การลงนามในบันทึกความเข้าใจร่วม (MOU) ว่าด้วยการขยายความร่วมมือเพื่อการส่งเสริม การพัฒนาอย่างยั่งยืนในเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายในสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์หรือพม่า ซึ่งเป็นการลงนามร่วมกันระหว่างนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีไทย กับพล.อ.เต็ง เส่ง ประธานาธิบดีพม่า เมื่อครั้งที่เดินทางมาเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการในช่วงปลายเดือน กรกฎาคม 2012 นั้นถือเป็นความคืบหน้าครั้งแรกของความพยายามของฝ่ายไทยในอันที่จะเชื่อม โยงเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายในพม่าเข้ากับนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุดและแหลมฉบังในทะเล ตะวันออกของไทย หลังจากที่โครงการนี้มีอันต้องเงียบหายไปนับตั้งแต่ปี 2008 เป็นต้นมา เพราะ พิษภัยทางการเมืองในไทยเป็นต้นเหตุ
ยิ่งไปกว่านั้น โครงการที่ว่านี้ยังได้รับการแต่งเติมให้มีสีสันมากขึ้นไปอีก เมื่อปรากฏว่ารัฐบาล ไทยภายใต้การนำของนางสาวยิ่งลักษณ์นั้นได้ร่วมกับ ยัน ทุน รองประธานาธิบดีพม่า ในการเป็น สักขีพยานในพิธีแลกเปลี่ยนเอกสารว่าด้วยการจัดตั้งกลไกคณะกรรมการร่วมระดับสูงระหว่าง ไทยกับพม่าเพื่อให้รับผิดชอบโครงการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายและโครงการที่เกี่ยวข้อง ดังกล่าวอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 2012
นอกจากนี้ เนื่องจากว่าการแลกเปลี่ยนเอกสารสำคัญดังกล่าวยังเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนที่ อดีตนายกรัฐมนตรีอย่าง ทักษิณ ชินวัตร จะพบปะเจรจาร่วมกับพล.อ.เต็ง เส่ง ที่กรุงเนย์ปิดอว์ เพียงวันเดียวเท่านั้นด้วยแล้ว จึงทำให้ดูเหมือนว่าทั้งรัฐบาลไทยและรัฐบาลพม่าได้มีสัญญาร่วม กันอย่างเป็นมั่นเป็นเหมาะแล้วว่าจะเดินหน้าโครงการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายและโครง การที่เกี่ยวข้องในพม่าต่อไปอย่างไม่หยุดยั้งอย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตาม ปัญหาในเวลานี้ก็คือว่ารัฐบาลไทยจะนำเงินทุนมาจากแหล่งใด เพราะการที่จะ ดำเนินการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายและโครงการที่เกี่ยวข้องในพม่านั้น จะต้องใช้เงินทุน ขั้นต้นไม่น้อยกว่า 58,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐหรือมากกว่า 1.7 ล้านล้านบาทสำหรับใช้ในการ พัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ เช่นโรงไฟฟ้า ท่าเรือน้ำลึก และ ถนนเชื่อมต่อจากทวายมา ที่จังหวัดกาญจนบุรี เป็นต้น
ซึ่งถ้าหากว่าการปฏิบัติที่เป็นจริงในระยะต่อไปนี้ยังคงเป็นเช่นในช่วงที่ผ่านมากล่าวคือกลุ่มอิตัล ไทยที่ได้รับสัมปทานโครงการทั้งหมดจากรัฐบาลพม่าเมื่อกว่า 2 ปีมาแล้วนั้น แต่ก็ไม่สามารถ ที่จะขับเคลื่อนโครงการได้เลย เพราะขาดแหล่งสนับสนุนทางด้านเงินทุนมาโดยตลอดนั้นก็ได้ ยังผลทำให้รัฐบาลพม่าเกิดความไม่พอใจเป็นอย่างมาก ถึงขนาดที่ทำให้ต้องสั่งให้ยกเลิกโครง การก่อสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินที่ที่อยู่ในเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายมาแล้วเมื่อต้นปีนี้
แน่นอนว่าการสั่งยกเลิกโครงการก่อสร้างโรงไฟฟ้าดังกล่าวนี้โดยทางการรัฐบาลพม่านั้นย่อมจะ สร้างความวิตกกังวลให้กับเอกชนไทยผู้ลงทุนในโครงการอย่างกลุ่มอิตัลไทยอยู่ไม่น้อย แต่สำ หรับทางการรัฐบาลทหารพม่าที่แปลงร่างมาเป็นรัฐบาลพลเรือนอย่างสมบูรณ์แบบตามวิถีของ การเลือกตั้งทั่วไปในปลายปี 2010 ที่ผ่านมาแล้วนั้นย่อมไม่เพียงจะถือว่าเป็นการส่งสัญญาณให้ ฝ่ายไทยได้เห็นถึงความมิพึงพอใจดังกล่าวเท่านั้น หากยังถือเป็นการเสี่ยงที่น่าจะคุ้มค่าอย่างยิ่ง
ทั้งนี้เพราะการตัดสินใจยกเลิกโครงการก่อสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินขนาด 4,000 เมกะวัตต์ ด้วย เหตุผลที่ว่าเพื่อเป็นการอนุรักษ์สภาพแวดล้อมธรรมชาติ และป้องกันมิให้เกิดผลกระทบต่อวิถี ชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนในท้องถิ่นนั้นๆ นอกจากจะสามารถสร้างภาพพจน์ของการเห็น ความสำคัญของสิ่งแวด ล้อมธรรมชาติและการเคารพต่อสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานของประชาชน ให้กับรัฐบาลพม่าได้ในระดับหนึ่งแล้ว การตัดสินใจเช่นนี้ของรัฐบาลพม่าก็ยังจะนำมาซึ่งการยอม รับจากนานาชาติมากขึ้นอีกด้วย
แน่นอนว่าเหตุการณ์เช่นนี้ย่อมมิใช่สิ่งที่จะเกิดขึ้นได้โดยไม่มีการวางแผนแต่อย่างใด หากถือ เป็นความชาญฉลาดโดยแท้ของผู้นำในพม่าที่ได้กำหนดจังหวะก้าวต่างๆไว้อย่างเป็นขั้นตอน อยู่แล้ว ซึ่งก็จะเห็นได้จากการดันร่างรัฐธรรมนูญออกมาบังคับใช้จนเป็นผลสำเร็จในปลายปี 2008 ต่อเนื่องด้วยการจัดการเลือกตั้งทั่วไปในปลายปี 2010 แล้วจัดตั้งเป็นรัฐบาลพลเรือนและ ครองอำนาจทางการเมืองในพม่าโดยชอบธรรมเรื่อยมาจนเท่าทุกวันนี้ ทั้งก็ยังเชื่อว่าจะยังคง ครองอำนาจต่อไปอีกนานถ้าหากรัฐบาลพม่ายังจะแสดงออกในสิ่งที่ชาญฉลาดและเป็นที่ยอม รับของนานาชาติเช่นนี้ต่อไป
โดยกรณีตัวอย่างหนึ่งที่ทำให้รัฐบาลพม่ามีความมั่นใจว่า การตัดสินใจดำเนินในแนวทางนี้ จะทำให้ตนได้รับผลตอบแทนอย่างคุ้มค่านั้น ก็คือการตัดสินใจให้หยุดโครงการก่อสร้างเขื่อน มิตสอน (Myitsone) โดยการประกาศของประธานาธิบดี เต็ง เส่ง เมื่อปลายปี 2011 ที่ไม่เพียง จะทำให้ประชาชนในรัฐคะฉิ่นและบรรดาองค์กรอนุรักษ์สภาพแวดล้อมธรรมชาติทั้งหลาย ทั้งในระดับท้องถิ่นและระดับสากลเท่านั้นที่ได้แสดงความชื่นชมต่อการตัดสินใจดังกล่าว หากยังทำให้มหาอำนาจของโลกอย่างสหรัฐอเมริกานั้นได้แสดงการชื่นชมอย่างออกหน้า ออกตาอีกด้วย เพราะว่าการตัดสินใจดังกล่าวของ เต็ง เส่ง นั้นถือเป็น การขัดผลประโยชน์ ของจีนในพม่าอย่างเปิดเผยเป็นครั้งแรกด้วย
