เวิ้งวิภาษ หนังสือพิมพ์สยามรัฐรายวัน ฉบับประจำวันศุกร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ 2556 อติภพ ภัทรเดชไพศาล
V for Vendetta เป็นนิยายภาพของ Alan Moore ตีพิมพ์ในพ.ศ. 2525 และถูกนำมาดัดแปลงเป็นหนังในปี 2548 กำกับโดย James McTeigue เขียนบทโดยพี่น้อง Wachowski คำว่า Vendetta เป็นภาษาอิตาเลียน แปลว่าการล้างแค้น ผมดูหนังเรื่องนี้ไปเมื่อราว 7 ปีที่แล้ว ขณะเข้าฉายในไทย ยังจำได้ว่า V for Vendetta เป็นหนังที่ดีมาก ปลุกเร้าให้ผู้ชมเกิดความหวัง และเชื่อมั่นในความถูกต้อง ความยุติธรรม แต่หนังสือ จากการปฏิวัติถึงโลกาภิวัตน์ ของสรวิศ ชัยนาม หยิบหนังเรื่องนี้มาวิเคราะห์ในมุมมองของนักวิชาการฝ่ายซ้ายได้อย่างทรงพลัง และทำให้ผมมองเห็นหนังเรื่องนี้ในอีกหลายๆ แง่มุมอย่างที่ไม่เคยคิดมาก่อน จากการปฏิวัติภึงโลกาภิวัตน์ เป็นหนังสือที่สรวิศ ชัยนาม ผู้เขียนบอกว่าตั้งใจจะ “อธิบายความคิดของชิเชค (Slavoj Žižek) เรื่องการวิพากษ์เชิงอุดมการณ์ การเมืองเรื่องการปฏิวัติ และจิตวิเคราะห์ของลากอง (Jacques Lacan) โดยนำไปผูกโยงกับภาพยนตร์ภายใต้บริบทการเมืองโลกร่วมสมัย” เรื่องย่อๆ ของ V for Vendetta สมมติเหตุการณ์เกิดขึ้นที่อังกฤษในโลกอนาคต ขณะการก่อการร้ายดำเนินไปทั่วโลก เกาะอังกฤษ - หลังจากเผชิญกับโรคระบาดร้ายแรงสูญเสียประชากรไปจำนวนมาก - จำต้องอยู่ในภาวะเคอร์ฟิว และถูกปกครองโดยรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งแต่กลายสภาพเป็นเผด็จการ รัฐเผด็จการปกครองเกาะอังกฤษอย่างเบ็ดเสร็จ และยังมีกระบอกเสียงเป็นสถานีโทรทัศน์ที่เผยแพร่ข่าวเฉพาะในด้านดีของรัฐบาล โดยข่าวทุกข่าวต้องได้รับการตรวจสอบจากทางรัฐอย่างเข้มงวด นอกจากนี้ยังมีการละเมิดเสรีภาพส่วนบุคคลด้วยการดักฟังโทรศัพท์ สอดแนม และกล้องวงจรปิดจำนวนมากตามท้องถนน รัฐเผด็จการนี้มีลักษณะอนุรักษนิยมอย่างชัดเจน ใช้ศาสนาคริสต์เป็นเครื่องมือในการปกครอง เหยียดผิว ต่อต้านมุสลิม และออกกฎหมายให้การเป็นเพศที่สามถือเป็นความผิด หนังค่อยๆ เผยมาว่า แท้จริงแล้วโรคระบาดที่อังกฤษเผชิญมาก่อนหน้านั้น ก็คืออาวุธชีวภาพที่ทางพรรคการเมืองฝ่ายรัฐบาลคิดขึ้นนั่นเอง แต่นำมาใช้กับประชาชนของตนเอง และมีรายได้จำนวนมหาศาลจากการผลิตยารักษาโรคระบาดนี้ ตัวละครเอกคือชายสวมหน้ากากที่เรียกตัวเองว่า ‘V’ ซึ่งเป็นหนึ่งในเหยื่อที่ถูกทดลองยา แต่เขาหนีรอดออกมาจากค่ายกักกัน และปรากฏตัวขึ้นในเรื่องพร้อมด้วยเป้าหมายในการโค่นล้มรัฐเผด็จการ แน่นอนว่า V for Vendetta จัดอยู่ในนิยายภาพและหนังประเภท superhero แต่สิ่งที่แตกต่างออกไปคือ V ไม่ได้ต่อสู้กับสัตว์ประหลาดหรือผู้ก่อการร้าย แต่ V กำลังสู้กับรัฐเผด็จการที่กดขี่ข่มเหง และริดรอนสิทธิเสรีภาพของประชาชน ขณะที่ผู้คนส่วนใหญ่อยู่ในสภาวะเชื่องเชื่อ ดังบทวิเคราะห์ว่า “ต่างถูกปิดปากจนเงียบสงบโดยพวกตำรวจลับ บ้างก็เสพติดโทรทัศน์อย่างถอนตัวไม่ขึ้น... พวกเขาตระหนักรู้ว่าระบบเสื่อมโทรมเน่าเฟะเพียงใด พวกเขาจึงมิได้ซึมซับค่านิยมและความเชื่อที่รัฐบาลยัดเยียดให้แม้แต่น้อย กระนั้นก็ตาม พวกเขาก็ยังเคารพเชื่อฟังผู้มีอำนาจอยู่ต่อไป ทั้งๆ ที่รู้อยู่แก่ใจ แต่ชาวอังกฤษส่วนใหญ่ก็ทำตัวประหนึ่งว่าพวกเขาไม่รู้ไม่เห็นกับความอัปลักษณ์น่าเกลียดของสังคมที่พวกเขาอาศัยอยู่” อาการกลัวอยู่ตลอดเวลาและคิดไปเองว่าตนไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้ เป็นสภาวะที่ผู้เขียนเรียกว่า ‘reflexive impotence’ ฉากที่น่าประทับใจฉากหนึ่งคือฉากที่ V บุกเข้าไปในสถานีโทรทัศน์ และปราศรัยออกอากาศ ประกาศแถลงการณ์แสดงจุดยืน อ้างถึง Guy Fawkes วีรบุรุษผู้พยายามระเบิดรัฐสภาของอังกฤษเมื่อสี่ร้อยปีที่แล้ว (หน้ากากที่ V ใส่คือหน้าของ Guy Fawkes โดยสมมติ) “ความหวังของเขาคือการเตือนโลกว่า ความถูกต้อง ความยุติธรรม และเสรีภาพ เป็นมากกว่าคำพูด หากแต่มันคือปรัชญาชีวิต ถ้าคุณไม่รู้ไม่เห็นกับอาชญากรรมของรัฐบาลนี้ ผมขอแนะนำให้คุณปล่อยวันที่ 5 พฤศจิกายนผ่านเลยไป แต่ถ้าคุณเห็นในสิ่งที่ผมเห็น รู้สึกในสิ่งที่ผมรู้สึก และแสวงหาในสิ่งที่ผมแสวงหา ผมขอให้คุณยืนเคียงข้างผม...” สรวิศวิเคราะห์คำปราศรัยนี้ว่า “เป้าหมายของวีกลับเป็นการมุ่งสร้างสาธารณชนใหม่บนพื้นฐานจุดร่วมกันใหม่ๆ ซึ่งจะสามารถเกิดขึ้นได้ผ่านการดิ้นรนต่อสู้เท่านั้น สำหรับวีแล้ว จุดร่วมพื้นฐานของผู้กระทำการปฏิวัติทุกคนสามารถสร้างขึ้นได้ผ่านการหวนกลับไปเชื่อร่วมกันในเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ที่หายไป (lose causes) อันได้แก่ ‘ความถูกต้อง ความยุติธรรม และเสรีภาพ’” เป้าหมายของ V ไม่ใช่การแสวงหาข้อตกลงหรือประนีประนอมกับฝ่ายตรงข้าม แต่เป็นการโค่นล้มฝ่ายตรงข้ามลง โดยอาศัยเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่เป็นอุดมการณ์ที่ไม่มีวันดับสูญ ความถูกต้อง ความยุติธรรม และเสรีภาพ มิใช่อะไรอื่นนอกจากเป็นความคิดความเชื่อที่ยิ่งยงคงกระพัน และสามารถทำให้ผู้คนจำนวนมากสละชีวิตเพื่อปกป้องมันไว้ ในตอนหนึ่ง สุรวิศสรุปความหมายแฝงในคำปราศรัยของ V ไว้อย่างน่าประทับใจว่า “วีกำลังพยายามจะบอกกับประชาชนว่า นี่คือความขัดแย้งระหว่างหลักการจัดตั้งและการบริหารสังคม 2 แนวทางที่ไม่สามารถไกล่เกลี่ยมาบรรจบกันได้ มีแต่การต้องเลือกไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง คุณต้องเลือกที่จะยืนเคียงข้างความยุติธรรมและเสรีภาพ มิฉะนั้นคุณก็อยู่ฝั่งตรงข้ามกับมัน” |
ถึง บล็อกเกอร์ ทุกท่าน โปรดอ่าน
ด้วยทาง บริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จำกัด (มหาชน) ได้ติดต่อขอความร่วมมือ มายังเว็บไซต์และเว็บบล็อกต่าง ๆ รวมไปถึงเว็บบล็อก OKnation
