วันอังคาร ที่ 22 มิถุนายน 2564
Posted by
mindsoul
,
ผู้อ่าน : 349
, 12:00:04 น.
หมวด : ศาสนา
พิมพ์หน้านี้
โหวต
0 คน

การเสริมสร้างพลังทางศีลธรรมในสังคมไทย พระไพศาล วิสาโล
เมืองไทยในอดีตนั้นได้ชื่อว่าเป็นเมืองที่มีมาตรฐานทางศีลธรรมค่อนข้างสูง เป็นที่ประจักษ์ในสายตาของชาวต่างชาติ เมื่อสังฆราชปัลเลอกัวซ์มาเยือนเมืองไทยในสมัยรัชกาลที่ ๔ นั้น ท่านได้บันทึกถึงชาวสยามว่า “ชาวประชาชาตินี้มีที่น่าสังเกตตรงอัธยาศัยอันอ่อนโยนและมีมนุษยธรรม ในพระนครซึ่งมีพลเมืองค่อนข้างคับคั่ง ไม่ค่อยปรากฏว่ามีการทะเลาะวิวาทกันอย่างรุนแรง ส่วนฆาตกรรมนั้นเห็นกันว่าเป็นกรณีพิเศษมากทีเดียว บางทีตลอดทั้งปีไม่มีการฆ่ากันตายเลย....ไม่เพียงแต่ต่อมนุษย์ด้วยกันเท่านั้นที่คนไทยมีมนุษยธรรม ยังเผื่อแผ่ไปถึงสัตว์เดียรัจฉานอีกด้วย” ความเห็นดังกล่าวสอดคล้องกับของลาลูแบร์ ซึ่งพูดถึงชาวสยามสมัยพระนารายณ์หรือ ๒๐๐ ปีก่อนหน้านั้นว่า เป็นชนชาติที่สมถะอย่างยิ่ง อีกทั้งยังไม่ชอบการฆ่าและกักขังสัตว์
จวบจนสมัยรัชกาลที่ ๗ เมื่อคาร์ล ซิมเมอร์แมน มาสำรวจสภาพเศรษฐกิจไทย เขาอดไม่ได้ที่จะชื่นชมว่า”พลเมืองของประเทศสยามมีนิสัยใจคอดี และไม่มีความโลภในการสะสมโภคทรัพย์ไว้เป็นมาตรฐานแห่งการครองชีวิต การละทิ้งเด็ก การขายเด็ก การสมรสในวัยเยาว์ และความประพฤติชั่วร้ายต่าง ๆ ซึ่งอนารยชนชอบประพฤติกัน ไม่ปรากฏในหมู่คนไทยเลย”
คำบรรยายดังกล่าวเกือบจะเรียกได้ว่าตรงข้ามกับสภาพในปัจจุบัน ทุกวันนี้ประเทศไทยมีอาชญากรรมในอัตราที่สูงมาก มีคนถูกฆ่าตายวันละเกือบ ๒๐ คนหรือตายเกือบทุกชั่วโมง และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทุกปี เช่นเดียวกับ คดีอุกฉกรรจ์อื่น ๆ เช่น คดีข่มขืน (ซึ่งเพิ่มถึงร้อยละ ๓๐ ในชั่ว ๗ ปี คือจาก ๓,๗๔๑ รายในปี ๒๕๔๐ เป็น ๕,๐๕๒ รายในปี ๒๕๔๗) ปัจจุบันจึงมีผู้หญิงถูกกระทำชำเราไม่ต่ำกว่า ๑๔ คนต่อวัน ในขณะที่เด็กถูกละเมิดทางเพศทุก ๒ ชั่วโมง นอกจากนั้นประเทศไทยยังมีปัญหาความรุนแรงในลักษณะอื่นอีกมาก เช่น ความรุนแรงในครอบครัว มีเด็กและผู้หญิงถูกบิดาและสามีทำร้ายเป็นจำนวนมาก ในปี ๒๕๔๕ ตัวเลขสูงถึง๔,๔๓๕ ราย เฉพาะในกรุงเทพมหานคร มีผู้หญิงถึงร้อยละ ๒๓ ที่ถูกกระทำรุนแรงจากสามีหรือคู่ครอง ขณะที่ในโรงเรียนนั้นมีการรุมตบตีและทำร้ายร่างกายกันอย่างแพร่หลาย ที่น่าวิตกก็คือ การกระทำดังกล่าวได้รับการชื่นชมจากนักเรียนจำนวนมาก โดยที่ผู้ที่ลงมือทำร้ายก็หาได้รู้สึกผิดหรืออับอายไม่ กลับพอใจที่มีการถ่ายวีดีโอเหตุการณ์ดังกล่าวและเผยแพร่ออกไปอย่างกว้างขวาง ราวกับว่าการกระทำเช่นนั้นเป็นวีรกรรม
ความรุนแรงในลักษณะรุมทำร้ายยังมีให้เห็นอีกมากมาย เช่น การรุมทำร้ายหรือการตีกันระหว่างนักเรียนต่างสถาบันจนบางครั้งถึงแก่ชีวิต เพียงแค่เวลา ๘ เดือน ระหว่างเดือนตุลาคม ๒๕๔๖ ถึง สิงหาคม ๒๕๔๗ มีความรุนแรงเกิดขึ้นระหว่างนักเรียนนักศึกษากว่า ๓,๐๐๐ ครั้ง นอกจากนั้นยังมีการรุมประชาทัณฑ์ผู้ต้องหาหรือผู้ที่กระทำความผิดซึ่งหน้ากระทั่งถึงแก่ความตายด้วยความสะใจ มิพักต้องพูดถึงความรุนแรงโดยรัฐ ซึ่งได้รับการแซ่ซร้องจากประชาชน อาทิ การฆ่าตัดตอนหรือทำวิสามัญฆาตกรรมในสงครามปราบปรามยาเสพติดซึ่งมีคนตายถึง ๒,๕๐๐ คนภายในเวลา ๒ เดือน การใช้ความรุนแรงกับผู้ชุมนุม (ดังกรณี ตากใบ) หรือใช้วิธีการนอกกฎหมายกับผู้ต้องหาในการก่อความไม่สงบในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้
