ประกาศด่วน! ยุติป่วนใต้ เรื่องตลกที่ไม่ขำจากความไม่มั่นคง

ที่มา  หน้าวิเคราะห์  โพสต์ทูเดย์  18 ก.ค.51

          เทปบันทึกภาพแกนนำ “กลุ่มใต้ดินรวมภาคใต้ของประเทศไทย” ที่ประกาศหยุดยิง ไม่มีใครบอกรายละเอียดได้ว่าแกนนำเป็นใคร ชื่ออะไร

          ที่น่าฉงนมากที่สุดคือ แม้แต่ พล.อ.เชษฐา ฐานะจาโร อดีตผู้บัญชาการทหารบก ซึ่งเป็นผู้ประสานนำเทปบันทึกภาพดังกล่าวมาเผยแพร่ ก็ยังพูดไม่เต็มปากว่านี่คือผู้อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ความไม่สงบตัวจริง

          คำถามคือ หากไม่เชื่อมั่นว่าเป็นแกนนำผู้ก่อเหตุตัวจริง แล้วนำมาเผยแพร่เพื่ออะไร!!!

          สิ่งที่เกิดขึ้นในการเผยแพร่คำประกาศหยุดยิงครั้งนี้ สะท้อนให้เห็นชัดว่า นี่คือปัญหาความไร้เอกภาพระหว่างผู้ดำเนินการกระบวนการเสวนากับหน่วยปฏิบัติในพื้นที่ ซึ่งตั้งอยู่บนฐานของภาวะขาดความรู้ ไม่มีความเข้าใจ

          หากกระบวนการสืบสวน จับกุม ควบคุมตัวผู้ก่อความไม่สงบ และ ผู้ต้องสงสัยนับพันคนในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา ได้ความตรงกันว่า เหตุผลแรงจูงใจในการก่อเหตุคือ การปลุกระดมฝังแนวคิดปฏิวัติ สร้างสังคม อิสลามภายใต้การปกครองแบบรัฐอิสระ โดยการทำสงครามในหลักการจีฮัด ซึ่งเป็นการพร้อมยอมพลีทุกสิ่งทุกอย่างแม้กระทั่งชีวิตเพื่อพระผู้เป็นเจ้า ไม่ว่าจะเผชิญกับการปราบปรามกดดันจากภาครัฐอย่างหนักหน่วงเพียงใดก็ตาม แล้วเพียงคำพูดของคน 2 คนที่ประกาศยุติการต่อสู้แบบฉับพลันโดยไร้เหตุผลรองรับเพียงพอ จะทำให้สถานการณ์รุนแรงยุติลงได้จริงหรือ

          ประเด็นไม่ได้อยู่ที่ว่า ผู้ที่ประกาศตัวเป็นแกนนำคือ ยูแว หรือนักต่อสู้หรือไม่ แต่ประเด็นอยู่ที่ว่า ใช่แกนนำในขบวนการที่กำลังก่อเหตุอยู่ในขณะนี้หรือไม่

          เมื่อไม่นานมานี้ ศูนย์เฝ้าระวังสถานการณ์ภาคใต้ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ เผยแพร่บทสัมภาษณ์อดีตแกนนำขบวนการใต้ดินในประเทศมาเลเซีย ในวารสาร Deep South Bookazine ว่า

          “การต่อสู้ในสมัยก่อนต้องหาเงินกันอย่างยากลำบาก จะซื้อปืน ซื้อกระสุนต้องเรี่ยไรกับพรรคพวก ก่อเหตุได้ครั้งหนึ่งก็ต้องหยุดไปนานเพื่อหลบหนี แต่ขบวนการในปัจจุบันสร้างความรุนแรงได้ทุกวัน และไม่ต้องการการสนับสนุนอะไรทั้งนั้น”

          บทสัมภาษณ์นี้ยืนยันถึงบทบาทของขบวนการรุ่นใหม่ที่ปฏิเสธขบวนการรุ่นเก่า และมีข้อมูลจากผู้ใกล้ชิดขบวนการใต้ดินในพื้นที่ภาคใต้ ระบุว่า ผู้ที่อ้างตัวเป็นแกนนำขบวนการใต้ดินฯ ที่ออกมาประกาศการหยุดยิง คือ นายมะรีเป็ง คาน หรือ มะรีเซ็ง คาน อดีตสมาชิกขบวนการพูโลเก่า

          หากข้อมูลนี้ถูกต้อง ก็พอจะกล่าวได้ว่า เป็นเพียงการพยายามสร้างชื่อ สร้างภาพของขบวนการรุ่นเก่าซึ่งหมดบทบาทไปแล้วกว่า 20 ปี หรืออาจเป็นผลงานของนักกิจกรรมด้านความมั่นคงบางกลุ่ม ที่ขุดซากอดีตขึ้นมาเพื่อสร้างผลงาน

          ข้อมูลของศูนย์เฝ้าระวังสถานการณ์ภาคใต้ ที่เผยแพร่คำสัมภาษณ์นายกัสตูรี มะกอตอ หัวหน้าฝ่ายต่างประเทศของพูโล ว่า “กระบวนการเจรจาเริ่มมาตั้งแต่ปี 2548 แต่ไม่มีความคืบหน้า เพราะฝ่ายไทยเองก็มีความแตกแยกของหน่วยงานที่เข้ามาประสาน”

