*/
<< | พฤศจิกายน 2015 | >> | ||||
อา | จ | อ | พ | พฤ | ศ | ส |
1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 |
8 | 9 | 10 | 11 | 12 | 13 | 14 |
15 | 16 | 17 | 18 | 19 | 20 | 21 |
22 | 23 | 24 | 25 | 26 | 27 | 28 |
29 | 30 |
อาหารจานทิ้ง โดย สมตา เสียงริงโทนเรียกเข้าปลุกวรรณศิริให้ตื่นจากฝันร้าย เธอป่ายมือเปะปะไปตามหัวเตียง พอคว้าโทรศัพท์มือถือได้ก็ปาดหน้าจอเพื่อรับสาย หลังจากส่งเสียงงัวเงียลงไปได้สักครู่ จึงค่อยๆลดมือลงข้างกายช้าๆ “บ้าจริง” เธอว่าตนเองเบาๆ มือที่ยังคงถือโทรศัพท์สั่นน้อยๆขณะที่ค่อยๆคลายปลายนิ้ว เธอวางโทรศัพท์ลงบนที่นอนก่อนจะเลื่อนมือไปสัมผัสพื้นที่ว่างเปล่าใกล้ตัวไปมา อนิจจา ในความเป็นจริงนั้นโหดร้ายกว่าในฝันมากนัก แม้เธอจะฝันเห็นชีวินเดินหนีไปซ้ำแล้วซ้ำเล่า เห็นตัวเองร้องไห้จนขอบตาบวมช้ำ แต่แค่ตื่นจากหลับ เธอก็รู้ว่านั่นเป็นเพียงแค่ความฝัน เธอมักดีใจที่ดวงตาไม่ได้แดงก่ำ ดวงหน้าไม่ได้เปียกชื้นไปด้วยน้ำตา จนเมื่อเห็นความว่างเปล่าบนเตียงนอนข้างตัวนั่นแหละ จึงสำนึกขึ้นได้ว่าเธอเจ็บปวดเสมอไม่ว่าหลับหรือตื่น หญิงสาวทิ้งตัวลงนอน ดวงตาที่มองเพดานนั้นเบิกโพลง สักครู่ เธอจึงนวดใบหน้าด้วยมือทั้งสองไปมา “บ้าจริงๆ” ก่อนจะว่าซ้ำ อีกครั้งที่นึกอยากให้เวลานี้เป็นเวลาของการหลับ เวลาที่กำลังอยู่ในความฝัน เพราะอย่างน้อย เธอยังได้ปล่อยความทุกข์ ความอัดอั้น ให้ไหลพ้นไปพร้อมน้ำตา วรรณศิริไม่ยอมให้ตัวเองจมอยู่ในความเศร้านานนัก เธอตรงไปที่ห้องน้ำ ปล่อยสายน้ำให้ไหลผ่านผิวกายร้อนผ่าว เมื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่เสร็จแล้ว จึงเดินไปยังเข้าห้องครัวเพื่อเตรียมอาหารมื้อเที่ยงสำหรับตนเองและผู้ที่กำลังจะมาเยือน แม่ชอบกินอะไรนะ เธอเดินพลางคิดพลาง อ้อ ถั่วผัดกะปิ ง่ายนิดเดียว ถั่วฝักยาว พริกขี้หนูสวน ซอยหอมแดง เอากะปิดีมาละลายน้ำ ผัดหมูสับกับหอมแดงให้สุกเสียก่อนแล้วจึงเอาเครื่องปรุงทั้งหมดลงไปคลุกๆกันในกระทะ ใส่น้ำตาลปี๊บอีกหน่อย เดี๋ยวเดียวก็เสร็จแล้ว เจียวไข่ กับทำแกงจืดอะไรสักอย่าง อะไรก็ได้ที่ง่ายๆ เท่าที่พอจะหาวัตถุดิบได้จากในตู้เย็น “ชิ้ว” ร่างสีดำเล็กๆผละจากถังขยะ กระโจนไปเหยียบเตาแก๊ส แล้วพุ่งตัวขึ้นลอดช่องบานเกล็ดแตกเหนือหน้าต่างตรงเตาออกไปทันทีที่ประตูครัวถูกเปิดออก