ยิ่งไปกว่านั้น การตัดสินใจดังกล่าวนี้ของ เต็ง เส่ง ก็นับว่าคุ้มค่าเป็นอย่างยิ่ง เมื่อประธานาธิบดี สหรัฐฯ อย่าง บารัก โอบามา นั้นได้ประกาศอย่างชัดเจนในโอกาสร่วมประชุมสุดยอดผู้นำอา เซียนครั้งที่ 19 ที่เกาะบาหลี ประเทศอินโดนีเซีย ในช่วงเดือนพฤศจิกายน 2011 ที่ผ่านมาว่ารัฐ มนตรีว่าการต่างประเทศของสหรัฐฯ ฮิลลารี คลินตัน จะเดินทางไปเยือนกรุงย่างกุ้งและเมืองเน ปิดอว์ในต้นปี 2012 ซึ่งก็เกิดขึ้นจริงตามการประกาศดังกล่าว
ครั้นเมื่อสหรัฐฯ ได้เริ่มแง้มประตูเพื่อที่จะทำการคบค้าสมาคมกับรัฐบาลพม่าเช่นนี้ (หลังจากที่ เป็นตัวตั้งตัวตีในการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจต่อรัฐบาลทหารพม่านับตั้งแต่ปี 1996 เป็นต้นมา) ก็ได้ยังผลทำให้นานาชาติหันมาให้ความสำคัญกับการเรียกร้องให้มีการยุติการคว่ำบาตรต่อรัฐ บาลพม่ามากขึ้นติดตามมาโดยมีกลุ่มอาเซียนที่พม่าเป็นสมาชิกอยู่ด้วยนั้นเป็นตัวตั้งตัวตี ติดตาม ด้วยรัฐบาลออสเตรเลียนั้นก็ถึงกับได้ประกาศยกเลิกรายชื่อนายทหารพม่าที่ถูกห้ามเดินทางเข้า ไปในออสเตรเลียอีกต่างหาก
ส่วนรัฐบาลญี่ปุ่น อังกฤษ สหภาพยุโรปรวมถึงสหรัฐฯด้วยนั้น ถึงแม้ว่าจะยังคงวางท่าด้วยการ วางเงื่อน ไขให้รัฐบาลพม่าปฏิบัติตามในเรื่องต่างๆนานาก่อนที่จะพิจารณายกเลิกการคว่ำบาตร ดังกล่าวก็ตาม แต่นั่นก็เป็นเพียงแบบวิธีปฏิบัติทางการทูตเท่านั้น เพราะในความเป็นจริงแล้ว ทุกประเทศต่างก็เกรงว่าการยึดมั่นถือมั่นตามแบบวิธีดังกล่าวนี้ ย่อมจะทำให้ตนต้องเสียโอกาสใน การที่จะเสริมสร้างผลประโยชน์ในพม่าได้หรือตามไม่ทันประเทศอื่นเป็นแน่
ดังจะเห็นได้อย่างชัดเจนจากการที่ โคอิจิโร เกมบะ รัฐมนตรีว่าการต่างประเทศของญี่ปุ่น ได้ตก ลงร่วมกับ วันนา หม่อง วิน รัฐมนตรีว่าการต่างประเทศของพม่าว่า จะเร่งจัดทำข้อตกลงทวิภาคี ว่าด้วยการส่งเสริมการลงทุนระหว่างญี่ปุ่นกับพม่าเพื่อให้มีผลบังคับใช้อย่างเป็นทางการให้เร็ว ที่สุดเพื่อที่ว่าจะได้ทำ ให้การลงทุนของญี่ปุ่นในพม่านั้นไล่ตามทันจีนและไทยให้ได้
รายงานล่าสุดของกระทรวงแผนการและการพัฒนาเศรษฐกิจแห่งสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียน มาร์ (ชื่อใหม่อย่างเป็นทางการของพม่า) ระบุว่าการลงทุนของต่างประเทศในพม่ามีมูลค่าสะสม กว่า 4 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ เมื่อปลายเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมานี้ โดยประเทศที่มีมูลค่าการ ลงทุนในพม่ามากที่สุดนั้นก็ได้เปลี่ยนมือจากประเทศไทยมาเป็นจีนอย่างเบ็ดเสร็จแล้วในเวลานี้
กล่าวสำหรับการลงทุนในภาคพลังงาน น้ำมันและแก๊สธรรมชาติในพม่าจนถึงปัจจุบันนี้ ก็ปรากฏ ว่ามีมูลค่ารวมกันมากถึง 32,690 ล้านดอลลาร์สหรัฐแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งการลงทุนเพื่อการสำรวจ ขุดค้น หาน้ำมันและแก๊สธรรมชาตินั้นถือเป็นภาคการลงทุนที่มีแนวโน้มจะแข่งขันกันอย่างดุเดือด มากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งจากรายงานของวิสาหกิจน้ำมันและแก๊ส (MOGE) ของรัฐบาลพม่า ได้ระบุอย่าง ชัดเจนว่าในปัจจุบันนี้ได้อนุมัติให้สัมปทานในการสำรวจขุดค้นหาน้ำมันและแก๊สธรรมชาติทั้งบน บก และในทะเลที่เป็นเขตน่านน้ำของพม่าไปแล้วมากกว่า 100 พื้นที่
