เวิ้งวิภาษ หนังสือพิมพ์สยามรัฐรายวัน ฉบับประจำวันศุกร์ที่ 21 ตุลาคม 2554 อติภพ ภัทรเดชไพศาล ข้อความที่เป็นหัวเรื่องนี้ปรากฏอยู่ในเว็บบอร์ดชื่อดังแห่งหนึ่ง และสร้างความประหลาดใจให้กับผมเป็นอย่างมาก เพราะดูเหมือนข้อความนี้จะเป็นการผสานรวมเอาวาทกรรมความเชื่อในสังคมไทยสองชนิดที่ขัดแย้งกันราวฟ้ากับดินให้มารวมอยู่ด้วยกันได้อย่างน่ามหัศจรรย์ เพราะถ้าความมีน้ำใจนั้นเป็นคุณสมบัติที่งดงามของคนไทย - ความมีน้ำใจที่แท้จริงย่อมไม่ต้องการผลตอบแทนหรือชื่อเสียงอะไร ซึ่งเมื่อเป็นเช่นนั้นแล้วคนไทยจะไปแข่งขันกับใครๆ ทำไมว่าฉันมีน้ำใจไม่แพ้ใครๆ ในโลก ราวกับว่าเรากำลังพูดถึงกำลังรบทางด้านการทหารฉะนั้น วาทกรรมสองชนิดซึ่งขัดแย้งกันโดยสิ้นเชิงที่ปรากฏขึ้นมาพร้อมๆ กันได้นี้ไม่ใช่เรื่องตลก แต่เป็นเรื่องน่าตกใจว่าสังคมไทยกำลังกลายเป็นสังคมที่ยกเลิกการคิดด้วยเหตุผลไปแล้ว และคนส่วนมากล้วนแล้วแต่ใช้ชีวิตอยู่ในความเชื่อที่ถูกครอบงำโดยวาทกรรมต่างๆ อย่างหมอบราบคาบแก้ว และถ้าจะว่าไป ก็น่าคิดว่าคำว่า น้ำใจ นั้นมีความหมายว่าอย่างไรกันแน่ในสังคมไทย เพราะถ้าเราจะพิจารณาจากตามความเป็นจริงอย่างที่สุดแล้ว จะพบว่าการที่คนๆ หนึ่งจะอยู่ในสถานะที่สามารถแสดง น้ำใจ ให้แก่อีกคนๆ หนึ่งได้ บุคคลแรกนั้นจะต้องอยู่ในสถานะที่เหนือกว่า (หรือได้เปรียบกว่า) บุคคลที่สองอย่างแน่นอน ดังนั้นการจะมอบ น้ำใจ ให้แก่ใครสักคน จึงเป็นเรื่องของลำดับชั้นอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ เพราะชาวนาจนๆ ย่อมไม่สามารถแสดงน้ำใจกับเศรษฐีหมื่นล้านได้แน่ๆ คำว่าลำดับชั้นในที่นี้ไม่เพียงหมายถึงลำดับชั้นทางเศรษฐกิจเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวโยงกับเรื่องของลำดับชั้นทางสังคม เช่นการที่ชาวบ้านธรรมดาๆ หรือเศรษฐีหรือขุนนางอำมาตย์ทำบุญทำทานใส่บาตรให้พระภิกษุสงฆ์หรือกระทั่งบริจาคที่ให้วัด ย่อมไม่อาจถือได้ว่าเป็นการแสดง น้ำใจ คำว่าน้ำใจในสังคมไทย จึงบ่งถึงระยะห่างในเรื่องสถานะและลำดับชั้นไปในตัว เรื่องสั้น ขอแรงหน่อยเถอะ ของศรีบูรพา (พ.