ว่าจะเขียนเรื่องชีวิตการเรียนน้ำเน่าต่อก็ยังไม่มีเวลาและอารมณ์แต่บังเอิญถูกจุดประกายทางความคิดจากรายการทีวีว่าทำไมคนไทยพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ซะที ก็เลยจะขอเครียด ขอคิด ขอเขียนกับเขาด้วยคนค่ะ ในฐานะเคยคลุกวงใน(และอาจจะต้องกลับไปคลุกแล้วคลุกอีก)กับวงการสอนภาษาอังกฤษบ้านเราค่ะ ผู้รู้หลายๆคนก็พุดกันไปแล้วเรื่องเทคนิคที่นักเรียนจะไปใช้ในการพัฒนาตัวเองไปแล้วว่าทำอย่างไรถึงพูดได้ สื่อสารได้ เช่นต้องกล้า ต้องไม่อาย ต้องตั้งใจฝึก ฯลฯ และได้ลองมองปัญหาจากมุมมองของผู้เรียนไปมากแล้ว ดิฉันขอมองเรื่องนี้โดยมองถึงความบกพร่องของระบบบ้าง (อ้อ แล้วบุคคลที่อ้างอิง เช่น ครู นักเรียนนั้น ก็พูดถึงภาพรวมๆเท่าที่เห็นๆมานะคะ คนที่เป็นข้อยกเว้นก็มีอยู่เยอะแยะ) ----------------------------------------------------------------------------- เวลาที่เราออกมาพูดกันว่าเด็กไทยไม่สามารถพูดภาษาอังกฤษ หรือไม่ประสบความสำเร็จในการเรียนภาษาอังกฤษ ดิฉันคิดว่าส่วนใหญ่เราอ้างอิงมาจากผลการสอบโทเฟิลว่าเด็กไทยคะแนนสู้เพื่อนบ้านไม่ได้ และก็มองจากภาพรวมว่าคนไทยสื่อสารกับฝรั่งไม่รู้เรื่อง เจอฝรั่งแล้วก็วิ่งหนีก่อนเลย แต่ในเมื่อเราก็เรียนภาษาอังกฤษกันตั้งแต่อนุบาลจนถึงมหาวิทยาลัย ทำไมปัญหานั้นจึงยังเกิดขึ้นอยู่ ตามทฤษฎีการเรียนภาษา ดูเหมือนว่าหากเราเริ่มเรียนภาษาที่สองตอนเด็ก และได้รับฟัง ได้ยิน ได้คลุกคลีกับภาษาใดภาษานั้นๆมากพอ จากเจ้าของภาษา เราจะสามารถรับรู้ภาษานั้นได้โดยอัตโนมัติ อย่างเป็นธรรมชาติ (แม้ประเด็นนี้จะยังเป็นที่โต้เถียงกันก็ตาม แต่คนส่วนใหญ่ก็ดูเหมือนจะยอมรับมันกลายๆ) ดิฉันว่านั่นเป็นที่มาของการเริ่มเรียนภาษาอังกฤษแต่เด็ก แต่ทว่า ตอนเด็กๆเราเรียนอะไร เราแทบไม่เคยได้พูดภาษาอังกฤษยาวๆเลย เราได้พูดภาษาอังกฤษเป็นคำๆ ด้วยการออกเสียงและลงเสียงหนักเสียงเบาที่ถูกบ้างผิดบ้าง นั่นเป็นเพราะอะไร เพราะแม้แต่ครูภาษาอังกฤษเองยังไม่อยากจะพูดภาษาอังกฤษเลย ลองคิดย้อนกลับไปถึงครูสอนภาษาอังกฤษของคุณระดับประถมนะคะ ครูกี่คนที่พูดภาษาอังกฤษให้คุณเห็น พูดแบบที่สื่อสารจริงๆและสร้างความรู้สึกว่า อืม เราต้องเรียนภาษาอังกฤษเพื่อพูดให้ได้นะ กลับกลายเป็นว่าเราดันใช้ช่วงเวลาเด็กกับการอ่านออกเสียงเป็นคำๆ เรียนไวยากรณ์ แต่ไม่ได้มีโอกาสสื่อสาร ทั้งๆที่มันเป็นโอกาสทองของการพัฒนา และในขณะเดียวกัน ปัญหาการขาดแคลนครูก็น่าหนักอกยิ่งนักค่ะ มีคนกี่คนที่พูดภาษาอังกฤษกับฝรั่งได้รู้เรื่องจะยินยอมพร้อมใจที่จะมาสอนภาษาอังกฤษระดับประถมด้วยเงินเดือนเริ่มต้นประมาณเจ็ดพันบาท ไม่นับการที่คุณจะต้องทำหน้าที่อีกประมาณห้าร้อยประการ (เช่นไปค่ายลูกเสือกับนักเรียน ดูแลนักเรียนทำความสะอาด พร้อมๆกับอบรมจริยธรรม) ในขณะที่เพื่อนร่วมรุ่นของคุณมีเงินเดือนเริ่มต้นหลายหมื่นบาทหากเลือกไปดูแลผู้โดยสารอยู่บนเครื่องบิน แล้วทำไมครูถึงได้เงินเดือนน้อยขนาดนั้น ก็เป็นเพราะคนไม่ให้ความสำคัญกับอาชีพ และมองว่า ครูประถมก็คือ คน "เก่งน้อย ด้อยประสบการณ์กว่าครูมัธยม และอาจารย์มหาลัย" ซึ่งจริงๆแล้วไม่ควรจะเป็นเช่นนั้นเลยแม้แต่น้อย ดังนั้นหากต้องเลือกระหว่างจบครุศาสตร์แล้วไปเป็นแอร์กับสอนหนังสือโรงเรียนประถม จะมีกี่คนที่เลือกอย่างหลังด้วยความภาคภูมิใจในอาชีพพร้อมทั้งได้รับฉันทานุมัติจากพ่อแม่ หรืออีกเหตุการณ์หนึ่งที่เจอบ่อยก็คือ การสอนภาษาอังกฤษระดับประถมเป็นเพียง "อาชีพทางผ่าน" ของเด็กจบใหม่ คือมาสอนเล่นๆ รอไปเรียนต่อ หรือไม่ก็มาสอนเอาเงินกินขนมไปก่อน แล้วก็ลาออกอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า ในทางกลับกัน หากมองจากมุมมองของโรงเรียน เมื่อไม่สามารถหาครูที่มีคุณภาพ "ถึงเกณฑ์" ได้ วิธีที่ต้องดำเนินการต่อไปก็คือ การ "ลดเกณฑ์" ใครมาสมัคร คุณสมบัติพอได้ ก็เอาไว้ก่อน เพราะถ้าไม่รับใครไว้เลย ก็ไม่มีคนสอน และยิ่งเป็นพวกสอนได้หลายวิชายิ่งดี เช่น สอนเลข ภาษาอังกฤษ พลศึกษาได้ในเวลาเดียวกัน ดังนั้นครูชั้นประถมศึกษาบางคนจึงไม่มีความมั่นใจแม้กระทั่งจะพูดภาษาอังกฤษออกมา หากเรามองประเทศเพื่อนบ้าน อย่างเช่นประเทศไต้หวัน เกาหลี ฯลฯ ครูสอนภาษาอังกฤษในระดับประถม มัธยม ต้องจบปริญญาโทด้านการสอนภาษาอังกฤษ อาชีพครูเป็นอาชีพที่มีการแข่งขันสูง คนอยากมีอาชีพสอนหนังสือ เพราะมีเกียรติและได้รับค่าตอบแทนที่ดี และเขาให้ความสำคัญกับการเรียนการสอนภาษาอังกฤษตั้งแต่ในระดับโรงเรียน คนจากประเทศดังกล่าวมักแสดงความแปลกใจมากกว่าในประเทศไทยคนจบปริญญาโทด้านการสอนภาษาอังกฤษสามารถเข้าสอนภาษาอังกฤษในระดับมหาวิทยาลัยได้ด้วย ประเทศเขา