วันอาทิตย์ ที่ 17 ตุลาคม 2564
Posted by
johnrit
,
ผู้อ่าน : 482
, 11:46:26 น.
หมวด : วรรณกรรม/กาพย์กลอน
พิมพ์หน้านี้
โหวต
1 คน
อดุลย์
โหวตเรื่องนี้
15 กันยายน ก่อนเที่ยงต้องส่งผลการคัดเลือกความเรียง หัวข้อ “หนึ่งชีวิต คำนึง” ประกวดวรรณกรรมรางวัล “วรรณศิลป์อุชเชนี” ที่ทางผู้จัดส่งมาให้อ่านเพื่อพิจารณา ปีนี้มีจำนวนกว่าสี่ร้อยชิ้น คัดให้เหลือสักสิบห้าหรือยี่สิบชิ้น แบ่งเป็นประเภทของเด็กนักเรียน และประชาชนทั่วไป นั่งอ่านพร้อมกับให้คะแนนไปเรื่อย ๆ จนเสร็จเรียบร้อย ตอนเที่ยงทางเจ้าหน้าที่ผู้ประสานงานส่งลิงค์มาให้กรอกผลการคัดเลือกทางไลน์ ซึ่งดูแล้วมีความทันสมัยมาก มีชื่อคณะกรรมการทุกคนอยู่ในนั้น เราแค่คลิกดูให้ตรงกับชื่อตัวเองแล้วกดเอนเตอร์ จากนั้นก็ไล่ลงไปตามตัวเลข ซึ่งมีชื่อเรื่องและชื่อผู้เขียนกำกับไว้ แบ่งออกเป็นสองช่องให้เราเลือก ผ่านกับไม่ผ่าน แค่เอานิ้วกดลงไปตามช่องที่กำหนด ผลคะแนนก็จะถูกนำไปรวมกับกรรมการท่านอื่นว่า ผลงานของใครผ่านอย่างเป็นเอกฉันท์ หรือผลงานของใครได้กี่คะแนน
พรุ่งนี้ก็จะมีการประชุมกันทางซูม เห็นหน้าและพูดคุยกันทางหน้าจอคอมพิวเตอร์ ผมไม่เคยทำสิ่งเหล่านี้มาก่อน แต่เห็นลูกสาวประชุมทุกวัน ก็รู้ว่าไม่ใช่เรื่องยาก ยังไงก็ขอให้ลูกช่วยจัดการให้ ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องใหม่ที่เพิ่งเกิดขึ้นกับผม การประชุมทางซูมนั้นมีข้อดี ตรงที่เราไม่ต้องขับรถออกไปข้างนอก ไม่ต้องเปลืองน้ำมัน เปลืองไฟ เปลืองแอร์ เปลืองเวลา ใครมีความเห็นอย่างไรก็ยกมือขออนุญาต พูดแล้วก็ได้ยินกันทุกคน ถ้ามีข้อข้องใจหรือไม่เห็นด้วย กังขาด้วยเรื่องนั้นเรื่องนี้ก็สอบถามได้เหมือนกับประชุมอยู่ในห้องเดียวกัน มีคนคอยจัดการอยู่คนหนึ่งที่จะเลื่อนกล้องให้ซูมมาที่ใบหน้าคนพูด ผมว่าเป็นความทันสมัยและเข้ากับยุคโควิดระบาดเป็นอย่างยิ่ง
บางครั้งก็นึกดีใจที่ตัวเองอยู่มาจนถึงยุคนี้ สามารถประชุมกันได้โดยที่ไม่ต้องไม่นั่งอยู่ในห้องเดียวกัน
หลายวันก่อนพี่จรัญ หอมเทียนทองก็เคยเชิญชวนให้เข้าร่วมประชุมกับสมาคมผู้จัดพิมพ์ ตอนนั้นยังบ่ายเบี่ยง เพราะคิดว่าตัวเองไม่ชำนาญ ใช้แอพตัวนี้ไม่เป็น อีกอย่างเรื่องของสมาคมผู้จัดพิมพ์นั้นผมรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นคนนอก ไม่รู้จักใคร และไม่มีใครรู้จัก พอเขามีการเลือกตั้งผู้บริหารชุดใหม่ ผมก็ส่งเสียงเชียร์อยู่ในใจ บัดนี้การเลือกตั้งก็ผ่านพ้นไปด้วยดี นายกสมาคมชื่อทิพย์สุดา สินชวาลวัฒน์ถือเป็นคนรุ่นใหม่คนที่มีความตั้งใจสูงที่จะพัฒนาวงการหนังสือให้ทันสมัยก้าวหน้าและเพิ่มศักยภาพในการจำหน่ายหนังสือทั้งทางออฟไลน์และออนไลน์ ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
