยังไม่เห็นทาง หรือเห็นว่าไม่สามารถจะปฏิบัติได้ ก็พึงรู้ไว้ตามเรื่องตามราว
และก็ควรปฏิบัติในข้อที่พอสามารถปฏิบัติได้ถึงยังจะไม่ได้บรรลุปรมัตถะในชาตินี้ ก็จักเป็นบุญกุศลให้ผลดีทั้งในชาตินี้และต่อไปกว่าจะถึงที่สุด
เพราะคนเราเกิดมาแล้วก็ต้องแก่ต้องเจ็บต้องตาย เมื่อไม่มีที่ยึดเหนี่ยวของใจ ใจก็ว้าเหว่ ถ้ามีที่ยึดเหนี่ยวของใจแล้ว ใจก็อุ่นหนาฝาคั่งตายไปด้วยใจที่อุ่นหนาฝาคั่งก็เป็นสุข ตายด้วยใจที่ว้าเหว่ก็เปล่าเปลี่ยวไม่เป็นสุข( โอ. ๑/๒๑๓-๒๑๙ ).อีกนัยหนึ่ง มาร คือ ผู้ทำลายล้างความดี ได้แก่โลภะ คือความอยากได้หรือราคะ คือความยินดี ติดอยู่ในอารมณ์ที่ชอบ ๑
โทสะ ความประทุษร้ายใจเพราะโกรธในอารมณ์ที่ไม่ชอบ ๑
โมหะ ความหลงเพราะไม่พิจารณาดูให้รู้อารมณ์ตามเป็นจริง ๑
เกิดขึ้นที่จิต ทำจิตให้กระวนกระวาย จนถึงให้ทำชั่วทางกายบ้าง ทางวาจาบ้าง เพราะความจงใจ โลภะ หรือ ราคะ โทสะ โมหะ จึงเป็นอกุศลมูล ที่ตั้งแห่งอกุศลด้วย
เป็นอกุศลด้วย และเป็นมารผู้ทำลายล้างความดี.
( วชิร. ๒๑๕ ). |
ถึง บล็อกเกอร์ ทุกท่าน โปรดอ่าน
ด้วยทาง บริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จำกัด (มหาชน) ได้ติดต่อขอความร่วมมือ มายังเว็บไซต์และเว็บบล็อกต่าง ๆ รวมไปถึงเว็บบล็อก OKnation
ห้ามให้มีการเผยแพร่ผลงานอันมีลิขสิทธิ์ ของบริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ฯ บนเว็บ blog โดยกำหนดขอบเขตของสิ่งที่ห้ามทำ และสามารถทำได้ ดังนี้
ห้ามทำ - การใส่ผลงานเพลงต้นฉบับให้ฟัง ทั้งแบบควบคุมเพลงได้ หรือซ่อนเป็นพื้นหลัง และทั้งที่อยู่ใน server ของคุณเอง หรือ copy code คนอื่นมาใช้ - การเผยแพร่ file ให้ download ทั้งที่อยู่ใน server ของคุณเอง หรือฝากไว้ server คนอื่น สามารถทำได้ - เผยแพร่เนื้อเพลง ต้องระบุชื่อเพลงและชื่อผู้ร้องให้ชัดเจน - การใส่เพลงที่ร้องไว้เอง ต้องระบุชื่อผู้ร้องต้นฉบับให้ชัดเจน จึงเรียนมาเพื่อโปรดปฎิบัติตาม มิเช่นนั้นทางบริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ฯ จะให้ฝ่ายดูแลลิขสิทธิ์ ดำเนินการเอาผิดกับท่านตามกฎหมายละเมิดลิขสิทธิ์
OKNATION
กฎกติกาการเขียนเรื่องและแสดงความคิดเห็น
1 การเขียน หรือแสดงความคิดเห็นใด ๆ ต้องไม่หมิ่นเหม่ หรือกระทบต่อสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ หรือกระทบต่อความมั่นคงของชาติ
2. ไม่ใช้ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่นในทางเสียหาย หรือสร้างความแตกแยกในสังคม กับทั้งไม่มีภาพ วิดีโอคลิป หรือถ้อยคำลามก อนาจาร 3. ความขัดแย้งส่วนตัวที่เกิดจากการเขียนเรื่อง แสดงความคิดเห็น หรือในกล่องรับส่งข้อความ (หลังไมค์) ต้องไม่นำมาโพสหรือขยายความต่อในบล็อก และการโพสเรื่องส่วนตัว และการแสดงความคิดเห็น ต้องใช้ภาษาที่สุภาพเท่านั้น 4. พิจารณาเนื้อหาที่จะโพสก่อนเผยแพร่ให้รอบคอบ ว่าจะไม่เป็นการละเมิดกฎหมายใดใด และปิดคอมเมนต์หากจำเป็นโดยเฉพาะเรื่องที่มีเนื้อหาพาดพิงสถาบัน 5.การนำเรื่อง ภาพ หรือคลิปวิดีโอ ที่มิใช่ของตนเองมาลงในบล็อก ควรอ้างอิงแหล่งที่มา และ หลีกเลี่ยงการเผยแพร่สิ่งที่ละเมิดลิขสิทธิ์ ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบหรือวิธีการใดก็ตาม 6. เนื้อหาและความคิดเห็นในบล็อก ไม่เกี่ยวข้องกับทีมงานผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซต์ โดยถือเป็นความรับผิดชอบทางกฎหมายเป็นการส่วนตัวของสมาชิก คลิ้กอ่านเงื่อนไขทั้งหมดที่นี่"
OKnation ขอสงวนสิทธิ์ในการปิดบล็อก ลบเนื้อหาและความคิดเห็น ที่ขัดต่อความดังกล่าวข้างต้น โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ต่อเจ้าของบล็อกและเจ้าของความคิดเห็นนั้นๆ
|
||
![]() ![]() |