วันเสาร์ ที่ 12 มิถุนายน 2564
Posted by
johnrit
,
ผู้อ่าน : 940
, 12:31:29 น.
หมวด : วรรณกรรม/กาพย์กลอน
พิมพ์หน้านี้
โหวต
3 คน
สำรวจฟ้า
,
Chaoying
และอีก 1 คนโหวตเรื่องนี้
25 พฤษภาคม ถึงเวลาต้องไปเสียภาษีต่อทะเบียนรถอีกแล้ว ผัดวันประกันพรุ่งมาเป็นอาทิตย์แล้ว ในที่สุดก็ต้องขับรถออกจากบ้าน เอารถไปตรวจสภาพที่ร้านเดิมแถวแยกแคลายตรงข้ามกับห้างสรรพสินค้าโลตัส เป็นร้านที่ตรวจสภาพรถติดต่อมาสองสามปีแล้ว พนักงานเยอะ ทำงานเร็ว จ่ายเงินสองร้อย แล้วรับเอกสารเพื่อเอาไปยื่นตอนจ่ายภาษี ใช้เวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมง
แยกแคลายการจราจรเลวร้ายเหมือนเดิม เป็นช่วงที่กำลังเร่งก่อสร้างรถไฟลอยฟ้าเชื่อมระหว่างศาสลากลางนนท์ไปแจ้งวัฒนะ ถนนสี่เลนถูกบีบให้เหลือแค่เลนเดียว กว่าจะพ้นแยกไปได้ใช้เวลานานกว่ามาจากบางบัวทองจนถึงแยกแคลายเสียอีก
ตั้งแต่โควิดระบาดรอบสามเมื่อต้นเดือนมีนาคมก็ไม่ได้ออกมาซ้อมวิ่งที่ศาลากลางร่วมสองเดือนกว่า ไม่ได้เดินเข้าไปตากแอร์ในห้องเอสพลาดนาดเหมือนเก่า ตอนที่รถติดก็หันไปดูด้วยความอยากรู้ว่าห้างยังเปิดอยู่หรือไม่ เห็นมีคนเดินเข้าออก แสดงว่ายังเปิดอยู่ แล้วโรงหนังชั้นบนมีคนเข้าไปดูบ้างหรือเปล่าก็ไม่รู้ ผมเป็นนักดูหนังตัวยง สมัยที่อยู่บ้านเก่าใกล้ศาลากลางนนท์ ทำงานทำการเสร็จตอนหัวค่ำ กินข้าวกินปลาอิ่มแล้วก็ปั่นจักรยานมาดูหนังแทบทุกวัน ตอนที่เปิดห้างใหม่ ๆ ถ้าดูรอบหลังสองทุ่มครึ่งราคาก็จะถูกเหลือประมาณ100 บาทหรือแปดสิบบาทต่อหนึ่งที่นั่งว โรงหนังของเอสพลานาร์ดมีอยู่เจ็ดโรง ผมไล่ดูไปทีละโรง ไม่เลือกว่าเป็นหนังไทย หนังจีนหรือหนังฝรั่ง ดูได้หมด ไม่ว่าจะเป็นหนังรัก หนังผี หนังการ์ตูนเด็ก หนังบู๊ที่ยิงกันเลือดท่วมจอ เวลาสองชั่วโมงที่ผมมานั่งอยู่ในโรงหนังนั้นเหมือนกับเข้าโบสถ์ทำสมาธิ ผมดูหนังด้วยความรู้สึกขอบคุณ ดูอย่างละเอียด เสพทั้งเรื่องเล่า แสง สี เสียงอย่างเห็นคุณค่า เวลาดูหนังก็นึกถึงพี่แคน สังคีตที่สอนว่า หนังนั้นรวมศิลปะทุกแขนงเอาไว้ เขาลงทุนเป็นร้อยล้านเพื่อให้เราใช้เงินแค่ร้อยบาทไปนั่งดู พี่แคนว่าแค่นั่งหลับตาฟังเสียงก็คุ้มแล้ว
สมัยที่ยังมีชีวิตพี่แคนก็ไปดูหนังที่เดอะมอลล์งามวงศ์วานแทบทุกเรื่องเหมือนกัน บางเรื่องเข้าไปนั่งหลับกรนครอกในโรงหนัง ผมเคยถามว่านั่งหลับแล้วมาดูทำไม เขาตอบว่า หลับในโรงหนังอบอุ่น เพื่อนเยอะรู้สึกสบายใจ เมื่อหนังเลิกแล้วแล้วเขาก็จะออกมานั่งตามร้านอาหารหาอะไรกินนิดหน่อย ๆ แล้วก็นั่งแท็กซี่กลับคอนโดฯแถวชินเขต เป็นคอนโดที่ซื้อไว้สำหรับใช้ชีวิตอยู่ตามลำพังในบั้นปลายชีวิต