แม้แต่คนจบปริญญาเอกยังไม่สามารถหางานทำในมหาลัยได้ง่ายๆเลย (โดยส่วนตัวดิฉัน ไม่ได้เห็นว่าใบปริญญามีความสำคัญขนาดนั้นนะคะ ความรู้ที่ไม่น้อยเกินไปบวกกับความตั้งใจสอนสำคัญกว่าใบปริญญาเป็นหลายๆๆๆเท่า) เอาหละคะ สมมติว่าเราได้ครูที่มีความรู้ ความสามารถ เรียนทฤษฎีการเรียนการสอนมาอย่างเชี่ยวชาญ มีประสบการณ์ หากครูมาเจอขนาดห้องเรียนที่มีนักเรียนห้าสิบคน แถมอยู่ในโรงเรียนที่มีบรรยากาศเสียงดังจ๊อกแจ๊กจอแจ จะมีนักเรียนคนไหนที่มีสมาธิเรียนและจะมีครูคนไหนที่สามารถดึงความสนใจของนักเรียนห้าสิบคนให้อยู่กับที่ พร้อมๆกับทำกิจกรรมพูดภาษาอังกฤษในห้องเรียนได้บ้าง แค่จะให้นั่งเรียบร้อยฝึกฟัง อ่าน เขียน ยังยากเลยค่ะ และในเมื่อการเป็นสิ่งที่ครูก็ไม่ถนัด บรรยากาศก็ไม่อำนวย ครูหลายๆคนก็เลือกที่จะให้นักเรียน ฟัง อ่าน เขียน มากกว่าพูด เพราะมันควบคุมได้มากกว่า เห็นผลชัดเจนกว่า ตรวจให้คะแนนง่ายกว่า ------------------------------------------------------------ พอขึ้นไประดับมัธยม ปัญหาเดิมคือห้องเรียนขนาดใหญ่และคุณภาพของครูก็ยังคงมีอยู่ค่ะ แต่ปัญหาใหม่ที่เพิ่มมาก็คือ นักเรียนไม่ได้ให้ความสำคัญกับการอยากพูด อยากเขียน อยากฟังเท่าไหร่แล้ว แต่นักเรียนอยากสอบเอเนต โอเนต ให้ได้คะแนนดีค่ะ ถ้าเกิดมีครูฟิตๆไปสอนให้นักเรียนพูด ฟัง อ่าน เขียน ในขณะที่นักเรียนต้องการให้ครู"ติว" เพื่อสอบเอเนต โอเนตอะไรนั่น ก็กลายเป็นว่าดีมานด์กับซัพพลายสวนทางกันอีก สู้ไปเรียนโรงเรียนติวดีกว่า เพราะมีเทคนิคการจำคำศัพท์และเลือกคำตอบในข้อสอบ ก็กลับกลายเป็นว่าเด็กเอ็นต์ติดเพราะรู้วิธีทำข้อสอบมากกว่ามีทักษะในภาษา เอาหละ พอนักเรียนหนีไปโรงเรียนติวหมด ครูมัธยมก็ต้องเริ่มสอนแนวติวบ้างตามความต้องการของนักเรียน ดังนั้น การฝึกทักษะ ก็ลืมไปได้เลยค่ะ (ผลพวงของปรากฎการณ์ดังกล่าวก็คือนักเรียนอาจจะจำคำศัพท์ได้เป็นหลายร้อยคำ แต่พอมาถึงระดับมหาวิทยาลัย อาการพูดไม่ได้เรื้อรังมันและอาการเอาความรู้คำศัพท์ โครงสร้างและไวยากรณ์มาใช้ไม่ถูก มาเขียนเป็นประโยคไม่ได้ ก็จะออกฤทธิ์อย่างรุนแรงค่ะ กล่าวคือ นักเรียนมีความรู้มท่วมหัวแต่เอาตัวไม่ค่อยจะรอด) อีกประการหนึ่ง ต้องยอมรับค่ะว่าการสอนนักเรียนมัธยมไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะเหมือนเด็กเล็กที่ทำให้ตื่นเต้นและหลอกล่อได้ง่ายกว่า