แม้จะเห็นว่าสัตว์ตัวเล็กนั้นรีบไปแล้ว เธอก็ยังอุตส่าห์ส่งเสียงไล่ซ้ำ “แมวนี่อีกแล้ว” แล้วก็รำพึงกับตนเอง แมวตัวนี้นี่แหละ ทะเลาะกับชีวินหลายต่อหลายครั้งก็เพราะแมวตัวนี้ เพราะบานเกล็ดแตกจนเป็นช่องแมวลอดนี้ ด้วยความที่เขาไม่เคยใส่ใจจะหากระจกบานใหม่มาเปลี่ยน เพื่อป้องกันสัตว์ไม่ได้รับเชิญไม่ให้เข้าบ้านได้สักที นึกถึงการเรียกช่างมาซ่อมก็อ่อนใจ งานเล็กๆอย่างนี้ ช่างที่ไหนจะอยากมาทำให้ กว่าเสียงกริ่งจากหน้าบ้านจะดังเรียกวรรณศิริให้ไปเปิดประตูรับ อาหารที่ทำเสร็จก็เย็นชืด เธอรีบหากุญแจไปไขประตูรั้วแล้วพาแม่เข้าสู่ภายในตัวบ้าน “รถติดมากเหรอคะ” หญิงสาวถามขณะเดินนำหญิงสูงวัยเข้าไปในครัว “จ๊ะ ร้อนก็ร้อน” ผู้เป็นแม่เอามือโบกไปมาบริเวณลำคอขณะกล่าว “ขอบใจจ๊ะ” ก่อนจะรับแก้วน้ำเย็นจากมือลูกสาว วรรณศิริลำเลียงจานอาหารเข้าอุ่นในเตาไมโครเวฟ ไม่นานนักหญิงสองวัยก็ได้มานั่งอยู่คนละด้านของโต๊ะอาหาร แม้เวลาจะผ่านพอสมควร แต่อาหารที่วางอยู่แทบไม่พร่องลงไปจากเดิม “แม่ไม่หิวเหรอคะ” ลูกสาวถามเมื่อเห็นความผิดปกติ “จ๊ะ ลูกเองก็ไม่ค่อยทาน” “หนูทานไม่ค่อยลง” ผู้เป็นแม่เอื้อมไปตักอาหารใส่จานตนเอง “ทางโน้นเป็นยังไงบ้างล่ะ” ก่อนจะเงยหน้าขึ้นถาม แม้ไม่มีการเอ่ยชื่อ วรรณศิริก็รู้ได้ว่าอีกฝ่ายหมายถึงใคร ดวงตาอิดโดยจึงเจือแววขมขื่นขึ้นมาทันที “คงสบายดีมั้ง” จึงตอบคำถามเบาๆ ผู้เป็นแม่ขยับไหล่เล็กน้อย ราวกับจะระบายความอึดอัดใจ เธอกำลังจะพูดในสิ่งที่อาจเติมความบอบช้ำลงในใจลูกสาว หากเธอคิดว่า ลูกของเธอควรตระหนักถึงความจริงเสียที หญิงสาวคนนี้จมอยู่ในความทุกข์มานานพอแล้ว “แม่ช่วยผมหน่อยเถอะครับ ตั้งแต่เขารู้เรื่องผมกับไหม เค้าไม่พูดกับผม ไม่เปิดโอกาสให้ผมอธิบายเลย” เสียงของลูกเขยยังดังอยู่ในหู “ชีวินเค้าก็รู้ดีว่าเค้าผิด” กิริยาเขี่ยอาหารในจานไปมานั้น เกือบทำให้คำพูดที่ถูกซักซ้อมมาเป็นอย่างดี แทบไม่กล้าออกจากปาก วรรณศิริเงียบ ไม่ต่อถ้อยคำมารดา “หกเดือนได้มั๊ย” ความเงียบถูกทำลายลงด้วยคำถามของหญิงสูงวัย อีกฝ่ายพยักหน้าช้าๆ “ค่ะ กับอีกสิบแปดวัน” ก่อนจะตอบคำถามโดยไม่ละสายตาไปจากช้อนและซ่อม หกเดือนสิบแปดวันแล้วที่ชีวินจัดกระเป๋าออกไปจากบ้านตามคำขับไล่ของเธอโดยไม่อาจทัดทานอะไรได้เนื่องจากบ้านหลังนี้วรรณศิริซื้อด้วยน้ำพักน้ำแรงตนเองทั้งหมด “แต่หนูก็ยังไม่ลืมเขา” หญิงสาวปิดเปลือกตาลงทันทีเมื่อได้ยินคำพูดทิ่มแทงความรู้สึก “ไม่ยอมรับความจริง” ทรวงอกเริ่มสะท้อนถี่ขึ้น “ไม่ให้อภัย” พวงแก้มนูนเพราะการขบฟัน “ไม่ปล่อยเขาไป” “แม่” คราวนี้เธอส่งเสียงดัง ดวงตาพลันทอประกายวาววับ “ไม่มีทาง หนูไม่มีวันหย่าหรอก หนูทุ่มเทให้กับชีวิตครอบครัวมากขนาดไหน แต่เค้ากลับตอบแทนหนูอย่างนี้ ไม่มีทาง พวกเค้าไม่วันได้อยู่กันอย่างปกติสุขหรอก” “แล้วหนูล่ะ หนูมีความสุขดีอยู่หรอกหรือ ทุกวันนี้ชีวิตหนูมีความสุขดีอยู่หรอกหรือ รู้ตัวบ้างหรือเปล่าว่าหนูร่วงโรยไปขนาดไหน งานการก็ไปทำบ้างไม่ไปทำบ้าง ถ้าหนูไม่ยอมรับว่าหนูกับเค้าไม่ได้อยู่ด้วยกันแล้ว แล้วอีกฝ่ายก็ต้องการอิสระ ไม่ปล่อยให้อะไรมันเป็นไปอย่างที่มันควรจะเป็น หนูจะสูญเสียหมดทุกอย่างนะลูก ทั้งสามี ทั้งความภูมิใจใจตนเอง ทั้งความก้าวหน้าในอาชีพ” ลูกสาวยิ้มอย่างขมขื่น “แม่มาที่นี่เพื่อจะมาบอกให้หนูปล่อยให้คนที่ทำร้ายหนูไปมีครอบครัวใหม่ที่สุขสมบูรณ์อย่างนั้นเหรอคะ” “ก็เขามีลูกด้วยกันแล้ว” “ลูกนอกสมรสน่ะซี” น้ำเสียงเย้ยหยันสั่นเครือ “ถ้าหนูไม่ดี เค้าเลิกกับหนูแล้วไปมีคนใหม่ หนูจะไม่ว่าเลย นี่หนูทำงานงกๆ หวังจะสร้างฐานะครอบครัวให้ดีขึ้น แล้วเราจะได้มีลูกด้วยกัน หวังจะอยู่พร้อมหน้าพ่อแม่ลูกอย่างมีความสุข เขากลับเอาเวลาที่ออกต่างจังหวัดไปคบกับผู้หญิงอีกคน แม่เข้าใจไหม หนูขับรถตากแดดบนถนนทั้งวัน แต่เขากลับลักลอบเย็นฉ่ำในบ้านของหนูเอง” รื้นน้ำที่ไม่เคยมี ขณะนี้ขังเอ่อในดวงตา “เขาทำได้ยังไง” ก่อนจะค่อยๆรินลงมาตามร่องแก้ม แม่ของวรรณศิริเงียบ เธอรู้ว่าลูกพูดถูก แต่ขณะนี้ไม่ใช่เวลาของการมาตำหนิผู้ผิด มาหาว่าใครถูกผิดมากกว่ากัน แต่เป็นเวลาของการหาทางแก้ไขที่สอดคล้องกับความเป็นจริง การแก้ไขที่จะทำให้ทุกฝ่ายอยู่อย่างสงบสุข และวิธีนั้น กำลังจะถูกเสนอ “เขาบอกแม่ว่าเขาเผลอไป เขาทิ้งไหมไม่ได้” “แต่ทิ้งหนูได้” เสียงของวรรณศิริแข็งกร้าว “แล้วหนูล่ะ หนูทิ้งเค้าหรือเปล่า” ดวงตาลูกสาวเบิกโต “หนูออกต่างจังหวัดบ่อยๆ ไปทีก็ไม่เคยต่ำกว่าครึ่งเดือน ถึงไม่ออกต่างจังหวัดก็กลับบ้านดึก ทำงานแทบไม่เว้นเสาร์เว้นอาทิตย์ เคยไหมลู ก ที่จะเข้าบ้านก่อนสามทุ่ม หนูทานข้าวด้วยกันอาทิตย์ละกี่วัน เคยใช้เวลาวันหยุดด้วยกันบ่อยแค่ไหน เคยคุยกันมั้ย