ดูหนังคนเดียวทีไรก็มักจะนึกถึงพี่แคนเสมอ เขาบอกว่า คนเราดูกันง่ายๆ ว่าคนไหนแก่หรือไม่แก่ ให้ถามว่าเข้าโรงหนังครั้งสุดท้ายเมื่อไร คนที่บอกว่าไม่ได้เข้ามานานแล้ว แสดงว่าแก่แน่นอน ผมเคยถามว่าพี่ละแก่แล้วหรือยัง
“ผมดูหนังทุกวันคุณคิดว่าผมแก่ไหมล่ะ” พี่แคนอายุ70ตอบพร้อมกับยักคิ้วให้
แต่ช่วงหลังตั้งแต่มีเน็ตฟลิกและมีโทรทัศน์จอใหญ่ขนาดหกสิบนิ้วที่ลูกสาวติดตั้งให้อยู่ในบ้าน ผมก็แทบไม่ได้เข้าโรงหนังอีก ที่บ้านผมนั้นถ้าปิดม่านให้สนิท เปิดแอร์ให้เย็นฉ่ำ เปิดเครื่องเสียงให้ดังขึ้นอีกสักหน่อย นั่งดูหนังบนโซฟานุ่ม ๆ ก็เหมือนกับดูหนังในโรงแทบทุกอย่าง และข้อดีของการดูหนังในบ้านคือเวลาปวดฉี่ก็ไม่ต้องอั้นจนหน้าเขียวหน้าแดง นึกจะลุกฉี่ตอนไหนก็ได้ แถมถ้าหิวก็ลุกไปเปิดตู้เย็นหาอะไรมากินระหว่างดูหนังได้อีกด้วย แต่ว่าไปแล้วบางครั้งผมก็ยังโหยหาที่จะไปดูตามโรงโดยเฉพาะที่เอสพลานาร์ด ระบบเสียงเซอร์ราวด์นั้นยอดเยี่ยมเหลือเกิน เวลาเฮลิคอปเตอร์บินมาจะได้ยินเสียงมันล่วงหน้ามาก่อนจากฝั่งซ้ายแล้วค่อยโผล่มาที่จอ หรือบางครั้งก็ได้ยินเสียงปืนดังอยู่ข้าง ๆ ก่อนที่จะยิงกันดุเลือดอยู่ด้านหน้า หนังบางเรื่องนั้นให้ความรู้สึกคุ้มค่ากับเงินที่เราจ่ายออกไป บางเรื่องอย่าง”เหยื่อธรรม” ผมจำได้ว่าเมื่อหนังจบมีคนปรบมือกันทั้งโรง นี่คือเสน่ห์ของการดูหนังวในโรงที่หาไม่ได้จากนั้นบ้าน ดูจบก็ลงมานั่งพักในร้านแม็กโดนัล เคเอฟซีหรือร้านเชสเตอร์กรีล สั่งไก่ทอดหอม ๆ มาสักจานนั่งกินเล่น มีความสุขอย่างบอกไม่ถูก
โควิดหายเมื่อไรจะย้อนกลับไปดูหนังในโรงสักเรื่องและลงมานั่งร้านที่ว่าดูสักหน อยากรู้ว่าบรรยากาศที่โหยหามานานนั้นจะยังคงเป็นเหมือนเดิมหรือเปล่า
ผมจำไม่ได้แล้วว่า หนังเรื่องสุดท้ายที่ไปดูนั้นเรื่องอะไร ลองทบทวนดูอยู่นานทีเดียว และก็คิดว่านะจะเป็นเรื่องแมวที่ว่าด้วยชายหนุ่มคนหนึ่งที่ใช้ชีวิตสุดเรื่อยเฉี่อยร่วมกับ ‘แมว’ ตัวโปรด แต่แล้ววันหนึ่งเขาก็ได้รับข่าวร้ายว่าตนเองกำลังป่วยและใกล้ตาย เขาต้องเดินทางไปหาเพื่อนเก่าคนแล้วคนเล่าเพื่อจะที่จะหาบ้านใหม่ที่เหมาะสมให้กับแมวสุดที่รัก จำได้ว่ารู้สึกประทับใจกับหนังเรื่องนี้มาก แมวที่เล่นเป็นตัวเอกก็แสนฉลาด น่ารัก ดูแล้วเอ็นดูอยากจะหาแมวมาเลี้ยงสักตัว(ถ้าไม่ติดอยู่ที่มีหมาคลอเคลียอยู่ไม่ห่างกาย) จากเรื่องนั้นก็ไม่ได้ดูเรื่องอื่นอีกแล้ว นานเท่าไรแล้วก็นับไม่ถูก น่าจะเป็นปีหรือสองปี
ไม่ได้ย่างเท้าเข้าโรงหนังนานขนาดนี้ ถ้าพี่แคนอยู่เขาคงว่าผมแก่แล้วแน่ ๆ เลย