หากครูทำให้บทเรียนน่าเบื่อ นักเรียนก็หนีเรียนอีกตามเคยหละค่ะ ทีนี้ ผลพวงของการเบื่อของนักเรียนระดับมัธยมมันก็ร้ายแรงกว่าระดับประถมนะคะ ตอนอยู่ประถม พ่อแม่ก็ต้องสอนการบ้าน อย่างน้อย ลูกก็ต้องคัด เอ ถึงแซด และคำศัพท์อะไรง่ายๆได้บ้าง แต่พอมาเป็นระดับมัธยม ถ้าลูกคุณไม่ทำการบ้าน พ่อแมสักกี่คนที่จะรู้ พอไม่ทำการบ้านไปเรื่อยๆ ก็กลายเป็นไม่รู้ พอไม่รู้ก็ไม่อยากเรียนไปเรื่อยๆๆๆๆๆ ดิฉันว่ามัธยมเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญกับการเรียนการสอนภาษาอังกฤษมากๆค่ะ การเลือกวิธีสอนและตัวครูผู้สอนเป็นสิ่งสำคัญจริงๆนะคะ ดิฉันจำได้ว่า ดิฉํนเคยเข้าไปในโรงเรียนมัธยมแห่งหนึ่งซึ่งครูให้นักเรียนอ่านออกเสียงเหมือนท่องอาขยานเป็นการฆ่าเวลา ไม่ได้มีการอธิบายอะไรใดๆ หรือแม้จะให้อ่านออกเสียงดังๆ ก็ไม่ได้มีการแก้การออกเสียงผิดๆของนักเรียนด้วยซ้ำ เห็นแล้วเห็นใจนักเรียนค่ะ แล้วนักเรียนที่ไหนจะเงยหน้ามองครูล่ะคะ ทุกคนก็ก้มหน้าเล่นโทรศัพท์มีอถือส่งข้อความกันเป็นแถว ไม่ว่าหน้าห้องหรือหลังห้อง การเลือกตำราก็เป็นสิ่งสำคัญค่ะ ตำราที่ใช้ในปัจจุบันส่วนใหญ่ก็เป็นพวก commercial texts ซึ่งบางครั้ง รูปสวยก็จริง แต่ก็ดูจะcultural specific มากเกินไป ไม่เหมาะกับนักเรียนไทย หรือตำราที่สร้างขึ้นเอง บางครั้งก็จะมีแต่หลักไวยากรณ์ๆๆๆๆๆๆ ดิฉันว่า คงไม่เป็นเรื่องขอขาดบาดตายหรอกนะคะ ที่ครูจะเอาเรื่องชีวิตรักของเดวิด วิคตอเรีย เบคแฮมมาสร้างสีสันเป็นครั้งคราว หรือดึงเรื่องที่ใกล้ๆตัว ล่อใจให้นักเรียนมาออกมาพูด มาเขียนอ่าน แสดงความเห็น หรือแม้กระทั่งให้ดูการ์ตูนง่ายๆ อีกประการหนึ่งคือ ครูมัธยมบ้านเราขาดโอกาสที่จะได้พัฒนาตนเองเท่าไหร่ และอาจจะมีอาการหมดไฟหากสอนไปสักพักหนึ่ง มีโรงเรียนหลายโรงเรียนที่ดิฉันชื่นชมนะคะ ที่มีการส่งครูไปเมืองนอกเพื่อได้ไปรู้ไปเห็นวัฒนธรรมและการเรียนการสอนของประเทศอื่นๆ นอกจากนั้น ครูยังไม่ค่อยมีโอกาสแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและเทคนิคการสอนกันอย่างจริงๆจังระหว่างครูมัธยมด้วยกันเอง บรรยากาศในห้องพักครูก็จะเต็มไปด้วยการคุยกันว่าลูกดิฉัน สามีดิฉันเป็นอย่างงี้ อย่างงั้น อย่างโง้น (หรือไม่ก็นินทาเด็ก) น้อยครั้งนักที่จะได้ยินการระดมสมองเพื่อเปลี่ยนแปลงอะไรสักอย่าง (เข้าใจค่ะว่าแค่สอนก็เหนื่อยแล้ว แต่บางครั้ง การคุยกันทางวิชาการก็จำเป็นเช่นกัน) -------------------------------------------------------------------- เอาหละค่ะ เอาเป็นว่าพอนักเรียนผ่านด่านมาได้ถึงระดับมหาวิทยาลัย ครูมหาวิทยาลัยก็เจอนักเรียนที่มีความสามารถภาษาอังกฤษหลากหลายมากๆ เช่น พูดไม่ได้เลย ใช้เทนส์ยังไม่ถูกด้วยซ้ำ กับพวก ลูกครึ่งแปลงกายมาเอง เอาหล่ะ จะสอนยังไงหล่ะทีเนี้ย ครูมหาลัยส่วนใหญ่ก็มีความรู้ความสามารถในระดับพอไปวัดไปวาได้บ้าง แต่ครูมหาลัยหลายๆคนก็มีทัศนคติว่าชั้นสอนมหาลัยแล้ว คงไม่ต้องเสียเวลาไปจ้ำจี้จ้ำไชกับเธอแล้วนะ พูดภาษาอังกฤษได้หรือไม่เป็นเรื่องของเธอ ชั้นจะให้ความรู้เธอเท่าที่ชั้นจะให้นี้ จงไปทำอย่างไรก็ได้ให้มีความสามารถเพื่อที่จะได้เกรดเอ บี ซี หรือดี ตามที่เธอต้องการ (ซึ่งดิฉํนคิดว่าอาจารย์มหาวิทยาลัยจะคิดอย่างนี้ก็อาจจะไม่ผิดหากนักเรียนจบมัธยมมาแบบมีคุณภาพพอตัว แต่ความจริงมันไม่ได้เป็นเช่นนั้น นักเรียนบางคนยังต้องการความช่วยเหลืออย่างรุนแรงด้านภาษาอังกฤษ รุนแรงจริงๆค่ะ ประเภทยังใช้ สรรพนามบุรุษที่หนึ่งกับ is) หรือพูดอะไรไม่ได้เลยจริงๆ แต่ก็อีกหละนะคะ อาจารย์มหาลัยปัจจุบันก็มีหน้าที่ต้องมุ่งผลิตผลงานวิจัยให้พอเพียงกับความต้องการของมหาลัยเพื่อนำไปประกันคุณภาพ ทำงานบริหารอีกหลายร้อยอย่าง พร้อมทั้งสอนพิเศษเพื่อหารายได้ให้พอเลี้ยงลูกเมีย การสอนภาคปกติก็เลยกลายเป็นเรื่องรองๆลงไปและเป็นความรับผิดชอบของผู้เรียนส่วนใหญ่ ดังนั้น ผู้เรียนที่มีความรับผิดชอบก็จะเริ่มกลับตัวในช่วงมหาลัย ออกไปเรียนฟัง พูด อ่าน เขียนบ้าง แต่สำหรับบางคนที่เรียนภาษาอังกฤษแค่เพียงพอผ่าน ตามข้อบังคับของหลักสูตร (ซึ่งบังคับแค่สามสี่วิชาสำหรับหลายๆคณะ)ก็คงยังพูดไม่ได้ต่อไป อีกประการหนึ่งที่ประสบมาก็คือ หาคนที่จะมาสอนภาษาอังกฤษในระดับมหาวิทยาลัย ทั้งอาจารย์ไทยและอาจารย์ฝรั่งที่มีคุณภาพหายากจริงๆค่ะ ระบบราชการบางครั้งก็เป็นข้อจำกัดทำให้คนดีๆหนีไปค่ะ เช่น ถ้าคุณเป็นลูกครึ่ง แต่สัญชาติไทย ก็ถือได้ว่าคุณไม่ได้เป็นอาจารย์ฝรั่งทั้งๆที่ภาษาอังกฤษเป็นภาษาแม่ ดังนั้นคุณเลยต้องรับเงินเดือนอัตราอาจารย์ไทย แล้วใครที่ไหนจะมาสอนหล่ะคะ สำหรับฝรั่ง ใบสมัครมีมาเป็นร้อยค่ะ เนื่องจากมีฝรั่งประเภทมาเที่ยวเล่นๆแล้วลองมาสมัครขำๆแต่น้อยคนนักที่จะอยู่ทนเพราะเงินเดือนไม่พอกิน ฝรั่งที่มาสมัครก็มีประหลาดๆค่ะเช่น บางคน กรอกใบสมัครว่าที่อยู่คือ ถนนข้าวสาร แบบไม่ให้แม้กระทั่งชื่อเกสต์เฮ้าส์น่ะค่ะ บางคนทำทรานคริปต์และปริญญาบัตรปลอมมาสมัคร บางคนมาสอแล้วเขียนภาษาอังกฤษไม่รู้เรืองก็มีถมไปค่ะ ---------------------------------------------------------------------------- พอนักเรียนจบมหาวิทยาลัยไปทำงานและรำลึกได้ว่าตัวเองพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ เรียนต่อไม่ได้ ทำงานก็ไม่ไดเลื่อนขั้น ก็ตัดสินใจมาเรียนพิเศษภาษาอังกฤษตอนเย็น หลายๆคนเสียเงินเรียนแล้วก็ไม่มีเวลามา เพราะเหนื่อยจากการทำงาน และถึงมาเรียนก็ไม่มีเวลาทบทวน หรือทำการบ้านมาค่ะ ------------------------------------------------------------------------------ คนส่วนใหญ่เกือบครึ่งของประเทศผ่านการเรียนการสอนแบบที่กล่าวมาตั้งแต่ต้น เจอกับคุณครูแบบที่กล่าวมาตั้งแต่ต้น และเรียนอยู่ในระบบที่กล่าวมาตั้งแต่ต้น ดังนั้น ไม่ต้องแปลกใจค่ะว่าทำไมคนไทยถึงพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ ดิฉํนมองทุกคนด้วยความเห็นใจและเข้าใจค่ะ ไม่ว่าจะเป็นครูประถม มัธยม มหาลัย นักเรียน หรือผู้บริหารโรงเรียน เพียงแต่แค่คิดว่า ถ้าทุกคนเริ่มแก้ปัญหาจากตัวเองก่อน เช่นเป็นนักเรียนก็ขวนขวายอย่างเต็มที่และเป็นครูก็ให้ความสำคัญกับการสอนพอๆกับการหาเงินเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง หรือสร้างตำแหน่งทางวิชาการ ภาษาอังกฤษของนักเรียนบ้านเราก็คงน่าจะดีขึ้นบ้าง ไม่มากก็น้อย |
ถึง บล็อกเกอร์ ทุกท่าน โปรดอ่าน
ด้วยทาง บริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จำกัด (มหาชน) ได้ติดต่อขอความร่วมมือ มายังเว็บไซต์และเว็บบล็อกต่าง ๆ รวมไปถึงเว็บบล็อก OKnation
ห้ามให้มีการเผยแพร่ผลงานอันมีลิขสิทธิ์ ของบริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ฯ บนเว็บ blog โดยกำหนดขอบเขตของสิ่งที่ห้ามทำ และสามารถทำได้ ดังนี้
