หนึ่งเดือนที่แล้วก่อนถึงวันแม่.. "ลูกจะกลับมาหาแม่รึเปล่า แม่ไม่อยากให้เดินทางเร่ร่อน แม่อยากให้ลูกหางานทำเป็นหลักเป็นแหล่งมีรายได้ประจำ อย่าลืมนะว่าลูกยังมีหนี้กองทุนกู้ยืมเพื่อการศึกษาอยู่ แม่รู้ว่าหลังจากพ่อตายแล้ว ลูกก็อยากใช้ชีวิตอิสระ หนูหาเงินและรับภาระทางบ้านมามากแล้ว แต่ยังไงแม่อยากให้หมดหนี้ก้อนนี้เสียก่อน แล้วลูกจะไปไหน อยากทำอะไรแม่จะไม่ว่า.. นะลูกนะ ตอนนี้ป้ากับน้าหางานไว้ให้แล้ว ทำงานที่เดียวกับแม่ เค้าใส่ชื่อลูกไปแล้ว ตอนนี้รอโครงการอนุมัติเดือนตุลา ทำงานสักปีสองปีหนี้ก็หมดแล้ว หนังสือที่ลูกจะเขียน มันจะได้ซักเท่าไหร่กัน มันไม่มั่นคงหรอกลูก แม่ขอร้องละพ่อคุณ" นี่คือคำพูดของผู้หญิงคนเดียวในชีวิตที่ผมรักและห่วงมากที่สุด.. คือคำวอนขอที่มาตามสัญญาณโทรศัพท์ถึงลูกชายคนโตคนเดียวที่เป็นความหวังของครอบครัว ซึ่งเหลือกันอยู่สามคนคือผม แม่ และน้องชายซึ่งตอนนี้ต้องอยู่ในสภาพคนพิการทางสมอง ทั้งที่พูดคุยรู้เรื่อง แต่ก็ได้แต่นั่งเบลอเหม่อลอยทั้งวันด้วยผลจากการดมกาวและสารระเหยในตอนวัยรุ่น ส่วนพ่อนั้นพึ่งจะเสียชีวิตไปเมื่อปีที่แล้ว ทิ้งเงินก้อนหนึ่งไว้ให้ครอบครัว ผมให้แม่เก็บไว้เป็นค่ารักษาพยาบาลเมื่อยามเจ็บป่วย ครอบครับเราย้ายบ้านกันกว่าสิบสองครั้ง และไม่เคยถ่ายรูปพร้อมหน้ากันทั้งครอบครัวพ่อแม่ลูก การเรียนและการงานนั้นพลัดพรากเราจากครอบครัวและญาติพี่น้องอยู่เสมอ ไม่ต้องถามว่าผมรักแม่และน้องแค่ไหน.. เพราะนี่คือสิ่งสุดท้ายในความหมายแห่งครอบครัวที่ผมเหลืออยู่.. นั่นหมายถึงว่าคำขอครั้งนี้ของแม่ ลูกไม่มีทางปฏิเสธได้เลยครับ.. ....................................... หากมองในมาตรฐานของสังคมโดยทั่วไปแล้ว.. ผม คือบุคคลที่ล้มเหลวในชีวิตแทบทุกด้าน การศึกษาต่ำไม่จบปริญญา ไม่มีงานประจำ ไม่มีรายได้หลัก ไร้รักคู่ครอง ญาติพี่น้องดูถูกและไม่เข้าใจ อีกทั้งไร้ที่อยู่และหลักลอย.. แต่ความล้มเหลวเหล่านี้ไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกต่ำต้อยและโทษตัวเองหรือสังคมแต่อย่างใด หากจะเป็นความล้มเหลวก็เป็นความล้มเหลวที่ผมได้เลือกแล้วอย่างประสบผลสำเร็จ.. หากความร่ำรวยมั่งคั่งต้องแลกมาด้วยการแก่งแย่งและแข่งขัน.. ความจนคงทำให้ผมสบายใจกว่า