ผ่านแยกแคลายแล้วคิดถึงอดีต ผมอยู่ย่านนี้มายี่สิบกว่าปี อยู่มาตั้งแต่สะพานพระนั่งเหล้ายังสร้างไม่เสร็จ ห้างโลตัสยังเป็นพื้นที่รกร้าง เอาพลานาร์ดนั้นเพิ่งสร้างเพิ่มขึ้นทีหลังตรงบริเวณลานจอดรถของโลตัส และตรงข้ามนั้นเป็นห้างนิวเวิด์ล เปิดบริการอยู่ไม่นานก็ปิดกิจการ เป็นห้างสรรพสินค้าแห่งแรกของย่านนี้ที่มีโรงหนังเครือSFทันสมัยที่สุด สมัยที่ลูกผมยังเรียนอยู่ชั้นอนุบาล อยากดูหนังสักเรื่องผมต้องนั่งรถเมล์จากแยกแคลายไปถึงวงศ์สว่าง ที่นั่นมีห้างเซ็นทรัลที่ทันสมัยและมีโรงหนังเปิดใหม่อยู่ข้างในหลายโรง ผมไปดูแทบทุกอาทิตย์ นั่งรถเมล์ทั้งขาไปขากลับ
นอกจากที่สี่แยกวงศ์สว่างแล้ว ผมยังไปดูที่ห้างสรรพสินค้าเปิดใหม่แถวห้าแยกปากเกร็ด ช่วงหลังซื้อรถกระบะยี่ห้ออีสุซุส่วนตัวคันหนึ่ง การไปดูหนังรอบดึกจึงสะดวกสบายขึ้นกว่าเดิมมาก ครั้งหนึ่งจำได้ว่าไปดูหนังจบออกมาจากโรง เห็นรถกระบะของตัวเองโดนใครก็ไม่รู้ชนเอาประตูข้างคนขับบุบและมีแผลลากยาวไปถึงด้านหน้า ถามยาม ยามก็บอกไม่รู้ ดีที่บริษัทประกันรับผิดชอบซ่อมให้ แต่พอไม่มีรถใช้ก็ดูเหมือนแทบไม่อยากออกจากบ้านไปโรงหนังอีก
จากนั้นก็มามีโรงหนังใกล้บ้านอยู่ในห้างนิวเวิด์ล ห่างจากบ้านผมประมาณ1กิโลเมตร เดินไปก็ถึง ผมจำได้ว่าเรื่องแรกที่ไปนั่งดูกับลูกหลานที่ขึ้นมาจากตรังคือเรื่อง “บางระจันทร์”ของผู้กำกับธนิตย์ จิตนุกูล เข้าฉายเมื่อวันที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2543 หลานชายสองคนของผมยังเด็ก เรียนอยู่ชั้นประถม น่าจะเป็นครั้งแรกที่เขาได้เข้าดูหนังที่โรงหนังชั้นเยี่ยมที่มีระบบแสงสีเสียงเป็นเลิศซึ่งหาดูจากตรังไม่ได้ ก็ตื่นเต้นนั่งดูหนังกันตาค้าง ออกจากโรงก็คุยโม้กันแทบไม่หยุดปาก
ผมเป็นลุงที่ชอบแนะนำให้หลานหัดดูหนัง สอนให้อ่านหนังสือ และมักจะแนะนำให้ท่องเที่ยวไปตามที่ต่าง ๆ ไม่เน้นเรื่องการเรียนเท่าไรนัก เรียนได้ก็เรียนไป เรียนไม่ได้ก็ไม่เป็นไร สิ่งที่สำคัญคือการใช้ชีวิตให้ดี หัดอ่านหนังสือให้มาก การอ่านทำให้มีสมาธิ ทำให้รู้ว่าผู้คนเขาคิดเห็นกันอย่างไร ดูหนังก็เช่นเดียวกัน ส่วนเรื่องท่องเที่ยวนั้นผมก็จำมาจากพี่แคนอีกที เขาชอบพูดว่า
“เที่ยวเสียบ้างอย่ามัวแต่ทำงาน พอแก่ตัวเจ็บป่วยออดแอดลุกนั่งไม่สะดวกก็จะรู้สึกเสียดายที่มัวแต่คร่ำเคร่งกับงานโดยไม่ได้มีโอกาสออกไปเที่ยวที่ไหนเลย”
หนังเรื่องแรกที่ผมพาลูกสาววัยสามขวบไปดูเป็นครั้งแรกคือ “จูแมนจี้” ที่โรบิน วิลเลี่ยมส์เล่นเป็นพระเอก