โดยผู้ที่ได้รับสัมปทานนั้นก็มีทั้งบรรษัทจากจีน ฝรั่งเศส อินเดีย รัสเซีย มาเลเซีย เกาหลีใต้ ออสเตร เลีย ฮ่องกง และไทย ส่วนสหรัฐฯและอังกฤษนั้น ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ลงทุนโดยตรงก็ตาม แต่ในความ เป็นจริงแล้วก็เข้าไปในฐานะผู้ร่วมลงทุนอยู่แล้ว ดังเช่นในกรณีของ Chevron Corporation ได้ร่วม ลงทุนในสัด ส่วน 25.5% ในโครงการขุดค้นและท่อส่งแก๊สธรรมชาติจากแหล่ง YADANA ที่อ่าว เมาะตะมะในเขตทะเลอันดามันของพม่า มาขายให้ไทยในปริมาณเฉลี่ย 500 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อ วัน นับตั้งแต่ปี 1998 เป็นต้นมาแล้ว ซึ่งทำให้พม่าได้รับผลประโยชน์จากการขายแก๊สฯให้กับไทยมาก กว่า 9 หมื่นล้านบาทในปี 2011 ที่ผ่านมาและคาดว่าจะถึง 1 แสนล้านบาทในปี 2012 นี้ด้วย
แน่นอนว่าผู้ลงทุนรายใหญ่ที่สุดนั้น ก็คงจะไม่มีใครเกินบรรษัทข้ามชาติของจีน China National Petroleum Corporation (CNPC) และ China National Offshore Oil Corporation (CNOOC) ไปได้ แต่การที่รัฐบาลพม่าเชื่อว่าในเขตอธิปไตยของพม่าทั้งบนบกและในทะเลนั้น ยังคงมีทรัพยากรน้ำ มันและแก๊สฯอีกอย่างมหาศาลหรือมากกว่าที่สำรวจพบแล้วในเวลานี้นับร้อยเท่า จึงทำให้รัฐบาล พม่าต้องการที่จะดึงการลงทุนทั้งจากสหรัฐฯ และสหภาพยุโรป ตลอดจนอาเซียนด้วยกันให้มาก ขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ในเวลานี้ โดยมีเป้าหมายที่จะสร้างผลประโยชน์จากการส่งออกน้ำมันและแก๊สฯ ให้ได้ถึง 2 หมื่นล้านดอล ลาร์สหรัฐต่อปีภายในปี 2020 (เพิ่มขึ้นจากในปัจจุบันนี้มากกว่า 10 เท่า)
ซึ่งด้วยเป้าหมายที่ชัดเจนเช่นนี้ จึงไม่ใช่เรื่องผิดปกติแต่อย่างใดที่บรรษัทข้ามชาติในธุรกิจด้านพลัง งานทั้งหลายอย่างเช่น CHEVRON Corp. จากสหรัฐฯ TOTAL S.A. จากฝรั่งเศส PETRONAS จาก มาเลเซีย DAEWOO จากเกาหลีใต้ ONGC จากอินเดีย DANFORD EQuities จากออสเตรเลีย SUN ITERA จากรัสเซีย และ PTT-EP จากไทยต่างก็เตรียมการที่จะขยับขยายการลงทุนในพม่าเพิ่มมาก ขึ้นในเร็วๆนี้
ยิ่งไปกว่านั้น รัฐบาลพม่ายังได้ฝากความหวังในการพัฒนาทางเศรษฐกิจแห่งชาติไว้กับโครงการ พัฒนาท่าเรือน้ำลึกและเขตเศรษฐกิจพิเศษที่ทวาย ซึ่งได้ตกลงใน MOU ร่วมกับรัฐบาลไทยตั้งแต่ ปี 2008 เป็น ต้นมาแล้วนั้น จึงทำให้รัฐบาลพม่าภายใต้การนำของ เต็ง เส่ง พร้อมที่จะเดินหน้าโครง การนี้ต่อไปอย่างสุดกำลัง โดยมีเงื่อนไขเพียงอย่างเดียวเท่านั้นก็คือฝ่ายไทยต้องทุ่มเงินทุนเข้าไปใน โครงการจริงๆ แต่ถ้าหากรูปการณ์ยังจะเป็นเช่นที่ผ่านๆมา เต็ง เส่ง ก็พร้อมที่จะล้มโครงการได้ทุก เมื่อเช่นกัน โดยไม่สนใจว่าใคร? เป็นผู้ที่คิดริเริ่มโครงการนี้ เพราะยังมีประเทศอื่นๆอีกมากมาย ที่มีเงินทุนมากกว่าไทย!!! ทรงฤทธิ์ โพนเงิน |
ถึง บล็อกเกอร์ ทุกท่าน โปรดอ่าน