ว่าอนาคตครอบครัวจะเป็นยังไง” “ก็หนูกำลังสร้างอนาคตอยู่นี่ไงล่ะคะ คิดไม่ถึงว่าเค้าจะทำลายมันลง” “ฝันของเค้าอาจไม่เหมือนของเราก็ได้นะลูก ไม่ใช่ความผิดของเขาที่หารายได้ไม่มากเท่าหนู เค้าอาจไม่ได้หวังว่าจะมีบ้านหลังใหญ่ จะต้องร่ำรวย ต้องมีคนแวดล้อม อาจจะขอแค่มีชีวิตที่สงบสุขกับลูกเมีย แค่นั้นก็ได้ จำได้ว่าแม่เคยเตือนหนูแล้ว เรื่องที่ไม่ค่อยมีเวลาให้กันนี่น่ะ” ”แต่หนูไม่ฟัง” วรรณศิริต่อคำมารดา
อาหารบนโต๊ะ ขณะนี้ไม่มีใครคิดจะต้องแตะ “คิดถึงใจเขาใจเราซีลูก จำได้ไหม ในวันแต่งงานหนูพูดว่ายังไง จะรัก จะซื่อสัตย์ จะดูแลเขา จะรักษาน้ำใจเขาไว้ตลอดไป” ผู้เป็นแม่ชวนลูกสาวให้ทบทวนความหลัง “ ถ้าคนสองคนรักษาเหตุที่ทำให้รักกันเอาไว้ได้ รักษาเหตุที่ทำให้อยากใช้ชีวิตร่วมกันเอาไว้ได้ เรื่องแบบนี้จะเกิดขึ้นได้หรือลูก” คำพูดของแม่อาจจะทำให้วรรณศิริหวนนึกถึงคำมั่นในวันวิวาห์ และอาจทำให้ความรู้สึกถึงสัญญาที่ตนรักษาเอาไว้ไม่ได้ สีหน้าของวรรณศิริจึงดูสลดลงไปเล็กน้อย และเพราะดวงหน้าหม่นหมองนั้น หญิงสูงวัยจึงอดไม่ได้ที่จะพูดให้ลูกคลายใจ “แม่ไม่ได้หมายความว่าทั้งหมดเป็นความผิดของหนู แต่ทั้งหนูทั้งชีวิน ต่างก็มีส่วนทำให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นมา จะว่าไปแล้วชีวินอาจจะสมควรถูกตำหนิที่สุด แต่ตอนนี้ ไม่ใช่เวลาของการมายืนยันว่าใครถูกใครผิดนะลูก แต่เป็นเวลาของการแก้ไขปัญหา ทำยังไงให้ทุกฝ่ายอยู่กับความเป็นจริงในปัจจุบันอย่างมีความสุข” นิ้วมือของผู้เป็นแม่สอดประสานกันแน่นขณะวางทั้งสองมือบนโต๊ะอาหาร ก่อนจะกล่าวตามถ้อยคำที่ได้ฟังมาอย่างหนักแน่น “เขาบอกว่า ถ้าให้เขาเลือก เค้าขอเลือกทางโน้น เขาเป็นผู้ชาย ได้ชื่อว่าเป็นหัวหน้าครอบครัว เขาอยากจะเป็นผู้คุ้มครอง ผู้คอยปกป้อง เป็นที่พึ่งของอีกฝ่าย เป็นผู้ค้ำจุนครอบครัว มากกว่าเป็นแค่คนหาค่ากับข้าว เป็นแค่คนร่วมบ้านที่ไม่ค่อยเจอเจ้าของบ้าน ไม่มีบทบาทอะไร” “แม่คะ นี่มันสมัยไหนแล้ว” วรรณศิริค้านในขณะที่ตัวเธอเองก็นึกแปลกใจ ทำไมเธอไม่เคยรู้ถึงเรื่องที่เพิ่งได้ยินนี้ “สมัยนี้ผู้หญิงไม่จำเป็นต้องเป็นช้างเท้าหลัง ไม่จำเป็นต้องอยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือน เหมือนอย่างแม่ไปทุกคนนะคะ” อะไรกันนี่ เวลาห้าหกปีที่อยู่ร่วมบ้าน