แต่พรุ่งนี้นั้นเป็นการประชุมเรื่องที่ข้องเกี่ยวกับหนังสือล้วน ๆ ยังไงผมก็เลี่ยงที่จะใช้”ซูม” ไม่พ้น ลูกสาวเห็นผมเป็นกังวล ก็บอกไว้ตั้งแต่สองวันก่อนว่า ไม่ยาก เดี๋ยวหนูจะลงมาช่วย รอให้เขาส่งรหัสหรือลิงค์มาก่อน แล้วก็สามารถเข้าร่วมประชุมออนไลน์ได้เลย
ตอนเที่ยงผมส่งผลการพิจารณาเสร็จเรียบร้อยก็รู้สึกโล่งอก เตรียมข้อมูลไว้สำหรับพูดให้เหตุผลในวันพรุ่งว่าทำไมเลือกหรือไม่เลือกเรื่องนั้นเรื่องนี้ เขียนโน้ตไว้อย่างละเอียดว่าจะพูดเรื่องอะไรบ้าง ทำงานเสร็จเอาตอนบ่าย พร้อมที่จะประชุมได้ทุกเมื่อ
เมื่อวานไปรดน้ำกราบอาจารย์ รื่นฤทัย สัจจพันธุ์ที่วัดชัยฉิมพลี พี่จรัญ ให้คนขับรถมารับและส่งถึงบ้าน ไปกราบลาอาจารย์ก็รู้สึกใจหาย ช่วงหลังผมคุยกับอาจารย์บ่อยด้วยเรื่องสุขภาพ อาจารย์ก็มักจะเขียนข้อความมาทัก ถามข่าวคราวด้วยความเมตตา บางวันก็มาคอมเม้นท์ในเฟซบุ๊คเรื่องเกี่ยวหมาบ้าง ต้นไม้บ้าง หนังสือบ้าง สองสามเรื่องนี้ผมโพสต์อยู่เป็นประจำ ถ้าเป็นเรื่องหนังสือวรรณกรรมเล่มใหม่ ๆ อาจารย์ก็บอกว่า” อ่านแล้วอย่าลืมเขียนรีวิวให้ฟังนะ” พอรู้ข่าวว่าอาจารย์ป่วยหนักและจากไปก็ใจหายอย่างบอกไม่ถูก
อาจารย์รื่นเป็นหนึ่งของครูอาจารย์ที่ผมเคารพนับถือมาก เวลาเห็นอาจารย์รื่นก็เห็นอาจารย์อี๊ด(อาจารย์ชมัยภร) เห็นอาจารย์อี๊ดก็เห็นอาจารย์โก้ (อาจารย์สุวรรณา)พวกเราที่เติบโตอยู่ในแวดวงวรรณกรรมก็ย่อมอยู่ใต้ร่มเงาของอาจารย์ทั้งสามท่านนี้ไม่คนใดก็คนหนึ่ง ทั้งอาจารย์โก้ อาจารย์รื่น อาจารย์อี๊ดนั้นเป็นทั้งครูผู้ให้ เป็นทั้งอาจารย์ที่เราเรียนรู้จากท่านแบบครูพักลักจำ เป็นพี่ที่ให้ความเมตตาแก่พวกเรามายาวนาน นับได้เลยว่าตั้งแต่เด็กจนโต ผมคิดของผมเองว่า ตอนนี้อาจารย์รื่นได้จากไปแล้ว คงเหลือแต่สองอาจารย์ที่เราจะต้องประพฤติปฏิบัติตัวอย่างไรให้อาจารย์ทั้งสองมีความสุขทั้งกายและใจ
ผมรักและเคารพอาจารย์ทั้งสามคนเหมือนญาติผู้ใหญ่ รู้สึกและรำลึกอยู่เสมอว่า เรานั้นได้รับความเมตตาและกรุณาจากอาจารย์ทั้งสามมาโดยตลอด จนกระทั่งมีลูก มีครอบครัว อาจารย์ทั้งสามคนก็ยังเมตตากรุณาต่อคนในครอบครัวของเราด้วย
การจากไปของอาจารย์รื่นจึงทำให้เกิดความเศร้าโศกเสียใจเป็นอย่างยิ่ง รู้สึกว่าในแวดวงวรรณกรรมของเรานั้นได้สูญเสียบุคคลที่เป็นเลิศในทุกแง่มุม เป็นผู้มีเมตตาไปอย่างน่าเสียดาย
ตอนที่กราบอาจารย์รื่น ก็ขอพรให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ส่องทางนำดวงวิญญาณไปสู่ภพภูมิที่ดี กราบขอบคุณอย่างสูงสุดที่ได้กรุณาต่อพวกเรา เสร็จแล้วเอาหยิบขันทองเหลืองใบเล็ก ๆ ที่ลอยดอกไม้ไว้ในน้ำ รดมือของอาจารย์ เสร็จแล้วก็กราบอีกครั้งก่อนที่จะลุกออกมา
