นีซ         เมืองทางภาคใต้ของฝรั่งเศส  เป็นเมืองที่มี หาดทราย กรวด และน้ำทะเลสีฟ้าใสสะอาด เป็นเมืองตากอากาศชื่อดังของฝรั่งเศส  ที่ บรรดามหาเศรษฐี และนักท่องเที่ยวผู้ชื่นชอบสายลมและแสงแดด นิยมเดินทางมาพักผ่อน

แต่เมื่อวันที่ 14 กรกฎาคมที่ผ่านมา ขณะที่ผู้คนกำลังออกจากงานแสดงพลุไฟ ฉลองวันชาติฝรั่งเศส หรือ วันบาสตีย์ (Bastille Day) มีรถบรรทุกขนาดใหญ่  วิ่งด้วยความเร็วสูงไป บนถนน เด ซองเกรส์ ถนนเลียบชายหาด โพรเมอนาด เดซ็องเกลส์ ที่เมืองนีซ และขับตะลุยพุ่งเข้าชนฝูงชนเป็นระยะทางกว่า 2 กิโลเมตร จนทำให้ผู้คนหลายร้อยต้องวิ่งหนีตายอลหม่านส่วนผู้เคราะห์ร้ายที่หนีไม่ทันก็ต้องกลายเป็นศพเกลื่อนถนนทำให้มีผู้เสียชีวิต 84 คน บาดเจ็บกว่า 100 คน ในจำนวนนี้มีอยู่ 18 คนที่อาการอยู่ในขั้นวิกฤต

สำนักข่าวเอเอฟพี แจ้งว่า คนร้ายที่ขับรถบรรทุกพุ่งชนฝูงชนอย่างบ้าคลั่ง ถูกยิงเสียชีวิตในที่เกิดเหตุ โดยตำรวจพบเอกสารที่ระบุชื่อชายชาวฝรั่งเศสเชื้อสายตูนิเซีย วัย 31 ปี  อยู่ภายในรถบรรทุกคันก่อเหตุ รวมถึง “ปืน” และ “อาวุธที่ร้ายแรงยิ่งกว่านั้น” อีกจำนวนหนึ่ง

นายกเทศมนตรีคริสติยอง เอสโตรซี่ และ เจ้าหน้าที่ตำรวจ รวมถึงเจ้าหน้าที่อื่นๆของจังหวัด อาลป์ส-มารีตีมส์ ออกมาขอร้องให้ประชาชนอยู่แต่ในบ้าน พร้อมทั้งประกาศอย่างเป็นทางการว่า "เป็นการบุกโจมตี" 

ขณะที่ ประธานาธิบดีฟรองซัวส์ ออลลองด์ ของฝรั่งเศสได้รีบเดินทางจากเมือง Avignon กลับกรุงปารีส เพื่อประชุมฉุกเฉินทันทีหลังเกิดเหตุก่อการร้ายสุดสลด และประธานาธิบดีฝรั่งเศสออกมายืนยันว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเข้าข่าย “ก่อการร้าย” มีเด็กหลายคนอยู่ในหมู่ผู้เสียชีวิต และฝรั่งเศสจะขยายเวลาบังคับใช้ภาวะฉุกเฉินต่อไปอีก 3 เดือน

โศกนาฏกรรมที่เมืองนีซจะถือเป็นการโจมตีฝรั่งเศสครั้งที่ 3 ที่เกิดขึ้นในระยะเวลาไม่ถึง 18 เดือน

ก่อนหน้านี้ 8 เดือน นักรบของกลุ่มติดอาวุธรัฐอิสลาม (ไอเอส) ก็ได้ก่อเหตุโจมตีพร้อมกันหลายจุดที่กรุงปารีส จนเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตถึง 130 คน ซึ่งบั่นทอนภาพลักษณ์ของปารีสในฐานะเมืองซึ่งเป็นจุดหมายปลายทางอันดับต้นๆที่พึงปรารถนา ของนักท่องเที่ยวทั่วโลก

ช่วงต้นปี  เกิดเหตุกราดยิงสำนักงานนิตยสาร “ชาร์ลี เอ็บโด” และซุปเปอร์มาร์เก็ตยิว มีผู้เสียชีวิต 17 ราย

กลุ่มติดอาวุธ IS ได้ประกาศย้ำหลายครั้งว่าฝรั่งเศสคือ “เป้าหมายหลัก” ของพวกเขา เนื่องจากแค้นใจที่รัฐบาลปารีสใช้ปฏิบัติการทางทหารต่อต้านนักรบไอเอสทั้งในอิรักและซีเรีย   นักรบญิฮาดจากฝรั่งเศสหลายร้อยคนได้เดินทางไปต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับไอเอสในตะวันออกกลาง     

หากการสอบสวนพบว่าเป็นการก่อการร้าย ปฏิบัติการครั้งนี้ ถือเป็นโศกนาฏกรรมที่เหี้ยมโหดที่สุด เชื่อว่าจะไม่มีองค์กรใดประกาศรับผิดชอบ และแน่นอน ไม่ว่าจะเกิดเหตุอย่างใด ฝรั่งเศสจะยังคงดำเนินปฏิบัติการทางทหารในซีเรียและอิรักต่อไป…