หากสติปัญญาวัดกันที่ปริญญาและสถาบัน.. การยอมเป็นคนไร้การศึกษาคงเป็นวิธีที่ฉลาดที่สุดสำหรับผม หากความรักเรรวนด้วยเงินตรา และรูปลักษณ์กายาภายนอก.. คนไร้หัวใจและเย็นชาคือสิ่งที่ผมอยากเป็น ใช่ว่าขวางโลกหรือประชดชีวิต หากแต่ด้วยความเข้าใจ และประนีประนอมอย่างที่สุด เพียงเพื่อจะมีที่ทางพอให้สามารถยืนอยู่ได้บนโลกอันหมุนวนและหมุนไวใบนี้.. ก็เพียงเท่านั้น ด้วยความเป็นคนหยิ่งทนงในตัวตนและความคิดเช่นนี้ หลายครั้งที่ผมทำให้หลายคนผิดหวังและเจ็บปวด ด้วยตีค่าและพิพากษาสังคมและผู้อื่นด้วยมาตรฐานของตัวเอง.. แม้มันจะเป็นสิ่งที่ถูกต้อง "ในความคิดของเรา" ก็ตาม ในครั้งนี้ก็เช่นเดียวกัน ทั้งแม่และญาติพี่น้องคล้ายจะบังคับผมในนามของความหวังดีและห่วงใย หากเป็นเมื่อก่อนผมคงดึงดันและรั้นหัวชนฝา แต่ครั้งนี้ไม่ใช่เสียแล้ว.. การเดินทางมันได้เปิดโลกทัศน์และมุมมองชีวิตใหม่ให้แก่ผม.. ..ผมไม่ควรมีสิ่งใดที่ยึดติดหากต้องการให้ชีวิตนั้นแสดงตน.. ชีวิตกำลังบอกผมว่า.. แม้แต่คำว่า "อิสระภาพ" ที่ผมยึดติดนั้นบางทีมันอาจกำลังขังผมอยู่ก็ได้ ............................. นับจากวันที่ผมเริ่มต้นเดินทางจนกระทั่งถึงวันนี้ ก็เป็นเวลากว่าสี่เดือนแล้ว ได้พานพบเรื่องราวอันน่าประทับใจมากมาย ซึ่งเปี่ยมไปด้วยมิตรภาพ และความทรงจำที่ดี อย่างที่ยากที่จะได้พบเจออีกในชีวิตนี้ แต่ถึงกระนั้นก็ตาม แม้ผมจะโชคดีและได้พานพบผู้คนที่มากด้วยน้ำใจไมตรี มีที่พักและอาหารไว้คอนเจือจานแบ่งปันในตลอดเส้นทาง แต่ในความเป็นจริงแล้วผมก็ไม่สามารถใช้ชีวิตเช่นนี้ตลอดไปได้ ชีวิตกำลังบอกกับผมว่าถึงเวลาแล้วที่จะต้องยกระดับการเดินทางขึ้นไปอีกขั้นหนึ่ง ต้องสร้างคุณค่าและความหมายออกมาให้เป็นรูปธรรมจับต้องได้ ผมต้องมีผลงาน เพราะความเป็นจริงอย่างหนึ่งก็คือว่าไม่ว่าอย่างไรในยุคนี้ "เงิน"ก็เป็นสิ่งที่มีความจำเป็นสำหรับชีวิต แม้มันจะเป็นสิ่งสุดท้ายผมให้ความสำคัญก็ตามที.. เหตุที่ขาดไม่ได้นั่นก็เป็นเพราะว่า ผมมีพันธกิจที่จะต้องทำให้"เงิน" และ"ความฝัน"ไปด้วยกันให้ได้ครับ.. นี่คือความหมายของคำว่า "ดุลยภาพแห่งชีวิต" เราไม่ต้องทิ้งหรือปฏิเสธอะไรในชีวิต เพียงแค่ปรับเข้าหรือลดออกให้เหมาะสมและสมดุลย์ ..