*/
<< | เมษายน 2015 | >> | ||||
อา | จ | อ | พ | พฤ | ศ | ส |
1 | 2 | 3 | 4 | |||
5 | 6 | 7 | 8 | 9 | 10 | 11 |
12 | 13 | 14 | 15 | 16 | 17 | 18 |
19 | 20 | 21 | 22 | 23 | 24 | 25 |
26 | 27 | 28 | 29 | 30 |
หลายครั้งหลายคราที่นั่งดู คนที่มีปัญหาต่อกัน เช่น นักการเมืองคนละขั้ว คนใส่เสื้อต่างสี มาสนทนากัน มักเต็มไปด้วยความสับสน ต่างคนต่างไม่ได้ฟังอีกฝ่ายพูดว่าอะไร จนบางครั้งคู่สนทนาเองเกิดความเดือดดาลหรือเบื่อหน่าย ไม่ต้องมาพูดกันหรือฟังกัน ต่างคนต่างอยู่กันไป บางครั้งเพื่อนที่โกรธกัน ก็ไม่ทำความเข้าใจให้กระจ่างต่างคนต่างปิดกั้นการสื่อสาร เช่นการไม่ฟัง หรือการ ไม่อ่าน เป็นการปิดรับข้อมูล ทำให้เราคับแคบ เพราะเราจะจมอยู่กับทิฏฐิที่เรามีอยู่ ทุกความจริงที่เรารู้ เป็นความจริงเฉพาะที่ตนเองเข้าใจเท่าที่ข้อมูลที่รับเข้ามา จึงไม่แปลกอะไร ที่บ้านเมืองเราตั้งแต่ในอดีตจนปัจจุบันนี้ คุยกันไม่รู้เรื่อง เพราะต่างคน ต่างเสพข่าวสารเฉพาะที่ตนชอบ ที่ถูกใจตนเอง ที่ตนเองตั้งธงเห็นด้วย ปิดประตูรับข่าวสารหรือข้อมูลอีกด้าน อีกมุมมองหนึ่งที่ตนรังเกียจในบุคคลที่พูดนั้น อาจารย์พระไพศาล วิสาโล เคยเล่าถึง เรื่องราวของ นพ. วิธาน ฐานะวุฑฒ์ ระหว่างที่ท่านเป็นวิทยากร ได้พบว่า หมอฟันกับผู้ช่วยมีความขัดแย้งกัน จึงชวนคนทั้งสองมาปรับความเข้าใจกัน โดยตั้งกติกาว่าให้แต่ละคนผลัดกันพูด ว่าตนเองไม่พอใจอีกฝ่ายด้วยปัญหาอะไร ให้เวลาคนละ 5 นาที โดยขณะที่คนหนึ่งพูด อีกฝ่ายต้องฟังอย่างเดียว ห้ามแทรก ห้ามซักถาม เมื่อฝ่ายหนึ่งพูดจบ ให้ฝ่ายที่ฟัง ประมวลสรุปสิ่งที่ผู้พูดออกมาว่าเขาพูดอะไร ถ้าประมวลถูกต้องผู้พูดเห็นด้วยกับข้อสรุปที่ผู้ฟังสรุปออกมา ก็ให้พยักหน้า หลังจากนั้นก็สลับบทบาทกัน จากผู้พูดกลายเป็นผู้ฟัง อย่างนี้ เบื้องต้นผู้ช่วยพูดก่อน หมอฟันทำหน้าที่ฟังอย่างเดียว ผู้ช่วยก็พูดถึงความอึดอัดใจตนเองในการทำงานกับหมอ เมื่อพูดจบ หมอฟันก็สรุปสิ่งที่ผู้ช่วยพูดมาทั้งหมด ผู้ช่วยพยักหน้าว่าสรุปได้ตรงตามที่พูด คราวนี้หมอฟันเป็นฝ่ายพูดบ้างถึงความคับข้องใจที่ตนมีอยู่ พอพูดจบ ก็ให้ผู้ช่วยสรุป ให้หมอฟันฟังว่า สรุปถูกต้องไหม เมื่อผู้ช่วยสรุปเสร็จ หมอฟันส่ายหน้าว่าไม่ใช่สิ่งที่เขาพูด ก็เลยต้องเริ่มใหม่ ปรากฏว่าต้องใช้เวลาถึงสามครั้ง กว่าที่ผู้ช่วยจะสรุปได้ตรงกับที่หมอฟันพูด หลังจากนั้นจึงให้ทั้งสองมาช่วยกันแก้ปัญหา ซึ่งหมอฟันก็บอกว่าเขาไม่เคยคิดเลยว่าเรื่องบางเรื่องจะกลายเป็นเรื่อง ซึ่งรับปากว่าจะไม่ทำเช่นนั้นอีก ฝ่ายผู้ช่วยก็เช่นกัน ทราบปัญหาต้นเหตุ ดังนั้นก็รับปากเช่นกันว่าจะปรับปรุงตนเอง นพ. วิธาน จึงถามผู้ช่วยว่า เหตุใดจึงสรุปไม่ตรงตามที่หมอฟันพูดถึงสองครั้ง ผู้ช่วยตอบว่า