ไม่ได้ทำให้ทั้งเขาและเธอรู้จักซึ่งกันและกันดีได้ถึงขนาดนี้เชียวหรือ ทำไมจึงไม่มีการพูดจาเพื่อหาความกลมกลืนของกันและกัน “ก็ถูก แต่ไม่ว่าสมัยไหนๆ กิเลสคนก็ไม่เปลี่ยนหรอกลูก ยังไงเสียก็หนีไม่พ้นโลภ โกรธ หลง อยู่เหมือนเดิม ไม่อย่างนั้นพระพุทธเจ้าจะตรัสว่าธรรมไม่ว่าดำว่าขาวที่พระองค์แสดงเป็นอกาลิโก ไม่ขึ้นกับกาลหรือลูก” ทำไม วรรณศิริยังคงนิ่งคิด เมื่อเขารู้ว่าเป้าหมายชีวิตเริ่มเบนกันออกไปคนละทาง ทำไมจึงปล่อยให้ต่างคนต่างเดินตามทางที่ค่อยๆไกลห่างกันออกไปเรื่อยๆ จนในที่สุด ยากที่จะหวนคืนกลับ การนิ่งทำให้ผู้เป็นแม่ได้โอกาสชี้ให้ลูกสาวเห็นความจริงอีกด้านช้าๆ “หนูใส่ใจเขาน้อยเกินไป เก่งเกินไป บินเร็วจนเขาตามไม่ทัน หนูปล่อยเขาเดียวดายอยู่ข้างหลังโดยไม่เหลียวมาดู จนเขาเหงา พอมีใครบังเอิญผ่านเข้ามาใกล้ ใครที่ชดเชยสิ่งที่ขาดหายไปของเขาได้มาเป็นเพื่อนร่วมทาง หนูคิดว่าเขาจะไม่หวั่นไหวเชียวหรือลูก เราๆส่วนใหญ่น่ะยังหนาแน่นด้วยกิเลส ยังไม่แข็งแรงพอจนพอที่จะดูแลใจตัวเองไม่ให้เห็นผิดเป็นชอบได้หรอกนะลูก“ วรรณศิริแค่นยิ้ม “แม่พูดราวกับการผิดศีลข้อสามไม่เป็นความผิดอย่างนั้นแหละค่ะ” “ไม่ใช่อย่างนั้น” ผู้เป็นมารดารีบค้าน “ผิดศีลก็คือผิดศีล เจ้าตัวก็ยอมรับว่าเขาผิด ว่าเขา ปล่อยใจไปตามความอยากอย่างขาดสติจนเกิดเรื่องขึ้น เพราะฉะนั้นเราทุกคนถึงต้องฝึกตนไงจ๊ะ ถ้ารู้ว่าอะไรผิด รู้ว่ายังสู้มันไม่ไหว เราก็ควรข่มมันไว้ก่อน มองให้เห็นโทษของมัน ว่ามันพาเราและคนรอบข้างเป็นทุกข์ไปถึงไหน แล้วค่อยๆหาทางจัดการกับมัน อย่างที่พระพุทธเจ้าตรัสว่าให้ละ ทำให้ไม่มี ทำให้มันเกิดใหม่อีกไม่ได้ แต่ บางคนทำได้ แต่บางคนก็แพ้มัน” เธอรีบค้านเพราะเกรงว่าลูกสาวจะเข้าใจอะไรผิดไป “เหมือนอย่างตอนนี้ ทุกอย่างมันเกิดขึ้นแล้ว มันมีประโยชน์อะไรที่จะมาคอยคิดถึงความหลังอย่างเคียดแค้นจนตัวเราต้องทนเสียใจ เสียอนาคตอย่างนี้ เราควรจะสุขกับสิ่งที่เรามี ไม่ใช่ทุกข์เพราะสิ่งที่เราเคยมี หรือที่เราไม่มี จะถูกกว่านะลูกนะ” “หนูเองก็ต้องฝึก ฝึกที่จะมองให้รอบด้าน อย่ามองเห็นแค่ความต้องการตัวเอง คนที่รักตัวเองน่ะ จะไม่ทำร้ายตัวเองด้วยการทำให้ตัวเองตกอยู่ในความทุกข์ตลอดไปด้วยตัวของตัวหรอกนะจ๊ะ พอเรารักตัวเองอย่างถูกทางได้ เราก็จะ ฝึกที่จะรักตัวเองด้วยการอภัยคนอื่น รักคนอื่นได้ ก็จะอภัยให้คนอื่นได้อย่างแท้จริง” วรรณศิริแหงนหน้ามองเพดาน เธอนึกถึงวันแห่งความเจ็บปวดที่เริ่มต้นขึ้นเมื่อหกเดือนกว่าที่แล้ว วันที่เธอพาลูกค้าไปยังสวนอาหารแห่งหนึ่งแล้วได้พบสามีนั่งเคียงข้างกับหญิงคนหนึ่งอย่างสนิทสนม จำได้ว่าเธอนั่งลอบมองกิริยาที่ทั้งสองแสดงต่อกันด้วยหัวใจร้าวราน และในคืนนั้น หลังจากที่ได้รู้ความจริงว่าหญิงที่เคียงข้างเขาคือใคร คำพูดประโยคเดียวที่ออกจากปากภายใต้อิริยาบถที่เยือกเย็นก็คือ “คุณกรุณาไปเสียเถอะ” และหลังจากนั้น เธอก็ไม่เคยเปิดโอกาสให้เขาได้พูด ได้อธิบายอะไรอีกเลย ดวงหน้าชีวินปรากฏขึ้นเลือนรางบนแผ่นฝ้าสีขาว แววตาหมองหมางของเขาผสานกับแววตาว่างเปล่าของเธอแน่วนิ่ง “คุณดีเกินไปสำหรับผม” คำพูดที่ได้บินบ่อยๆนั้นน่าจะเป็นลางบอกเหตุ ทำไมนะ เธอจึงไม่เฉลียวใจ ไม่คิดหันมามองตัวเองว่าทำอะไรลงไปจนทำให้อีกฝ่ายเริ่มเห็นว่าการอยู่ร่วมกัน มีเพียงกันและกัน ไม่ใช่สิ่งสมควรอีกแล้ว แล้วความดีล่ะ คนเราวัดกันด้วยอะไร ด้วยความสามารถในการหารายได้ เท่านั้นเองหรือ วรรณศิริลดสายตาลงต่ำ ทันใด “ชิ้ว” เธอก็ต้องส่งเสียงไล่ เมื่อสายตาประทะกับวงหน้าเล็กๆตรงช่องแมวลอด กิริยานั้นทำให้ผู้เป็นแม่หันไปมอง “อีกแล้วหรือลูก” แล้วหันกลับมาถามเมื่อสายตาพบกับความว่างเปล่า “ค่ะ เบื่อนัก ชอบมาคุ้ยถังขยะอยู่เรื่อย” “แม่คุณ” มือของผู้เป็นแม่เอื้อมมากุมมือลูกสาวที่เม้มปากแน่น “เศษอาหารก็คือสิ่งที่เราไม่ต้องการแล้ว จะทิ้งลงถังหรือทิ้งใส่จานไว้รอแมวจร มันก็ทิ้งเหมือนกัน แต่ถ้าหนูทิ้งให้เป็นทาน นอกจากของไร้ค่าของหนูจะมีคุณขึ้นมาแล้ว ยังลดเรื่องคอยกวนใจลงไปเรื่องนึงนะ” หญิงสองวัยต่างสบสายตา “แล้วชีวิตหนูจะมีความสุขขึ้น” ก่อนที่ผู้สูงวัยกว่าจะสรุปเป็นความเห็น ความเงียบครอบคลุมอยู่นาน หากในความเงียบนั้น ผู้เป็นแม่รู้ดีว่าในใจของลูกอึงอลไปด้วยเสียงต่างๆที่ทั้งสนับสนุนและคัดค้านความเห็นของเธอ ในที่สุด มุมปากของวรรณศิริเริ่มคลี่คลาย “ถามหน่อยเถอะค่ะ ทำไมแม่ถึงช่วยเค้า” ก่อนจะค่อยๆกลายเป็นยิ้มน้อยๆ ผู้สูงวัยเผยอปลายฟัน “แม่ไม่ได้ช่วยใคร แม่เพียงอยากให้ทุกฝ่ายมีความสุข ไหนๆเขาก็ไปแล้ว ยังไงก็ไม่หวนกลับ ทำไมไม่ให้เขาไปอย่างมีความสุข หนูเอง เมื่อตัดใจได้ ดูแลใจตัวเองได้ ก็จะได้มีความสุขกับชีวิตในทุกๆวัน กับชีวิตในวันข้างหน้า