ผมต้องทำให้ความฝันนั้นกลายเป็นเงิน และทำเงินนั้นให้กลายเป็นความฝัน.. ความฝันก็คือ ได้ทำงานที่ผมรักและถนัด และมีรายได้เลี้ยงตัวเองจากผลงานนั้น.. ทั้งเขียนหนังสือ, วาดรูป, และทำเพลง แม้จะต้องทำเองขายเอง หรือจะต้องใช้เวลานานเท่าไหร่ก็ตาม.. เพราะมันกลายเป็นพันธกิจแห่งชีวิตไปแล้ว.. คือสภาวะ "เอกภาพแห่งตัวตน" ที่ปารถนาและแสวงหามาอย่างยาวนาน.. แต่ก็ต้องย้ำกับตัวเองนะครับว่าอย่ายึดติดจนเกินไป เพราะผมมีแนวโน้มที่จะสุดขั่วไม่ด้านใดก็ด้านหนึ่งเสมอ นั้นหมายความว่าหากผมจำเป็นต้องกลับไปทำงานประจำจริงๆ ก็ขอให้มันเป็นไปตามเหตุปัจจัยและเงื่อนไขแห่งชีวิตที่แสดงตนต่อผมจริงๆ.. ซึ่งบางทีมันอาจจะทำให้ผมบรรลุพันธกิจได้ง่ายขึ้นก็ได้ หากหมดหนี้หมดสิน และเป็นอิสระ แม้จะต้องช้าไปหนึ่งปีก็ตาม.. เมื่อชีวิตไม่ได้คาดคั้นและกดดันกับผม ผมก็ไม่ควรคาดคั้น และกดดันตัวเองเช่นกัน.. .................................. ผมขอสรุปการเปลี่นรูปแบบการเดินทางเป็นข้อๆดีกว่าครับ ก่อนที่ผมจะสับสนและงงกับตัวเองไปมากกว่านี้.. 1. จากเคยเดินทางโดยเน้นเป้าหมายไปหาบุคคล หรือสถานที่ เปลี่ยนไปเน้นที่การค้นหาความหมายและคุณค่าภายใน โดยไม่ได้ปล่อยให้ชีวิตจัดสรรแต่เพียงฝ่ายเดียว ผมต้องตั้งเป้าหมาย ประเด็น และวัตถุประสงค์ด้วย เหตุผลก็คือว่าผมอิ่มตัวกับการเดินทางไปหาบุคคล และสถานที่ต่างๆ ซึ่งท้ายสุดมีแก่นแท้เนื้อในไม่ต่างกัน แต่ใช่ว่าจะไม่มีคุณค่า เพียงแต่ว่าความสนใจใคร่รู้นั้นลดน้อยลงไปครับ.. และอยากจะค้นลึกลงไปในเขตแดนอนาจักรภายในที่ยังคับแคบและตีบตันอยู่ให้เปิดกว้างและลึกซึ้งยิ่งขึ้น ซึ่งท้าทายต่อโลกทัศน์และกระบวนคิดอย่างยิ่ง.. เป็นอย่างไรรอติดตามครับ 2. จากเคยพักอยู่ที่ใดที่หนึ่งหลายวัน เป็นอาทิตย์เป็นเดือน เปลี่ยนมาเป็นอยู่ไม่เกินสามวัน หรือดีที่สุดพักค้างคืนแล้วรุ่งเช้าเดินทางต่อ เหตุผลก็คือผมไม่สามารถอยู่กับตัวเองได้ กลับถูกผูกติดไว้ด้วยมิตรภาพ และความเกรงใจ หากผมเป็นนักเดินทางท่องเที่ยวคงมีความสุขกว่านี้ แต่หากเป็นนักเดินทางแสวงหาซึ่งต้องการภาวะสันโดษย่อมไม่เหมาะนัก นานเข้าจึงพบว่าตัวเองนั้นเฉื่อยชาและเสพติดความสบาย ทั้งอาหารการกินและที่พักจนเสียนิสัยและเคยตัว.. และปล่อยตัวอ้วนฉุ ไม่โทษใครได้แต่โทษตัวเองครับ 3. จากเคยตั้งใจว่าจะไปให้ทั่วทุกจังหวัดในภาคอีสาน ต้องเปลี่ยนมาเป็นเดินทางเลาะตะเข็บจังหวัดชายแดนอีสานเรียบริมฝั่งโขงไปจนถึง จ.เลยแล้ววกกลับเข้าสู่ จ.เพชรบูรณ์บ้านเกิด หากผมต้องกลับไปทำงานที่บ้านในอีกสองเดือนข้างหน้า ผมจำเป็นต้องทำให้การเดินทางครั้งนี้คุ้มค่ากับเวลามากที่สุด ผมจึงเลือกเดินทางเลาะตะเข็บชายแดน ซึ่งผมสามารถสัมผัสวิถีอันผสมผสานจากสองฝั่งประเทศได้มากกว่าในตัวเมืองส่วนกลาง บวกกับระยะทาง 1,500 กิโลเมตรจากการคำนวนคร่าวๆ ภายในระยะเวลาสองเดือนจึงพอดีไม่มากไม่น้อยเกินไป 4. จำเป็นจะต้องใช้เวลากับบล็อกและอินเตอร์เน็ทให้น้อยลง ไม่เร่งรัด หมกมุ่นเกินไป จนเวลาในชีวิตเสียศูนย์ อัพบล็อกเมื่อพร้อม ข้อนี้ผมคงไม่ต้องอธิบายมากเชื่อว่าหลายท่านคงจะทราบดีอยู่แล้ว หากเราไม่ทันระวังตัว เราจะเป็นจริงเป็นจังต่อทุกคอมเม้นต์ ไม่ว่าจะคำติคำชม ล้วนมีผลต่ออารมณ์ความรู้สึกของเราทั้งทางตรงและทางอ้อม อย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง และกลายเป็นติดบล็อกไปโดยไม่รู้ตัว ข้อนี้ผมพึ่งมารู้สึกในช่วงหลังๆ ทั้งจากตัวเองและคนรอบข้างที่สังเกตได้อย่างชัดเจน ............................. หาก "เอกภาพแห่งตัวตน" คือการบ่มเพาะตัวตนภายในให้สมบูรณ์ โดยตัดการแทรกแซงจากภายนอกให้มากที่สุด คล้ายดังดักแด้ ที่ต้องการเวลาและพื้นที่อันสันโดษเพื่อบ่มเพาะ.. "ดุลยภาพแห่งชีวิต" ก็คือสภาวะที่อนุญาตให้มีการแทรกแซงจากภายนอกได้โดยค่อยปรับสมดุลจนสามารถดำรงอยู่ได้ทั้งในระดับปัจเจก และส่วนรวม เปรียบไปคล้ายดังผีเสื้อ ที่การดำรงอยู่ของมันครบถ้วนทั้งในวงจรชีวิตและระบบนิเวศ จาก "เอกภาพแห่งตัวตน" สู่ "ดุลยภาพแห่งชีวิต" จึงเป็นการคลี่คลายกรอบจำกัดบางอย่างของชีวิตที่ยึดติด ให้ปล่อยวาง สู่การเดินทางไปยังดินแดนใหม่อันลึกล้ำและกว้างไกล..ไร้พันธนาการ ...ขอจงโบยบิน สู่อิสระภาพอันแท้จริง... แล้วพบกันครับ.