ห้ามทำ - การใส่ผลงานเพลงต้นฉบับให้ฟัง ทั้งแบบควบคุมเพลงได้ หรือซ่อนเป็นพื้นหลัง และทั้งที่อยู่ใน server ของคุณเอง หรือ copy code คนอื่นมาใช้ - การเผยแพร่ file ให้ download ทั้งที่อยู่ใน server ของคุณเอง หรือฝากไว้ server คนอื่น สามารถทำได้ - เผยแพร่เนื้อเพลง ต้องระบุชื่อเพลงและชื่อผู้ร้องให้ชัดเจน - การใส่เพลงที่ร้องไว้เอง ต้องระบุชื่อผู้ร้องต้นฉบับให้ชัดเจน จึงเรียนมาเพื่อโปรดปฎิบัติตาม มิเช่นนั้นทางบริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ฯ จะให้ฝ่ายดูแลลิขสิทธิ์ ดำเนินการเอาผิดกับท่านตามกฎหมายละเมิดลิขสิทธิ์
OKNATION
กฎกติกาการเขียนเรื่องและแสดงความคิดเห็น
1 การเขียน หรือแสดงความคิดเห็นใด ๆ ต้องไม่หมิ่นเหม่ หรือกระทบต่อสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ หรือกระทบต่อความมั่นคงของชาติ
2. ไม่ใช้ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่นในทางเสียหาย หรือสร้างความแตกแยกในสังคม กับทั้งไม่มีภาพ วิดีโอคลิป หรือถ้อยคำลามก อนาจาร 3. ความขัดแย้งส่วนตัวที่เกิดจากการเขียนเรื่อง แสดงความคิดเห็น หรือในกล่องรับส่งข้อความ (หลังไมค์) ต้องไม่นำมาโพสหรือขยายความต่อในบล็อก และการโพสเรื่องส่วนตัว และการแสดงความคิดเห็น ต้องใช้ภาษาที่สุภาพเท่านั้น 4. พิจารณาเนื้อหาที่จะโพสก่อนเผยแพร่ให้รอบคอบ ว่าจะไม่เป็นการละเมิดกฎหมายใดใด และปิดคอมเมนต์หากจำเป็นโดยเฉพาะเรื่องที่มีเนื้อหาพาดพิงสถาบัน 5.การนำเรื่อง ภาพ หรือคลิปวิดีโอ ที่มิใช่ของตนเองมาลงในบล็อก ควรอ้างอิงแหล่งที่มา และ หลีกเลี่ยงการเผยแพร่สิ่งที่ละเมิดลิขสิทธิ์ ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบหรือวิธีการใดก็ตาม 6. เนื้อหาและความคิดเห็นในบล็อก ไม่เกี่ยวข้องกับทีมงานผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซต์ โดยถือเป็นความรับผิดชอบทางกฎหมายเป็นการส่วนตัวของสมาชิก คลิ้กอ่านเงื่อนไขทั้งหมดที่นี่"
OKnation ขอสงวนสิทธิ์ในการปิดบล็อก ลบเนื้อหาและความคิดเห็น ที่ขัดต่อความดังกล่าวข้างต้น โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ต่อเจ้าของบล็อกและเจ้าของความคิดเห็นนั้นๆ
|
||
![]() ![]() |
<< | กรกฎาคม 2007 | >> | ||||
อา | จ | อ | พ | พฤ | ศ | ส |
1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 |
8 | 9 | 10 | 11 | 12 | 13 | 14 |
15 | 16 | 17 | 18 | 19 | 20 | 21 |
22 | 23 | 24 | 25 | 26 | 27 | 28 |
29 | 30 | 31 |