หนังเรื่องนี้สร้างมาจากวรรณกรรมสำหรับเด็ก แต่งโดย คริส แวน ออลส์เบิร์ก เป็นหนังจอยักษ์เมื่อปี ค.ศ. 1995 เนื้อเรื่องเกี่ยวกับ การเล่นเกมจูแมนจี้ ที่เป็นลักษณะเกมกระดานที่มีช่องเดินคล้ายกับเกมบันไดงู ซึ่งในกระดานจะเป็นภาพของป่า เมื่อผู้เล่นเดินตกลงในช่องในเกม ก็มีสัตว์ป่าปรากฏขึ้นมาจริงๆ
ตอนนั้นลูกสาวผมยังเป็นเด็กหญิงตัวน้อย นั่งตักพ่อดูหนัง และก็คอยเอามือปิดตาแอบมองลอดระหว่างนิ้วเมื่อถึงตอนที่ตัวเองรู้สึกกลัวและไม่อยากดู เด็กสามขวบดูหนังก็มักจะร้องปวดฉี่กลางเรื่องเสมอ แต่ลูกสาวของผมอั้นฉี่ได้จนหนังจบเรื่อง ตอนจูงมือออกมาจากโรงหนัง ถามลูกว่าชอบไหม ลูกคงยังไม่หายตื่นเต้นดี จึงไม่ตอบอะไร ร้องบอกแต่ว่าหนูปวดฉี่ ๆ พาไปเข้าห้องน้ำผู้ชาย ยืนรอลูกฉี่จนเสร็จแล้วก็พาออกมาหาไอสกรีมกิน ตอนที่นั่งในร้านดูเหมือนจะหายตกใจและหายตื่นเต้นแล้ว ลูกจึงพูดถึงหนังจูแมนจี้แทบไม่หยุดปาก
จากนั้นเป็นต้นมาผมจึงพาลูกไปดูหนังเด็กทุกเรื่องที่เข้ามาฉายในโรงหนังใกล้บ้าน
จนกระทั่งลูกโตเป็นวัยรุ่น ไปดูหนังกับเพื่อนได้แล้ว เราสองคนแทบจะไม่ได้ดูหนังด้วยกันอีก บางครั้งก็ไปดูหนังในห้างสรรพสินค้าเดียวกัน พ่ออยากดูเรื่องหนึ่ง ลูกอยากดูอีกเรื่อง ต่างคนจึงต่างดู หนังเลิกก็นัดเวลามาเจอกันที่หน้าโรง ไปหาของกินกันก่อนแล้วจึงค่อยขึ้นรถกลับบ้าน
เรื่องโรงหนังในบ้านนี่ก็เป็นอานิสงฆ์จากการแนะนำให้ลูกดูหนังตั้งแต่เล็ก วันนี้ลูกเรียนจบมีการงานที่มั่นคง มีเงินเดือนพอประมาณ คงเห็นว่าพ่อเป็นคอหนัง ชอบดูหนังเป้นชีวิตจิตใจ จึงจัดการซื้อโทรทัศน์จอใหญ่เกือบเท่าฝาบ้านมาให้ ติดเน็ตฟลิกและระบบเสียงกระหึ่มให้เป็นที่เรียบร้อย
เคยพูดแหย่ว่า “คงจะรักพ่อมากสินะ ถึงติดเน็ตฟลิกไว้ให้” ลูกว่า “ถ้าคิดอย่างนั้นแล้วสบายใจก็คิดไปเถอะ แต่ความจริงคือหนูติดไว้ดูเองหรอก” ลูกแหย่กลับ
วันนี้ไปเสียภาษีรถที่กรมขนส่งแถวแยกแคลาย ขับรถผ่านโรงหนังแล้วก็ย้อนคิดเรื่องราวในอดีตเสียยืดยาว
บางทีก็สงสัยตัวเองเหมือนกันว่า ทำไมไม่คิดถึงเรื่องอนาคตบ้าง ว่าปีหน้าจะทำอะไร จะลงทุนพิมพ์หนังสืออะไรบ้าง จะเปิดร้านหนังสืออีกไหม หรือจะเปิดร้านกาแฟรอให้เพื่อนมาอุดหนุนและนั่งคุยกัน แปลกที่ความคิดเหล่านั้นมันหายไปตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้เหมือนกัน ไม่คิดถึงความร่ำรวยอีกแม้แต่นิด ไม่คิดเรื่องการลงทุนอะไรอีกเลย ไม่วางแผนจะทำอะไรใหญ่ ๆ แม้แต่สักเรื่องเดียว เท่าที่พอนึกออกอยู่ก็มีอยู่เรื่องเดียว
โควิดหายเมื่อไรจะกลับตรังไปอยู่กับพ่อสักพัก นอกนั้นไม่ได้วางแผนอะไรอีกเลย
--- #บ้านหนังสือ http://bannangsue.lnwshop.com
|