เปิดโอกาสให้ใครคนใหม่มาเรียนรู้ และแม่กับพ่อ เราก็จะได้ใช้ชีวิตที่เหลืออย่างสบายใจและตายอย่างหมดห่วง” ยิ้มของวรรณศิริกว้างขึ้น “พ่อบอกว่าเคยหลงเสน่ห์แม่ก็ตรงท่าอ้าปากนิดๆก่อนพูดเวลาเผลอตัวนี่แหละ” ผู้เป็นแม่ยิ้มบ้าง “ยังอุตส่าห์จำได้” เสียงหัวเราะของวรรณศิริไล่แววหมองหมางในดวงตาบนฝ้าเพดานไปจนหมดสิ้น หลังจากระบายลมหายใจยาว หญิงสาวจึงลุกไปเปิดตู้ติดผนัง ค้นหาบางอย่างในนั้น สักครู่จึงหันมาถามมารดา “ขนาดนี้พอไหมคะ” “อะไรจ๊ะ” มารดาหันไปถาม “ก็ที่จะเอาไว้ใส่เศษอาหารไงคะ” ลูกสาวส่งเสียงตอบ พร้อมๆกับที่ชูจานกระเบื้องขนาดกลางในมือ ................. ปล. นี่เป็นเรื่องสั้นเรื่องหนึ่ง ที่สะท้อนมุมมองของ จิตมนุษย์ ว่าสุดแท้แต่การปรุงแต่ง ยังคงวนเวียนกับกิเลส อันประกอบด้วย ราคะ โทสะ โมหะ ที่เป็นรากเหง้าของ กิเลสที่แตกออกยิบย่อยมากมาย วิสัยโลกต้องมีรัก ดังคำตรัสของสมเด็จพระสังฆราช แต่ความรักที่เป็นการยึดติดว่าเป็นของตน มีตนนั้นเป็นศูนย์กลางของสรรพสิ่ง ย่อมนำมาซึ่งทุกข์ การยึดติดความรักแล้วได้รับการสนองตอบ เราก็ดีใจ และก็ว่านั่นคือสุข แต่ถ้าไม่ได้รับการสนองตอบ เราก็เสียใจหรือโกรธแค้น นั่นคือ ทุกข์ ทั้งสุขทั้งทุกข์ก็ไม่มีอะไรเที่ยงแท้ มันแปรเปลี่ยนไปตามเหตุปัจจัย อยู่ที่ตัวเรา มีสติ ในการที่จะใส่ปัจจัยที่ถูกต้องเข้าไปหรือไม่ ใส่ถูก ก็อาจเปลี่ยนจากทุกข์มาเป็น สุข ดังที่ตรัสว่า เพราะทุกข์เราจึงหันเข้าหาวิหาร อันเป็นจุดเริ่มของศรัทธา ใส่ผิด ก็อาจเปลี่ยนจากสุข มาเป็นทุกข์ก็ได้ การเข้าใจผู้อื่น เข้าใจธรรมชาติของชีวิต เข้าใจจิตใจตนเอง เข้าใจความจำเป็นที่ สัตว์บุคคล ต้องกระทำอย่างนั้นอย่างนี้ จะทำให้จิตใจเราเปิดกว้าง สลายอัตตาตนเอง ยึดมั่นถือมั่นน้อยลง ความยึดมั่นถือมั่นอย่างกล้าแข็ง ย่อมกัดกร่อนตนเองโดยไม่รู้ตัว เพราะความหมายหนึ่งของคำว่า อัตตา แปลว่า ผู้เคี้ยวกินความทุกข์ การตัดสินใจของวรรณศิริ อาจถูกใจหรือไม่ถูกใจใครก็ได้ แต่อย่างน้อยที่สุด การสละกิเลสกอง ราคะ ที่หวงกั้นและกิเลสกองโทสะ ที่ไม่ให้อภัยถ้าไม่ตามใจฉัน ออกไปบ้าง ก็เหมือน เมฆหมอกที่ปกคลุมและ สิ่งที่กัดกร่อนจิตใจเธอ เจือจางเบาบางลง ตัวเธอได้เอง โปร่งโล่งเอง สภาวะเช่นนี้ยังเกื้อกูลจิตใจผู้เป็นมารดา ที่คลายความเป็นห่วงใยบุตรีตนเองได้อีกด้วย เรื่องสั้นเรื่องนี้ ปรับปรุงจากเรื่องสั้นชื่อเดียวกันที่เขียนโดยคุณ ณัฐรดา โดยตอนนั้นใช้นามปากกาว่า อิสริยาภรณ์ เรื่องนี้เคยผ่านการคัดเลือกให้ลงตีพิมพ์ในนิตยสารแพรว รายปักษ์ ฉบับวันที่ 10 สิงหาคม พ.