มะพร้าวเป็นพืชสารพัดประโยชน์ที่อยู่คู่กับคนไทยมาเป็นเวลาช้านาน

มะพร้าวนิยมนำมาทำเป็นอาหารต่างๆมากมายทั้งคาวหวาน และส่วนต่างๆของมะพร้าวยังมีคุณสมบัติ

นำมาทำเป็นยาอีกด้วย

                        สมัยเด็กๆ จำได้ว่า ปูย่าตายาย หรือคนเฒ่าคนแก่มักจะนำมะพร้าวสุกจนแห้งมาเคี้ยว จนได้น้ำมัน เพื่อนำมาใช้ปรุงอาหารในครัวเรือน ส่วนที่เป็นผลพลอยได้จากการเคี้ยวน้ำมัน คือ ขี้มัน จะมีกลิ่นหอมชื่นใจ หอมจนหิวข้าวขึ้นมาทันใดเชียวล่ะ

น้ำมันมะพร้าวที่ได้จากเคี้ยวน้ำมัน

ขี้มัน คือ ผลพลอยได้ที่จะเป็นอาหารอันโอชะของเด็กๆ

                         ตอนเด็กๆ พวกเราจึงไม่ค่อนสนใจกับน้ำมันที่ได้กันหรอก  หากแต่จะแย่งขี้มันกัน

กินเล่น หรือไม่ก็นำไปซาวข้าวกินร้อนๆ อร่อยอย่าบอกใครเชียวล่ะ

ขี้มัน ใช้ซาวข้าวร้อนๆ อร่อยอย่าบอกใครเชียวล่ะ

หรือช่วงฤดูเดือนสิบ หรือ เทศกาลชิงเปรต ของคนปักษ์ใต้ พ่อแม่มักจะเคี้ยวน้ำมันมะพร้าว เพื่อเตรียมน้ำมันไว้ทอดขนมเดือนสิบ เช่น ขนมเจาะหู ขนมจูจุน เป็นต้น

                      น้ำมันมะพร้าวที่ได้นอกจาก จะใช้ในการทำขนม ใช้ในการปรุงอาหารแล้ว ฉันยังจำได้ว่า คนเฒ่าคนแก่นำมาลูบผม ทำให้ผมเป็นมัน หงอกก็งอกช้า หรือบางทีช่วงอากาศเย็นๆ ก็นำน้ำมันมะพร้าวมาทาผิว กันผิวแตก หรือ นำมาทาส้นเท้าที่แตกระแหง ที่นอนกางมุ้งทีไร ส้นเท้าที่แตกมันไปเกาะเกี่ยวเข้ากับมุ้ง เล่นเอามุ้งชำรุดก่อนเวลาทุกที

                     จะเห็นได้ว่า มะพร้าว หรือ น้ำมันมะพร้าวมีบทบาทกับชีวิตคนไทยเรามาตั้งแต่เนิ่นนานมา เราจะเห็นได้ว่า คนแต่ก่อนไม่ค่อยเจ็บไข้ได้ป่วย มีสุขภาพแข็งแรง จนเมื่อวันเวลาผันผ่าน ใครก็ไม่รู้นำบสร้างกระแสว่า น้ำมันมะพร้าวมันไม่ดีซักอย่าง มีคอเรสเตอรอลสูงสูงบ้างล่ะ สารพัดสารเพ แล้วก็ประโคมข่าวเอาๆ ว่า เลิกกินน้ำมันมะพร้าวเถอะ มากินน้ำมันปาล์มแทนดีกว่า แล้วผลเป็นไงคะ?

เดี๋ยวนี้ผู้คนมากไปด้วยโรคนานา ไข้มันอุดตันบ้าง เป็นโรคหวใจบ้าง ความดันบ้าง?

     เพราะเหตุผลใดกันหนอ?

             และเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา จึงมีการสร้างความเข้าใจให้คนไทยมาเห็นประโยชน์ของมะพร้าว หรือ น้ำมันมะพร้าวเสียใหม่(อีกครั้ง) หลายครอบครัวจึงหันมาให้ความสนใจกับน้ำมันมะพร้าวมากขึ้น 

               โดยเฉพาะมีการคิดค้นการทำน้ำมันมะพร้าวสกัดเย็นมาใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อสุขภาพ