กล่าวอีกนัยหนึ่งทุกวันนี้ความรุนแรงมิได้ผูกขาดโดยอาชญากรหรือคนร้าย(ซึ่งมักถูกมองว่ามีจิตใจหยาบช้า)เท่านั้น แต่ได้กลายเป็นพฤติกรรมของคนปกติธรรมดาในสังคมไทยไปแล้ว ไม่ว่าผู้ใหญ่หรือเด็ก ชายหรือหญิง เจ้าหน้าที่หรือพลเมืองดี ความรุนแรงดังกล่าวยังสะท้อนจากความเห็นของคนไทยร้อยละ ๖๗ ที่เห็นด้วยให้มีการลงโทษด้วยวิธีรุนแรง คือ ประหารชีวิตและวิสามัญฆาตกรรม สำหรับกรณีนักเรียนยกพวกตีกัน ฆ่าข่มขืน ก่อความไม่สงบในภาคใต้ และผู้ค้ายาบ้า (อีกร้อยละ ๑๖.๗๔ เห็นควรให้ติดคุกตลอดชีวิต) ในขณะที่เยาวชนร้อยละ ๕๙.๕ เปิดเผยว่ามีความคิดที่จะใช้ความรุนแรงแก้ปัญหาความขัดแย้ง โดยร้อยละ ๓๙.๕ คิดใช้อาวุธคือมีดหรือปืนแก้ปัญหา
ในด้านการประทุษร้ายต่อทรัพย์สิน ไม่ต้องสงสัยเลยว่า นอกจากการปล้น จี้ ลักขโมยซึ่งเกิดขึ้นอย่างดกดื่น รวมทั้งการยึดเอาเงินหรือทรัพย์สินที่ผู้อื่นทำตกไว้มาเป็นของตน (ซึ่งจัดเป็นอทินนาทานอย่างหนึ่ง) การคดโกงหรือคอรัปชั่น นับเป็นปรากฏการณ์ที่โดดเด่นที่สุด เนื่องจากแพร่หลายไปทุกวงการและทุกระดับ เมื่อไม่นานมานี้ประเทศไทยถูกจัดว่ามีความโปร่งใสอยู่ในอันดับที่ ๓๓ ซึ่งต่ำกว่า ฟิลิปปินส์ จีน และเม็กซิโก ปรากฏการณ์ดังกล่าวสอดรับกับความเห็นของเยาวชนร้อยละ ๘๓ ที่เห็นว่า การซื่อมากไปนั้นไม่ดีเพราะจะถูกคนเอาเปรียบ ขณะที่ร้อยละ ๕๑ เห็นว่า ถึงแม้จะโกงบ้าง ก็ไม่เป็นไร หากมีผลงานหรือทำประโยชน์แก่สังคม ทุกวันนี้พูดกันมากขึ้นว่าการคอรัปชั่นเป็นเรื่องธรรมดาไปแล้ว ใครที่ไม่คอรัปชั่น ไม่ใช่เพราะไม่อยาก แต่เป็นเพราะไม่มีโอกาสเสียมากกว่า เพราะแม้แต่เศรษฐีที่มีเงินนับหมื่นล้านก็ยังคอรัปชั่น เป็นแต่ไม่มีใบเสร็จเป็นหลักฐานเท่านั้น
ควรกล่าวด้วยว่านอกจากการคดโกงที่เกี่ยวข้องกับเงินทองแล้ว ยังมีการคดโกงอีกประเภทหนึ่งซึ่งนิยมกระทำอย่างดาษดื่นมาก ได้แก่ การทุจริตในการสอบทุกระดับ ทั้งในแวดวงของคฤหัสถ์และภิกษุสามเณร รวมไปถึงการวิ่งเต้นใช้เส้นสายซึ่งสร้างความไม่เป็นธรรมแก่ผู้ที่มีความสามารถเหมาะสมกว่า
ในเรื่องความไม่ซื่อตรงต่อคู่ครองหรือความสัมพันธ์ทางเพศที่ขาดความรับผิดชอบนั้น เป็นที่รับรู้กันโดยทั่วไปว่าเป็นปัญหาสำคัญอย่างหนึ่งของสังคมไทย ในการสำรวพฤติกรรมของคนไทยในกรุงเทพมหานคร พบว่า ผู้ชายร้อยละ ๔๑ ตอบว่าเคยนอกใจ (อีกร้อยละ ๒๒ ตอบว่าอาจจะเคย) ส่วนผู้หญิงร้อยละ ๒๒ เคยนอกใจคู่ครอง (อีกร้อยละ ๒๔ จำไม่ได้) นอกจากนั้น ผู้ชายถึงร้อยละ ๔๕ ตอบว่าตนมีคู่ครองปีละ ๓ คน อีกร้อยละ ๒๕ ตอบว่ามี ๒ คนต่อปี ร้อยละ ๓๐ เท่านั้นที่ตอบว่ามีเพียงคนเดียว
ติดตามอ่านได้ที่นี่...https://drive.google.com/file/d/1h_80Bqwa4HspH5tVwipbp5DXWsl6c48P/view?usp=sharing
|