ศ. 2496) กล่าวถึงเหตุการณ์ที่เศรษฐีไม่ยอมให้กรรมกรคนหนึ่งยืมเงินไปซื้อยารักษาอาการเจ็บไข้ ครั้นเมื่อถึงเวลาที่ภรรยาของเศรษฐีผู้นี้ป่วยหนัก และรถติดหล่มไม่สามารถไปโรงพยาบาลได้ก็ต้องบากหน้ามาขอแรงจากกรรมกรผู้นี้มาช่วยเข็นรถออกจากหล่ม กรรมกรที่ชื่อนายแม่นผู้นี้ยังคงเคียดแค้นกับเหตุการณ์ที่เศรษฐีเคยไม่ให้เขายืมเงิน และปฏิเสธที่จะช่วยเหลือแม้ว่าเศรษฐีจะเสนอค่าจ้างให้มากเท่าไรก็ตาม แต่สุดท้ายนายแม่นก็ตกลงใจจะช่วยเข็นรถออกจากหล่มให้ โดยที่สำหรับนายแม่นแล้ว นี่ย่อมไม่ใช่เป็นการแสดง น้ำใจ ที่เขามีต่อเศรษฐี (เพราะนั่นเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว) นายแม่นอธิบายการกระทำของเขาต่อเศรษฐีว่าเป็นไปเพราะ หัวใจผมยังไม่แข็งเป็นหินเหมือนอย่างหัวใจของคุณ การกระทำเช่นนี้ ไม่ได้เกิดขึ้นจากน้ำใจ และไม่ได้เกิดขึ้นจากความเต็มใจ แต่ถูกบีบบังคับให้จำเป็นต้องทำด้วยความรู้สึกที่เราเรียกว่า ความเห็นอกเห็นใจ ต่างหาก ผมคิดว่าความเห็นอกเห็นใจที่แท้จริงจะเป็นไปได้ก็ต่อเมื่อเราจะต้องเคยตกอยู่ในสถานการณ์ที่เลวร้ายเช่นเดียวกันนั้นมาก่อน (เช่นกรณีที่นายแม่นเคยป่วยหนักมาก่อนเช่นเดียวกับภรรยาของเศรษฐี) ตัวอย่างที่ดีที่สุดของความเห็นอกเห็นใจมีเช่นเรื่องของความหิว (เพราะคนทุกคนย่อมเคยหิวมาเหมือนกันทั้งสิ้น - จะมากจะน้อย) ดังนั้นการแบ่งปันอาหารให้กันจึงเป็นเรื่องธรรมชาติของความเห็นอกเห็นใจของมนุษย์มาแต่ไหนแต่ไรมาตั้งแต่ดึกดำบรรพ์ (ผมเคยอ่านพบว่ามีหลักฐานทางโบราณคดีบางแห่งที่บ่งบอกว่ามีมนุษย์ถ้ำบางคนที่พิการและเคลื่อนไหวร่างกายไม่ได้เป็นเวลาหลายสิบปีทีเดียวก่อนที่เขาจะเสียชีวิต ซึ่งก็แปลว่านั่นต้องมีคนหาเลี้ยงเขา - ด้วยความรู้สึกเห็นอกเห็นใจกันนั่นเอง) คำๆ นี้ในภาษาอังกฤษคือคำว่า compassion ซึ่งแปลว่า ความรู้สึกเป็นทุกข์ร่วมในความทุกข์ของผู้อื่น ซึ่งความรู้สึกร่วมท่ีว่านั้นจะเป็นไปได้ อย่างสมบูรณ์ ก็ต่อเมื่อเราเคยประสบกับความทุกข์เช่นเดียวกันมาแล้วเท่านั้น ประสบการณ์เลวร้ายอย่างที่สุดที่จะนำไปสู่การเห็นอกเห็นใจผู้อื่นอย่างสมบูรณ์ จึงปรากฏอยู่ในชีวประวัติของศาสดาทั้งหลายในศาสนาสำคัญๆ ของโลกทุกศาสนา เช่นกรณีการบำเพ็ญทุกรกิริยาของพระพุทธเจ้า ไปจนถึงการที่พระเยซูถูกตรึงกางเขน ความรู้สึกเห็นอกเห็นใจจึงต่างจากการแสดงน้ำใจตรงที่มันไม่แบ่งแยกลำดับชนชั้น จริงอยู่ที่ว่าความรู้สึกเห็นอกเห็นใจอาจไม่นำไปสู่ความสามารถที่จะช่วยเหลืออะไรเลยก็ได้ แต่ก็เป็นคุณสมบัติสำคัญที่สุดที่มนุษย์พึงมี ดังนั้นความรู้สึกแบบนี้จึงเป็นประเด็นหลักในคำสอนของทุกๆ ศาสนาในโลก ผมสงสัยว่าด้วยโครงสร้างทางรายได้และสังคมที่เหลื่อมล้ำ รวมถึงการถูกปลูกฝังให้ยอมรับในเรื่องความเหลื่อมล้ำในสังคมไทยนี่เอง ที่ทำให้เราทำได้เพียงการแสดง น้ำใจ ต่อผู้ประสบภัย (ซึ่งอยู่ในสถานะที่ด้อยกว่า) เท่านั้น โดยปราศจาก ความเห็นอกเห็นใจ ที่แท้จริง (แน่นอนว่าการแสดงน้ำใจย่อมมีความเหล่ือมซ้อนกับเรื่องของความเห็นอกเห็นใจ และการแสดงน้ำใจช่วยเหลือผู้ประสบภัยส่วนหนึ่งย่อมเจือไปด้วยความเห็นอกเห็นใจในระดับหนึ่ง - แต่นั่นก็เป็นไปใน ระดับหนึ่ง เท่านั้น - นี่ยังไม่ต้องพูดถึงถุงยังชีพที่เต็มไปด้วยสัญลักษณ์ขององค์กรต่างๆ ซึ่งหวังผลในการประชาสัมพันธ์ภาพลักษณ์ของบริษัทตนเองอย่างโจ่งแจ้งด้วยซ้ำ) เพราะขณะที่เราแสดง น้ำใจ กันอย่างล้นเหลือต่อผู้ประสบภัย เรากลับไม่เคยให้ความสนใจใดๆ อย่างจริงจังเลยต่อกรณีการต่อสู้เพื่อรักษาสภาพแวดล้อมของชาวบ้านในชนบทผู้ปกป้องผืนป่าและเส้นทางระบายน้ำ เรายกย่องนักธุรกิจผู้ประกอบการอุตสาหกรรมที่ร่ำรวยใหญ่โต เห็นอกเห็นใจที่เขาต้องสูญเสียเงินนับร้อยล้านพันล้าน แต่เรา - ซึ่งรวมถึงสื่อกระแสหลักจำนวนมาก กลับไม่เห็นอกเห็นใจและไม่เคยให้ความสนใจกับข่าวคราวการต่อสู้ปกป้องผืนดินผืนป่าของชาวบ้านอย่างจริงๆ จังๆ เราปล่อยให้เจริญ วัดอักษรถูกยิงตาย ปล่อยให้คนจำนวนมากต้องต่อสู้อย่างโดดเดี่ยวเดียวดาย ปล่อยให้อำนาจทุนเข้าครอบงำสังคมไทยอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดอย่างไม่คิดจะคะคานหรือแม้แต่เพียงจะตั้งข้อสงสัย โดยล่าสุด ในขณะที่นายทุนขุนนางจำนวนมากบุกรุกครอบครองพื้นที่ป่าและภูเขาจำนวนมากและยังคงลอยนวลอยู่เหนือกฎหมาย แต่เรื่องของจินตนา แก้วขาว ผู้ต่อสู้กับทุนใหญ่ในกรณีโรงไฟฟ้าบ้านกรูด ต้องถูกศาลพิพากษาจำคุกเป็นเวลาถึง 4 เดือน ด้วยข้อหาเพียงบุกรุกเข้าไปในสถานที่จัดงานเลี้ยงของโครงการโรงไฟฟ้าบ้านกรูด ก็ดูเหมือนจะไม่ได้รับความใส่ใจจากคนส่วนมากในสังคมไทยอยู่นั่นเอง
|
ถึง บล็อกเกอร์ ทุกท่าน โปรดอ่าน
ด้วยทาง บริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จำกัด (มหาชน) ได้ติดต่อขอความร่วมมือ มายังเว็บไซต์และเว็บบล็อกต่าง ๆ รวมไปถึงเว็บบล็อก OKnation
ห้ามให้มีการเผยแพร่ผลงานอันมีลิขสิทธิ์ ของบริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ฯ บนเว็บ blog โดยกำหนดขอบเขตของสิ่งที่ห้ามทำ และสามารถทำได้ ดังนี้