ขณะที่เขาฟังหมอพูดอยู่ ใจเขาไม่ว่างพอที่จะฟังว่าหมอพูดอะไร เพราะขณะนั้นเขากำลังสรรหาเหตุผล ร้อยแปดประการเพื่อนำมาหักล้าง หรือโต้ตอบหมอ ทำให้เขาสรุปสาระที่พูดออกมาผิด แบบนี้เรียกว่า ได้ยิน แต่ไม่ได้ฟัง เพราะใจขณะนั้นไม่ว่างที่จะรับข้อมูล ขณะนั้นมีแต่การปรุงแต่งความคิดเพื่อให้ตัวตนพ้นจากการถูกกล่าวหา อุปสรรคที่สำคัญในการฟังคือการฟังด้วยใจที่ไม่ว่าง ต้องฟังด้วยใจที่ว่าง ใจที่ว่างนี้ไม่ใช่ว่างเปล่าจากสิ่งที่ไม่มี แต่เป็นการว่างจากสิ่งที่มี เราต้องฟังทั้งสิ่งที่ชอบสิ่งที่ไม่ชอบโดยการนำตัวตนให้พ้นจากถ้อยคำที่พรั่งพรูออกมาจากปากของคู่สนทนา ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะคนเรามักนำตัวตนของตนเป็นศูนย์กลางของทุกสิ่ง ผมจะลองยกตัวอย่างดู เรามองรูปนี้ แล้วก็สรุปว่า ชายคนนี้ยืนอยู่หลังต้นไม้ คำถามคือ ทำไมเราไม่มองว่า ชายคนนี้ยืนอยู่หน้าต้นไม้ ต้นไม้ต้นนี้มีตรงไหนที่บอกว่า ตรงไหนคือหน้า ตรงไหนคือหลังของต้นไม้ ทรวดทรงของต้นไม้ กลมโดยทุกสัดส่วน ทีนี้มาดูที่คนกันบ้าง เรามีส่วนที่เรียกว่าด้านหน้า และด้านหลัง แตกต่างกัน เราจึงมีสมมติกำหนดว่านี่ ด้านหน้า นี่ด้านหลัง นี่ซ้าย นี่ขวา (ขอโทษที่หาแบบ ที่เจริญหูเจริญตามากกว่านี้ไม่ได้) ยามใดที่เรามองออกไป ทุกสิ่งทุกอย่างในจักรวาล จึงต้องหันหน้าเข้ามาหาเราที่เป็นศูนย์กลางของทุกสิ่งต้นไม้ที่ไม่มีสัญลักษณ์อะไรที่พอจะบ่งบอกว่าด้านหน้าด้านหลังแตกต่างกัน มันจึงต้องหันหน้ามาหาเราโดยปริยาย ดังนั้นทุกอย่างจึงต้องกำหนดจากเราทั้งสิ้น เราจึงเห็น จึงฟัง จึงตีความทุกสิ่งทุกอย่างจากอัตตาตัวตนที่เรามีอยู่ เรายืนมองมุมหนึ่ง เราก็ตัดสินเพียงมุมที่เราเห็น เราไม่ปล่อยใจให้ว่างจากความคิด มองสิ่งที่เห็นตามที่มันเป็น ไม่ต้องไปกำหนดอะไร รับรู้รับทราบตามจริง ถ้าเราเห็นชายที่เรากำหนดว่าเขายืนหลังต้นไม้ ลองเดินไปรอบๆทุกๆมุม ทั้งที่เขาก็ยืนอยู่ที่เดิม เราก็จะมองเห็นความจริงอีกด้าน สมมติก็จะถูกเปลี่ยนไปอีก จากยืนหลังต้นไม้ มาเป็นยืนหน้าต้นไม้ สุญญตา จึงไม่ใช่ความว่างจากสิ่งที่ไม่มี ไม่ใช่การสูญเปล่า เห็นอะไร ได้ยินอะไร ต่างปฏิเสธว่าไม่เอาไม่รับ ขอให้ใจว่าง ไม่ขอยุ่งเกี่ยว แต่เป็นความว่างจากสิ่งที่มี รับรู้ความมีอยู่ โดยไม่ด่วนตัดสิน ยอมรับมัน ปฏิบัติไปตามสมมติที่สังคมนั้นกำหนด แต่จิตใจไม่ผูกติด ยามที่การมองเห็นหรือ การฟัง ก็ดี เป็นไปตามสภาวะเรื่องราวของมันที่ดำเนินไป สิ่งที่ฟังหรือที่เห็น เราต้องลงไปลึกอีกขั้นหนึ่ง นั่นคือ รับความรู้สึกของสิ่งที่สื่อสารออกมา นพ.ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ท่านกล่าวว่า ฟังจากสิ่งที่เป็นเหตุผล แล้วล้วงลึกไปในอารมณ์ของผู้พูด พูดง่ายๆว่า อย่างหนึ่งฟังด้วยสมองด้วยความคิด อีกอย่างหนึ่งฟังด้วย หัวใจ การฟังด้วยความว่าง เป็นการฟังที่ทำให้เราเปิดใจกว้างในการรับข้อมูลทุกๆด้าน มีผลต่อจิตใจเราที่ทำให้ไม่หวั่นไหวต่ออารมณ์ที่เข้ามา แต่การฟังด้วยหัวใจ เป็นการเอื้ออาทรผู้อื่น จิตใจเราจะอาบเอิบในสภาวธรรมที่เป็นพรหมวิหารธรรม ที่ประกอบด้วย เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา มันเป็นสิ่งที่อยู่นอกเหตุเหนือผล ลองนึกย้อนดู คู่รักกันใหม่ๆ คู่สมรสที่ยังผ่านเวลาไม่นานนัก แม้ว่าความรักตอนนั้นยังไม่สามารถจัดเป็นเมตตาที่บริสุทธิ์ แต่ก็เป็นความรักที่นอกเหตุเหนือผล จนมีคำกล่าวของคุณ ดังตฤณว่า “ใจตรงกัน เพียงเริ่มพูด ก็เหมือนเข้าใจอะไรจนหมด ใจต่างกัน พูดจนหมด ก็เหมือนยังไม่ได้เริ่มพูด เพราะความรักเป็นเรื่องของหัวใจ ไม่ใช่ความคิด ไม่ใช้สมอง เป็นเรื่องของอารมณ์ความรู้สึกล้วนๆ แต่เมื่ออยู่ด้วยกันนานๆ พอคุยกัน ทะเลาะกัน กับเป็นประเด็นของเหตุผลล้วนๆที่นำมาปะทะกัน นพ. ประเสริฐ เคยเสนอว่า ยามที่สามี ภรรยา ทะเลาะกัน ขอให้ยกเอาเรื่องเหตุผลที่ต้องการเอาชนะคะคานกันออกไปก่อน ให้ใช้หัวใจคุยกัน ตีอารมณ์ให้ฟูออกมา ความรู้สึกยามที่รักกัน สิ่งดีๆที่มีต่อกัน สิ่งที่ตีออกมานี้แหละ ที่เป็นสภาวะจิต ของเมตตา อันหนึ่ง เมตตาที่มาจาก มิตตะ ความเป็นเพื่อน อารมณ์แบบนี้ที่ปรากฏออกมามันเหมือนน้ำเย็นที่ออกมาหล่อหลอมตนเอง อาการที่แสดงออกทางกายและวาจา มันจะฉ่ำโดยเป็นธรรมชาติ คู่สนทนาหรือคู่วิวาทะ ก็พลอยเย็นไปด้วย อัตตาที่ยึดอย่างเหนียวแน่น ก็คลายออกเบาบางลง จากที่เคยยืนกันคนละข้าง ก็อาจเดินมาที่จุดใดจุดหนึ่งเพื่อมองสิ่งเดียวกัน ยามที่เริ่มเย็นลง พอคุยกันรู้เรื่อง ก็ขอให้คุยเรื่องราวที่เป็นข้อขัดแย้งในปัจจุบันที่เป็นเหตุให้เกิดนี้ อย่าเพิ่งไปขุดคุ้ยเรื่องราวในอดีตมาสาวไส้กัน พยายามประคองให้ค่อยเป็นค่อยไป อย่าใจร้อน ทุกคนมีอัตตาที่เหนียวแน่นจนยึดเป็นทิฏฐิเฉพาะตนมานานแสนนาน ไม่มีปาฏิหาริย์ใดๆที่จะสามารถแก้ไขทิฏฐิที่แต่ละคนมีเพียงชั่วฉับพลัน ทิฏฐิเป็นเรื่องที่เจ้าของต้องแก้ไขเอง โดยการเปิดรับข้อมูลด้วยใจที่กว้างขวาง มองดูเพียงข้อมูล ไม่ต้องไปดูบุคคลใดที่ให้ข้อมูล เพราะการมองบุคคล เราจะมีอคติที่เกิดขึ้น ทำให้การเปิดรับมีข้อจำกัด การฝึกใจที่รับข้อมูลด้วยความว่างนี้ เป็นปัจจัย เอื้อเฟื้อให้เกิด พรหมวิหารธรรม และพรหมวิหารธรรมก็เอื้อเฟื้อ ใจที่ว่างต่อสิ่งที่มีเช่นเดียวกัน ดังนั้นแม้ทุกวันนี้ยังไม่สามารถทำได้ ก็ยึดหลักว่า ถ้ายังไม่อยากพูด ไม่อยากเขียน ก็ได้ แต่อย่าละเลยการอ่านให้มาก ฟังให้มาก ด้วยการเปิดกว้างการรับข้อมูลให้มากที่สุด ชอบก็รับ ไม่ชอบยิ่งต้องรับ เป็นแมลงปอ ที่มีตาเห็นรอบทิศ ดีกว่าเป็นม้าลากรถ ที่เห็นแต่ทางตรงทางเดียว |