ของคนไทย จนเป็นที่ยอมรับกันแล้วว่า “น้ำมันมะพร้าวสกัดเย็น” มีประโยชน์มากมายจริงๆ เพราะ  มันมีกรดดลอริค (Lauric Acid) ซึ่งเป็นไขมันอิ่มตัวที่มีคุณสมบัติในด้านสุขภาพและความงาม     ที่สำคัญช่วยกำจัดแบคทีเรียได้อย่างดีทีเดียว เราจึงเห็นว่า ปัจจุบัน ได้มีการนำน้ำมันมะพร้าวสกัดเย็น   มาใช้เป็ฯส่วนผสมของของใช้เพื่อความงามมากขึ้น เช่น การทำแชมพู สบู่ เป็นต้น หรือ การนำน้ำมันมะพร้าวสกัดเย็นมาใช้รักษาสุขภาพประจำวัน เช่น ใช้ ทาผิว ทำให้ผิวชุ่มชื้น ใช้ทาผม       เพื่อให้ผมดกดำเป็นเงางาม งอกมาช้ากว่าวัยปกติ(จริงจริ๊ง ไม่ได้โม้)

                 หรือ ใช้เป็นน้ำยาเช็ดทำความสะอาดผิวหน้า โดยเฉพาะคุณสาวๆ ที่แต่ละวัน บรรจงแต้มสารเคมีสารพัดลงบนใบหน้า ลองนำน้ำมันมะพร้าวสกัดเย็นชุบสำลีเช็ดก่อนล้างหน้าดูซิคะ รับรอง สะอาดเอี่ยม ซ้ำ ยังทำให้รอยตีนไก่ ตีนกา ไม่กล้ามากล่ำกรายอีกด้วย หรือ ใครมีปัญหาสุขภาพใน   ช่องปาก ก็ลองใช้น้ำมันมะพร้าวสกัดเย็น อม แล้วโยกซ้าย โยกขวาภายในปาก อมไว้ซักประมาณ ๑๐-๒๐ นาที แล้วค่อยบ้วนออก ทุกเช้าๆ หลังตื่นนอน รับรองว่า ปากของเราจัไร้กลิ่นที่ไม่พึงประสงค์ อีกทั้ง ทำให้สุขภาพปากและฟัน โอเค จนเหลือเชื่อเชียวล่ะ!!

                 อ้อ ที่สาวๆต้องชอบใจแน่ๆ คือ น้ำมันมะพร้าวสกัดเย็นสามารถใช้ลดน้ำหนักได้ด้วย    น่ะจ๊ะ  สาวๆสนใจม๊า?

                   โม้มาตั้งนาน ไม่ได้เข้าเรื่องซักที อยากจะบอกว่า วันนี้ จะชวนเพื่อนๆ มาทำน้ำมันมะพร้าวสกัดเย็นใช้กันเองที่บ้าน โดยเฉพาะคนที่มีมะพร้าวแห้งหล่นเกลื่อนสวน ทิ้งๆ ขว้างๆ          ไร้ประโยชน์ คราวนี้ ลองหันมาให้ความสำคัญกับมะพร้าวที่ใครก็ไม่ต้องการเหล้านั้น มาใช้ให้เกิดประโยชน์กันดีกว่า   โดยนำมาทำน้ำมันมะพร้าวสกัดเย็นใช้กันในครัวเรือนดีกว่า อ้อ เหตุผลที่ ทำใช้ เองอีกอย่าง เพราะราคาของน้ำมันมะพร้าวสกัดเย็นในท้องตลาด โค-ตะ-ระ แพงเอามากๆ ขวดจี๊ดเดียว ราคาหลักร้อยขึ้น ต่อไปนี้ไม่ต้องไปซื้อให้เปลืองตังค์ มาทำใช้เองกันดีกว่า ทำไป ใช้ไป หมดเมื่อไหร่  ก็ค่อยทำใหม่ก็ได้ หรือใครจะทำ เพื่อขายก็ไม่ว่ากัน มาลองดูวิธีทำน้ำมันมะพร้าวสกัดเย็นกันดีกว่าค่ะ

                      - ขั้นแรก ให้เด็กๆ เก็บมะพร้าวแห้งๆ โดยเฉพาะมะพร้าวงอก หรือมะพร้าวที่มีจาวยิ่งดี ที่หล่นอยู่ตามเรือกสวนไร่นา มาคนละลูก

  มะพร้าวสุกจนแห้ง หรือมะพร้าวงอกยิ่งดี

                  - นำมาขูด(ทั้งจาว) แล้วคั้นเอาเฉพาะหัวกะทิ ได้กะทิกี่โล ก็ว่าไป สำหรับที่ฉันและเด็กๆ ทำ ใช้มะพร้าวประมาณ ๒๕ ลูก จะได้หัวกะทิ ประมาณ ๔ กิโล