ห้ามให้มีการเผยแพร่ผลงานอันมีลิขสิทธิ์ ของบริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ฯ บนเว็บ blog โดยกำหนดขอบเขตของสิ่งที่ห้ามทำ และสามารถทำได้ ดังนี้
ห้ามทำ - การใส่ผลงานเพลงต้นฉบับให้ฟัง ทั้งแบบควบคุมเพลงได้ หรือซ่อนเป็นพื้นหลัง และทั้งที่อยู่ใน server ของคุณเอง หรือ copy code คนอื่นมาใช้ - การเผยแพร่ file ให้ download ทั้งที่อยู่ใน server ของคุณเอง หรือฝากไว้ server คนอื่น สามารถทำได้ - เผยแพร่เนื้อเพลง ต้องระบุชื่อเพลงและชื่อผู้ร้องให้ชัดเจน - การใส่เพลงที่ร้องไว้เอง ต้องระบุชื่อผู้ร้องต้นฉบับให้ชัดเจน จึงเรียนมาเพื่อโปรดปฎิบัติตาม มิเช่นนั้นทางบริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ฯ จะให้ฝ่ายดูแลลิขสิทธิ์ ดำเนินการเอาผิดกับท่านตามกฎหมายละเมิดลิขสิทธิ์
OKNATION
กฎกติกาการเขียนเรื่องและแสดงความคิดเห็น
1 การเขียน หรือแสดงความคิดเห็นใด ๆ ต้องไม่หมิ่นเหม่ หรือกระทบต่อสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ หรือกระทบต่อความมั่นคงของชาติ
2. ไม่ใช้ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่นในทางเสียหาย หรือสร้างความแตกแยกในสังคม กับทั้งไม่มีภาพ วิดีโอคลิป หรือถ้อยคำลามก อนาจาร 3. ความขัดแย้งส่วนตัวที่เกิดจากการเขียนเรื่อง แสดงความคิดเห็น หรือในกล่องรับส่งข้อความ (หลังไมค์) ต้องไม่นำมาโพสหรือขยายความต่อในบล็อก และการโพสเรื่องส่วนตัว และการแสดงความคิดเห็น ต้องใช้ภาษาที่สุภาพเท่านั้น 4. พิจารณาเนื้อหาที่จะโพสก่อนเผยแพร่ให้รอบคอบ ว่าจะไม่เป็นการละเมิดกฎหมายใดใด และปิดคอมเมนต์หากจำเป็นโดยเฉพาะเรื่องที่มีเนื้อหาพาดพิงสถาบัน 5.การนำเรื่อง ภาพ หรือคลิปวิดีโอ ที่มิใช่ของตนเองมาลงในบล็อก ควรอ้างอิงแหล่งที่มา และ หลีกเลี่ยงการเผยแพร่สิ่งที่ละเมิดลิขสิทธิ์ ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบหรือวิธีการใดก็ตาม 6. เนื้อหาและความคิดเห็นในบล็อก ไม่เกี่ยวข้องกับทีมงานผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซต์ โดยถือเป็นความรับผิดชอบทางกฎหมายเป็นการส่วนตัวของสมาชิก คลิ้กอ่านเงื่อนไขทั้งหมดที่นี่"
OKnation ขอสงวนสิทธิ์ในการปิดบล็อก ลบเนื้อหาและความคิดเห็น ที่ขัดต่อความดังกล่าวข้างต้น โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ต่อเจ้าของบล็อกและเจ้าของความคิดเห็นนั้นๆ
|
||
![]() ![]() |
กาลเมื่อก่อนนั้นก็เป็นดินเป็นหญ้าเป็นฟ้าเป็นแถน ผีแลคนเที่ยวไปมาหากันบ่ขาด... | ||
![]() |
||
Thailand Philharmonic Orchestra 10 November 2007 |
||
View All ![]() |
<< | กุมภาพันธ์ 2013 | >> | ||||
อา | จ | อ | พ | พฤ | ศ | ส |
1 | 2 | |||||
3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8 | 9 |
10 | 11 | 12 | 13 | 14 | 15 | 16 |
17 | 18 | 19 | 20 | 21 | 22 | 23 |
24 | 25 | 26 | 27 | 28 |