ตอนค่ำอยู่ฟังพระสวดอภิธรรมให้อาจารย์จนเสร็จสิ้นพิธีจึงได้กลับ
อยู่ในวัด ผมพยายามไม่ขยับหรือลุกเดินไปไหน อาการปวดเอวก็ยังคงที่ เดินไปไหนก็ต้องลุกขึ้นช้า ๆ ตั้งสมาธิแล้วก็ค่อย ๆ ย่างเท้าก้าวเดิน มีคนทักว่า ทำไมอ้วนขึ้น ผมว่า ช่วงโควิดกินกับนอนไม่ออกไปไหน ตอบแล้วก็ยิ้ม ไม่รู้จะพูดอะไรอีก
เคยเห็นศุ บุญเลี้ยงหงุดหงิดที่คนมาทักว่าอ้วนก็เข้าใจได้ เขาไม่ชอบให้ใครมาเที่ยวพูดในเรื่องทำนองนี้ เช่นทักว่าอ้วน หัวเถิก ผมหงอกเขาจะชักสีหน้าให้รู้ว่าไม่พอใจ ผมเห็นเขาไม่ชอบ ก็รู้ตัวโดยไม่ต้องให้ใครสอนว่าเราต้องไม่เอ่ยปากไปทักใครด้วยเรื่องแบบนี้ เช่นไปบอกว่า ไม่เจอกันแค่ปีเดียวทำไมหน้าแก่จัง หรือกินอะไรเข้าไป ทำไมถึงอ้วนได้ขนาดนี้ เป็นการพูดแบบที่ คนฟังไม่ชอบแน่นอน ผมคิดว่า ถ้านึกจะพูดอะไรไม่ออกก็นิ่งเสียก็ได้ ยกมือสวัสดีก้มศีรษะให้แล้วก็ยิ้มอย่างเดียวก็พอ
ผมฝากตัวเป็นลูกศิษย์อาจารย์รื่น กราบขออยู่ในใจที่จะเป็นลูกศิษย์อาจารย์โก้ เป็นน้องนุ่งของอาจารย์อี๊ด ทั้งสามเป็นผู้ดี มีสัมมาวาจา ซึ่งตรงกับคำสอนของพระว่า “มนุษย์ใดมีสัมมาวาจากับตัวก็จะสร้างความเจริญก้าวหน้าให้ชีวิต”, เป็นผู้คิดดี พูดดี ทำดี มาโดยตลอด อะไรที่พูดแล้วคนฟังไม่สบายใจก็จะไม่พูด อาจารย์รื่นนั้นเป็นแบบอย่างที่น่านิยมยกย่องมากในเรื่องนี้
พี่ปะการังก็เคยเขียนเล่าว่า ครั้งหนึ่งเจออาจารย์รื่นแล้วไม่ได้ทักเพราะจำไม่ได้ กลับมาบ้านก็เลยต้องเขียนไปขอโทษที่ไม่ทักทายสวัสดี อาจารย์รื่นตอบมาว่า “ไม่เป็นไร พี่เองก็ลืมบ่อย” และให้กำลังใจว่า “ติดตามอ่านข้อเขียนอยู่นะคะ” พี่ปะการังว่า เป็นเหมือนหยดน้ำอันชื่นใจที่อาจารย์รื่นมอบให้นักเขียนคนหนึ่ง
พี่อี๊ดเขียนกลอนถึงอาจารย์รื่นไว้บทหนึ่ง ผมชอบตรงที่ว่า
“เป็นอาจารย์ผู้ให้ไม่ทิ้งศิษย์ เมตตาจิตอบอุ่นการุณขวัญ เป็นวิทยากรถ่ายทอดในวงวรรณ เป็นกรรมการสารพันบรรดามี”
วันนี้ผมทำงานเสร็จ ก็นอนพักบนโซฟา นึกถึงอาจารย์แล้วใจหายขึ้นมาอีก ช่วงหลังอาจารย์รื่นโทรมาหาภรรยาผมด้วยความเป็นห่วงบ่อย ๆ มักจะถามเสมอว่า จิ๋วเป็นยังไงบ้าง และก็เล่าอาการป่วยของตัวเองให้ฟังเป็นการแลกเปลี่ยนความรู้สึก บางครั้งทั้งสองก็คุยกันนานสองนาน คิดถึงตรงนี้ ผมก็หันไปพูดกับภรรยาเบา ๆ ว่า "ต่อไปเราไม่มีอาจารย์รื่นให้ปรึกษาอีกแล้วนะ" ภรรยาผมถึงกับเบือนหน้าไปทางอื่น แล้วแอบเช็ดน้ำตาที่ไหลย้อยลงมา แต่ก็ไม่พูดอะไร ..... https://shopee.co.th/bannangsue?categoryId=100643...
|