ห้ามทำ - การใส่ผลงานเพลงต้นฉบับให้ฟัง ทั้งแบบควบคุมเพลงได้ หรือซ่อนเป็นพื้นหลัง และทั้งที่อยู่ใน server ของคุณเอง หรือ copy code คนอื่นมาใช้ - การเผยแพร่ file ให้ download ทั้งที่อยู่ใน server ของคุณเอง หรือฝากไว้ server คนอื่น สามารถทำได้ - เผยแพร่เนื้อเพลง ต้องระบุชื่อเพลงและชื่อผู้ร้องให้ชัดเจน - การใส่เพลงที่ร้องไว้เอง ต้องระบุชื่อผู้ร้องต้นฉบับให้ชัดเจน จึงเรียนมาเพื่อโปรดปฎิบัติตาม มิเช่นนั้นทางบริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ฯ จะให้ฝ่ายดูแลลิขสิทธิ์ ดำเนินการเอาผิดกับท่านตามกฎหมายละเมิดลิขสิทธิ์
OKNATION
กฎกติกาการเขียนเรื่องและแสดงความคิดเห็น
1 การเขียน หรือแสดงความคิดเห็นใด ๆ ต้องไม่หมิ่นเหม่ หรือกระทบต่อสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ หรือกระทบต่อความมั่นคงของชาติ
2. ไม่ใช้ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่นในทางเสียหาย หรือสร้างความแตกแยกในสังคม กับทั้งไม่มีภาพ วิดีโอคลิป หรือถ้อยคำลามก อนาจาร 3. ความขัดแย้งส่วนตัวที่เกิดจากการเขียนเรื่อง แสดงความคิดเห็น หรือในกล่องรับส่งข้อความ (หลังไมค์) ต้องไม่นำมาโพสหรือขยายความต่อในบล็อก และการโพสเรื่องส่วนตัว และการแสดงความคิดเห็น ต้องใช้ภาษาที่สุภาพเท่านั้น 4. พิจารณาเนื้อหาที่จะโพสก่อนเผยแพร่ให้รอบคอบ ว่าจะไม่เป็นการละเมิดกฎหมายใดใด และปิดคอมเมนต์หากจำเป็นโดยเฉพาะเรื่องที่มีเนื้อหาพาดพิงสถาบัน 5.การนำเรื่อง ภาพ หรือคลิปวิดีโอ ที่มิใช่ของตนเองมาลงในบล็อก ควรอ้างอิงแหล่งที่มา และ หลีกเลี่ยงการเผยแพร่สิ่งที่ละเมิดลิขสิทธิ์ ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบหรือวิธีการใดก็ตาม 6. เนื้อหาและความคิดเห็นในบล็อก ไม่เกี่ยวข้องกับทีมงานผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซต์ โดยถือเป็นความรับผิดชอบทางกฎหมายเป็นการส่วนตัวของสมาชิก คลิ้กอ่านเงื่อนไขทั้งหมดที่นี่"
OKnation ขอสงวนสิทธิ์ในการปิดบล็อก ลบเนื้อหาและความคิดเห็น ที่ขัดต่อความดังกล่าวข้างต้น โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ต่อเจ้าของบล็อกและเจ้าของความคิดเห็นนั้นๆ
|
||
![]() ![]() |
กาลเมื่อก่อนนั้นก็เป็นดินเป็นหญ้าเป็นฟ้าเป็นแถน ผีแลคนเที่ยวไปมาหากันบ่ขาด... | ||
![]() |
||
Thailand Philharmonic Orchestra 10 November 2007 |
||
View All ![]() |
<< | ตุลาคม 2011 | >> | ||||
อา | จ | อ | พ | พฤ | ศ | ส |
1 | ||||||
2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8 |
9 | 10 | 11 | 12 | 13 | 14 | 15 |
16 | 17 | 18 | 19 | 20 | 21 | 22 |
23 | 24 | 25 | 26 | 27 | 28 | 29 |
30 | 31 |