|
ถึง บล็อกเกอร์ ทุกท่าน โปรดอ่าน
ด้วยทาง บริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จำกัด (มหาชน) ได้ติดต่อขอความร่วมมือ มายังเว็บไซต์และเว็บบล็อกต่าง ๆ รวมไปถึงเว็บบล็อก OKnation
ห้ามให้มีการเผยแพร่ผลงานอันมีลิขสิทธิ์ ของบริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ฯ บนเว็บ blog โดยกำหนดขอบเขตของสิ่งที่ห้ามทำ และสามารถทำได้ ดังนี้
ห้ามทำ - การใส่ผลงานเพลงต้นฉบับให้ฟัง ทั้งแบบควบคุมเพลงได้ หรือซ่อนเป็นพื้นหลัง และทั้งที่อยู่ใน server ของคุณเอง หรือ copy code คนอื่นมาใช้ - การเผยแพร่ file ให้ download ทั้งที่อยู่ใน server ของคุณเอง หรือฝากไว้ server คนอื่น สามารถทำได้ - เผยแพร่เนื้อเพลง ต้องระบุชื่อเพลงและชื่อผู้ร้องให้ชัดเจน - การใส่เพลงที่ร้องไว้เอง ต้องระบุชื่อผู้ร้องต้นฉบับให้ชัดเจน จึงเรียนมาเพื่อโปรดปฎิบัติตาม มิเช่นนั้นทางบริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ฯ จะให้ฝ่ายดูแลลิขสิทธิ์ ดำเนินการเอาผิดกับท่านตามกฎหมายละเมิดลิขสิทธิ์
OKNATION
กฎกติกาการเขียนเรื่องและแสดงความคิดเห็น
1 การเขียน หรือแสดงความคิดเห็นใด ๆ ต้องไม่หมิ่นเหม่ หรือกระทบต่อสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ หรือกระทบต่อความมั่นคงของชาติ
2. ไม่ใช้ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่นในทางเสียหาย หรือสร้างความแตกแยกในสังคม กับทั้งไม่มีภาพ วิดีโอคลิป หรือถ้อยคำลามก อนาจาร 3. ความขัดแย้งส่วนตัวที่เกิดจากการเขียนเรื่อง แสดงความคิดเห็น หรือในกล่องรับส่งข้อความ (หลังไมค์) ต้องไม่นำมาโพสหรือขยายความต่อในบล็อก และการโพสเรื่องส่วนตัว และการแสดงความคิดเห็น ต้องใช้ภาษาที่สุภาพเท่านั้น 4. พิจารณาเนื้อหาที่จะโพสก่อนเผยแพร่ให้รอบคอบ ว่าจะไม่เป็นการละเมิดกฎหมายใดใด และปิดคอมเมนต์หากจำเป็นโดยเฉพาะเรื่องที่มีเนื้อหาพาดพิงสถาบัน 5.การนำเรื่อง ภาพ หรือคลิปวิดีโอ ที่มิใช่ของตนเองมาลงในบล็อก ควรอ้างอิงแหล่งที่มา และ หลีกเลี่ยงการเผยแพร่สิ่งที่ละเมิดลิขสิทธิ์ ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบหรือวิธีการใดก็ตาม 6. เนื้อหาและความคิดเห็นในบล็อก ไม่เกี่ยวข้องกับทีมงานผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซต์ โดยถือเป็นความรับผิดชอบทางกฎหมายเป็นการส่วนตัวของสมาชิก คลิ้กอ่านเงื่อนไขทั้งหมดที่นี่"
OKnation ขอสงวนสิทธิ์ในการปิดบล็อก ลบเนื้อหาและความคิดเห็น ที่ขัดต่อความดังกล่าวข้างต้น โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ต่อเจ้าของบล็อกและเจ้าของความคิดเห็นนั้นๆ
|
||
![]() ![]() |
การเดินทางสู่เอกภาพแห่งตัวตน | ||
![]() |
||
เดินทาง บันทึก ตกผลึก และแบ่งปัน |
||
View All ![]() |
<< | สิงหาคม 2009 | >> | ||||
อา | จ | อ | พ | พฤ | ศ | ส |
1 | ||||||
2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8 |
9 | 10 | 11 | 12 | 13 | 14 | 15 |
16 | 17 | 18 | 19 | 20 | 21 | 22 |
23 | 24 | 25 | 26 | 27 | 28 | 29 |
30 | 31 |