  ได้มะพร้าวที่ขูดแล้ว

  นำมาคั้น

ว้าว ได้กะทิมาตั้ง ๔ โลแน่ะ

                     - ทีนี้ได้กะทิแล้ว นำถังน้ำที่มีก๊อกไว้ พร้อมน้ำสะอาดบริสุทธิ์ ในอัตราส่วน หัวกะทิ ๑ กิโล ต่อน้ำ ๑ ลิตร

                     - วันนี้ เราได้กะทิมา ๔ กิโล เพราะฉะนั้น เราจึงใช้น้ำ ๔ ลิตรค่ะ

                    เอาล่ะ ได้วัตถุดิบพร้อมแล้ว เรามาลงมือทำ “น้ำมันมะพร้าวสกัดเย็น” กันเลยดีกว่า

                       ๑. นำน้ำใส่ลงไปในถัง(ที่มีหัวก๊อก)

                       ๒. เทหัวกะทิลงไป คนให้เข้ากัน ซักพัก

                       ๓. ครอบฝา(แง้มไว้ อย่าปิดแน่น) ทิ้งไว้ประมาณ ๑๔-๒๐ ชั่วโมง หรือประมาณ       ๑ คืนกว่าๆ

                       ๔. เช้าอีกวัน เขาจะเห็นว่า กะทิ น้ำมัน แลกส่วนที่เป็นน้ำแยกออกจากกันจนชัดเจน แต่ส่วนที่เราต้องการ คือ ส่วนที่เป็นน้ำมัน ตรงกลางนั่นเอง

                     ๕. เปิดก๊อก ปล่อยส่วนน้ำ(เปรี้ยวๆ) ด้านล่างออก (อย่าทิ้ง นำไปทำปุ๋ยหมักได้)

 ส่วนล่าง ปล่อยทิ้ง หรือนำไปทำปุ๋ยหมัก

ส่วนนี้ ใช้ประโยชน์ไม่ได้ แต่นำไปทำปุ๋ยหมักได้

                    ๖. ใช้ช้อนตักส่วนที่เป็นขี้มันด้านบนออกเบาๆ

ค่อยๆ ตักน้ำมัน

 ส่วนชั้นบนที่ตักออก สามารถนำไปขัดผิวได้

                    ๗. เสร็จแล้ว จะพยายามจะตักส่วนที่เป็นน้ำมันออกมาก แต่จะต้องกรอง โดยใช้กระชอน ๒ ใบซ้อนกัน แต่การซ้อนของกระชอน จะต้องรองด้วยกระดาษทิชชูที่มีคุณภาพประมาณ      ๖ ชั้น

                     ๘. ค่อยๆทำไปเรื่อยๆ และส่วนที่ไหลออกจากกระชอน คือ น้ำมันมะพร้าวสกัดเย็นนั่นเอง

                      ๙. วันนี้ เราได้น้ำมันสกัดเย็น ประมาณ ๔ ขวดครึ่ง หรือ ประมาณ ๑,๐๐๐ ซีซี แน่ะ ขวดละ ๓๐๐ ซีซี ขายขวดละ ๑๕๐ บาท วันนี้เราลงทุนมะพร้าวที่ไร้คุณค่าจากสวน ประมาณ ๒๕ ลูก เราสามารถสร้างมูลค่าได้ถึง ๖๐๐ บาท กำไรเห็นๆ

                     ๑๐. หรือหากเราไม่อยากขาย ก็สามารถนำน้ำมันสกัดเย็นดังกล่าวมาใช้เองในครัวเรือน ก็ยิ่งดีใหญ่ จะได้ไม่ต้องเสียเงินเสียทองไปซื้อมาอีก

                     เป็นไงคะ...ไม่ยากใช้มั๊ยคะ? ว่างๆ ก็ลองทำดูก็ได้น่ะค่ะ แม้จะไม่ได้เอาไปใช้ประโยชน์เอง ก็ทำแจกก็ได้ ไม่ว่ากันค่ะ

..............................................

                      ป.ล. ขอขอบคุณองค์ความรู้ที่ได้จากการทำโครงการเศรษฐกิจพอเพียง

ที่ทางโรงเรียนได้ทำMOU ร่วมกับสถาบันวิจัยฯมหาวิทยาลัยราชภัฏยะลา

โดยเราได้นำความรู้เหล่านี้ จากห้องอบรม สู่ห้องเรียน

และกำลังลงสู่ชุมชนอีกไม่นานเกินรอนี้