          ก่อนหน้านี้ช่วงปลายปี 2549 นายมหาเธร์ โมฮัมหมัด อดีตนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย เคยเป็นตัวกลางประสานการพบปะระหว่างตัวแทนไทยกับแกนนำในมาเลเซีย การพบปะครั้งนั้นมีการลงนามรับรองแนวทางการสร้างสันติสุขและความยุติธรรมที่ตัวแทนไทยจัดทำไปเสนอ แต่หลังจากนั้นก็ไม่ปรากฏความคืบหน้าใดๆ และยังคงเกิดความรุนแรงในระดับเดิม รวมทั้งเกิดกระบวนการต่อสู้ทาง การเมือง

          ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นสะท้อนให้เห็นชัดว่า ภายใต้การก่อเหตุของขบวนการรุ่นใหม่ ไม่ยอมรับแนวทางอื่นๆ จนกว่าจะได้ชัยชนะ ซึ่งปรากฏให้เห็นจากใบปลิวแพร่กระจายในพื้นที่ ซึ่งสรุปไว้ว่า 1 ต้อง 6 ไม่ และ 3 ผล

          1 ต้อง คือ ใช้จีฮัดเป็นเครื่องมือปลดปล่อยปัตตานี

          6 ไม่ คือ ไม่ประนีประนอม ไม่เจรจา ไม่หนี ไม่มอบตัว ไม่เอาเขตปกครองพิเศษ และไม่เอาระบบรัฐสภา (ต้องการใช้กฎหมายอิสลาม)

          ส่วน 3 ผล คือ การต่อสู้จะปรากฏผล 3 ประการ คือ ได้รับชัยชนะ พ่ายแพ้ ซึ่งจะต้องสืบทอดอุดมการณ์และภารกิจต่อไป

          หากได้รับรู้และเข้าใจอุดมการณ์ต่อสู้เช่นนี้ ก็คงจะไม่ต้องหน้าแตก หาก ใครสักคนจะถูกอุปโลกน์ หรืออุปโลกน์ตัวเองเป็นผู้ประกาศการหยุดยิง

          กระบวนการสานเสวนาเพื่อเข้าถึงแกนนำตัวจริงนั้นมีความสำคัญอย่างยิ่ง ภายใต้การต่อสู้โดยมีจุดประสงค์เป้าหมายสร้างสังคมใหม่ รูปแบบการปกครองใหม่ นี่คือการต่อสู้ทางการเมือง ความรุนแรงจึงเป็นเพียงเครื่องมือหนึ่งเพื่อตอบสนองวัตถุประสงค์ของการต่อสู้ และสร้างเงื่อนไขสู่อำนาจต่อรอง

          สิ่งที่ต้องตระหนักให้มากคือ การเจรจานั้นมิได้เป็นเพียงการเกลี้ยกล่อมให้ยุติการต่อสู้ แต่การเจรจาจะเป็นการร่วมคิดร่วมหารือว่า มีรูปแบบวิธีการต่อสู้อื่นใดนอกเหนือจากการใช้ความรุนแรงที่ก่อความสูญเสียหรือไม่

          ดังนั้น ก่อนที่ความรุนแรงจะบรรลุวัตถุประสงค์สูงสุด การเจรจาเสวนาจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่ง

          มีผู้เปรียบเทียบว่า สถานการณ์ชายแดนภาคใต้ขณะนี้เปรียบเสมือนแพะหลุดจากเชือกที่มัดไว้ แต่ไม่มีใครกล้ารับเป็นเจ้าของ เพราะแพะเที่ยวกัดกินพืชผลของชาวบ้านจนเสียหาย หากมีใครสักคนยอมรับว่าเป็นเจ้าของ เมื่อนั้นเจ้าของแพะตัวจริงจะไม่ยอมอยู่เฉย และจะออกมาเปิดเผยตัวเองว่าเป็นเจ้าของแพะตัวจริง

          แต่การอุปโลกน์เจ้าของต้องทำให้แนบเนียน น่าเชื่อถือ หากประกาศออกมาแล้วไม่มีใครเชื่อก็จะกลายเป็นเรื่องตลกขบขัน มิหนำซ้ำอาจกลายเป็นการท้าทายเจ้าของตัวจริง ซึ่งอาจทำให้เหตุการณ์ยิ่งเกิดความรุนแรงมากขึ้น

          ปัญหาชายแดนภาคใต้ผูกโยงเข้าไว้ด้วยหลายมิติ ทั้งประวัติศาสตร์ ปัญหาชาติพันธุ์ และศาสนา การแก้ไขต้องใช้ความรู้ ความเข้าใจเพื่อสร้างปัญญา มิใช่แค่การสร้างเรื่องขึ้นมาให้คนตั้งคำถามด้วยความสงสัย แล้วหัวเราะเยาะเย้ย เพราะจะยิ่งทำให้ความเชื่อมั่นต่อกลไกการแก้ปัญหาตกต่ำยิ่งขึ้นไปอีก

          เพียงแค่ 3 ชั่วโมงให้หลัง นับจากที่ได้มีการแพร่ภาพคำประกาศนี้ออกไป เสียงปืนก็ดังรัวถี่ยิบขึ้นอีกครั้งที่ อ.กรงปินัง จ.ยะลา พร้อมกับชะตากรรมของทหารซึ่งเฝ้าทำหน้าที่รักษาความสงบ