ถึง บล็อกเกอร์ ทุกท่าน โปรดอ่าน
ด้วยทาง บริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จำกัด (มหาชน) ได้ติดต่อขอความร่วมมือ มายังเว็บไซต์และเว็บบล็อกต่าง ๆ รวมไปถึงเว็บบล็อก OKnation
ห้ามให้มีการเผยแพร่ผลงานอันมีลิขสิทธิ์ ของบริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ฯ บนเว็บ blog โดยกำหนดขอบเขตของสิ่งที่ห้ามทำ และสามารถทำได้ ดังนี้
ห้ามทำ - การใส่ผลงานเพลงต้นฉบับให้ฟัง ทั้งแบบควบคุมเพลงได้ หรือซ่อนเป็นพื้นหลัง และทั้งที่อยู่ใน server ของคุณเอง หรือ copy code คนอื่นมาใช้ - การเผยแพร่ file ให้ download ทั้งที่อยู่ใน server ของคุณเอง หรือฝากไว้ server คนอื่น สามารถทำได้ - เผยแพร่เนื้อเพลง ต้องระบุชื่อเพลงและชื่อผู้ร้องให้ชัดเจน - การใส่เพลงที่ร้องไว้เอง ต้องระบุชื่อผู้ร้องต้นฉบับให้ชัดเจน จึงเรียนมาเพื่อโปรดปฎิบัติตาม มิเช่นนั้นทางบริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ฯ จะให้ฝ่ายดูแลลิขสิทธิ์ ดำเนินการเอาผิดกับท่านตามกฎหมายละเมิดลิขสิทธิ์
OKNATION
กฎกติกาการเขียนเรื่องและแสดงความคิดเห็น
1 การเขียน หรือแสดงความคิดเห็นใด ๆ ต้องไม่หมิ่นเหม่ หรือกระทบต่อสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ หรือกระทบต่อความมั่นคงของชาติ
2. ไม่ใช้ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่นในทางเสียหาย หรือสร้างความแตกแยกในสังคม กับทั้งไม่มีภาพ วิดีโอคลิป หรือถ้อยคำลามก อนาจาร 3. ความขัดแย้งส่วนตัวที่เกิดจากการเขียนเรื่อง แสดงความคิดเห็น หรือในกล่องรับส่งข้อความ (หลังไมค์) ต้องไม่นำมาโพสหรือขยายความต่อในบล็อก และการโพสเรื่องส่วนตัว และการแสดงความคิดเห็น ต้องใช้ภาษาที่สุภาพเท่านั้น 4. พิจารณาเนื้อหาที่จะโพสก่อนเผยแพร่ให้รอบคอบ ว่าจะไม่เป็นการละเมิดกฎหมายใดใด และปิดคอมเมนต์หากจำเป็นโดยเฉพาะเรื่องที่มีเนื้อหาพาดพิงสถาบัน 5.การนำเรื่อง ภาพ หรือคลิปวิดีโอ ที่มิใช่ของตนเองมาลงในบล็อก ควรอ้างอิงแหล่งที่มา และ หลีกเลี่ยงการเผยแพร่สิ่งที่ละเมิดลิขสิทธิ์ ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบหรือวิธีการใดก็ตาม 6. เนื้อหาและความคิดเห็นในบล็อก ไม่เกี่ยวข้องกับทีมงานผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซต์ โดยถือเป็นความรับผิดชอบทางกฎหมายเป็นการส่วนตัวของสมาชิก คลิ้กอ่านเงื่อนไขทั้งหมดที่นี่"
OKnation ขอสงวนสิทธิ์ในการปิดบล็อก ลบเนื้อหาและความคิดเห็น ที่ขัดต่อความดังกล่าวข้างต้น โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ต่อเจ้าของบล็อกและเจ้าของความคิดเห็นนั้นๆ
|
||
![]() ![]() |