ด้วยทาง บริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จำกัด (มหาชน) ได้ติดต่อขอความร่วมมือ มายังเว็บไซต์และเว็บบล็อกต่าง ๆ รวมไปถึงเว็บบล็อก OKnation
ห้ามให้มีการเผยแพร่ผลงานอันมีลิขสิทธิ์ ของบริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ฯ บนเว็บ blog โดยกำหนดขอบเขตของสิ่งที่ห้ามทำ และสามารถทำได้ ดังนี้
ห้ามทำ - การใส่ผลงานเพลงต้นฉบับให้ฟัง ทั้งแบบควบคุมเพลงได้ หรือซ่อนเป็นพื้นหลัง และทั้งที่อยู่ใน server ของคุณเอง หรือ copy code คนอื่นมาใช้ - การเผยแพร่ file ให้ download ทั้งที่อยู่ใน server ของคุณเอง หรือฝากไว้ server คนอื่น สามารถทำได้ - เผยแพร่เนื้อเพลง ต้องระบุชื่อเพลงและชื่อผู้ร้องให้ชัดเจน - การใส่เพลงที่ร้องไว้เอง ต้องระบุชื่อผู้ร้องต้นฉบับให้ชัดเจน จึงเรียนมาเพื่อโปรดปฎิบัติตาม มิเช่นนั้นทางบริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ฯ จะให้ฝ่ายดูแลลิขสิทธิ์ ดำเนินการเอาผิดกับท่านตามกฎหมายละเมิดลิขสิทธิ์
OKNATION
กฎกติกาการเขียนเรื่องและแสดงความคิดเห็น
1 การเขียน หรือแสดงความคิดเห็นใด ๆ ต้องไม่หมิ่นเหม่ หรือกระทบต่อสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ หรือกระทบต่อความมั่นคงของชาติ
2. ไม่ใช้ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่นในทางเสียหาย หรือสร้างความแตกแยกในสังคม กับทั้งไม่มีภาพ วิดีโอคลิป หรือถ้อยคำลามก อนาจาร 3. ความขัดแย้งส่วนตัวที่เกิดจากการเขียนเรื่อง แสดงความคิดเห็น หรือในกล่องรับส่งข้อความ (หลังไมค์) ต้องไม่นำมาโพสหรือขยายความต่อในบล็อก และการโพสเรื่องส่วนตัว และการแสดงความคิดเห็น ต้องใช้ภาษาที่สุภาพเท่านั้น 4. พิจารณาเนื้อหาที่จะโพสก่อนเผยแพร่ให้รอบคอบ ว่าจะไม่เป็นการละเมิดกฎหมายใดใด และปิดคอมเมนต์หากจำเป็นโดยเฉพาะเรื่องที่มีเนื้อหาพาดพิงสถาบัน 5.การนำเรื่อง ภาพ หรือคลิปวิดีโอ ที่มิใช่ของตนเองมาลงในบล็อก ควรอ้างอิงแหล่งที่มา และ หลีกเลี่ยงการเผยแพร่สิ่งที่ละเมิดลิขสิทธิ์ ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบหรือวิธีการใดก็ตาม 6. เนื้อหาและความคิดเห็นในบล็อก ไม่เกี่ยวข้องกับทีมงานผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซต์ โดยถือเป็นความรับผิดชอบทางกฎหมายเป็นการส่วนตัวของสมาชิก คลิ้กอ่านเงื่อนไขทั้งหมดที่นี่"
OKnation ขอสงวนสิทธิ์ในการปิดบล็อก ลบเนื้อหาและความคิดเห็น ที่ขัดต่อความดังกล่าวข้างต้น โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ต่อเจ้าของบล็อกและเจ้าของความคิดเห็นนั้นๆ
|
||
![]() ![]() |
หมอลำลาว-สาละวัน | ||
![]() |
||
ลำสาละวันอยู่ในแขวงภาคใต้ของลาว |
||
View All ![]() |
<< | พฤศจิกายน 2012 | >> | ||||
อา | จ | อ | พ | พฤ | ศ | ส |
1 | 2 | 3 | ||||
4 | 5 | 6 | 7 | 8 | 9 | 10 |
11 | 12 | 13 | 14 | 15 | 16 | 17 |
18 | 19 | 20 | 21 | 22 | 23 | 24 |
25 | 26 | 27 | 28 | 29 | 30 |