ศ.2542 ซึ่งขณะนั้นนิตยสารจะมีอายุครบ 20 ปีจึงได้จัดให้มีการประกวดเรื่องสั้นเกียรติยศขึ้น โดยคัดเลือกเรื่องสั้นจำนวน 24 เรื่อง ตีพิมพ์ในช่วงระหว่างวันที่ 10 มกราคม ถึงวันที่ 25 ธันวาคม 2542 จากนั้นจึงส่งเรื่องที่คัดเลือกนี้ให้คณะกรรมการอีกชุดหนึ่งเป็นผู้พิจารณาคัดเลือก ให้เป็นเรื่องสั้นดีเด่นประจำปีของแพรว ที่มาของเรื่องสั้น ในขณะที่กำลังหาพล็อตของเรื่องอยู่นั้น วันหนึ่งคุณณัฐรดานั่งดูการ์ตูนทอมเจอรี่กับลูกๆ เห็นทอมกำลังปรุงอาหาร ทอมไม่ใช้วัตถุดิบส่วนหนึ่งจึงแยกไว้ต่างหาก เจอรี่ย่องมาหยิบ พอทอมหันมาเห็นก็ตีเจอรี่ แย่งเอาเศษอาหารมาแล้วโยนลงถังขยะ พอได้เห็นอย่างนั้นเธอก็นึกสังเวชว่าทำไมทอมนี่ช่างหวงกั้นอะไรอย่างนี้ ของที่ตัวเองทิ้งแล้ว ตนไม่ใช้แล้วแท้ๆ ยังให้เจอรี่ไม่ได้ ก็เลยได้เป็นแนวความคิดหลักในการเขียนเรื่องสั้นเรื่องนี้ ในตอนนั้น เรื่องสั้นเรื่องนี้เป็นหนึ่งในยี่สิบสี่เรื่องที่ได้รับการคัดเลือกให้ตีพิมพ์ในนิตยสารแพรว และเป็นหนึ่งในสิบเรื่องที่ได้รับการคัดเลือกให้เข้ารอบสุดท้าย แต่ไม่ได้รับการพิจารณาให้เป็นสามเรื่องดีเด่นประจำปีแต่อย่างใด เพียงแต่ได้รับการรวมเล่มเป็นพ็อคเก็ตบุ๊ค ในชื่อ “สิบเรื่องสั้นรางวัลแพรว”
|
ถึง บล็อกเกอร์ ทุกท่าน โปรดอ่าน
ด้วยทาง บริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จำกัด (มหาชน) ได้ติดต่อขอความร่วมมือ มายังเว็บไซต์และเว็บบล็อกต่าง ๆ รวมไปถึงเว็บบล็อก OKnation
ห้ามให้มีการเผยแพร่ผลงานอันมีลิขสิทธิ์ ของบริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ฯ บนเว็บ blog โดยกำหนดขอบเขตของสิ่งที่ห้ามทำ และสามารถทำได้ ดังนี้
ห้ามทำ - การใส่ผลงานเพลงต้นฉบับให้ฟัง ทั้งแบบควบคุมเพลงได้ หรือซ่อนเป็นพื้นหลัง และทั้งที่อยู่ใน server ของคุณเอง หรือ copy code คนอื่นมาใช้ - การเผยแพร่ file ให้ download ทั้งที่อยู่ใน server ของคุณเอง หรือฝากไว้ server คนอื่น สามารถทำได้ - เผยแพร่เนื้อเพลง ต้องระบุชื่อเพลงและชื่อผู้ร้องให้ชัดเจน - การใส่เพลงที่ร้องไว้เอง ต้องระบุชื่อผู้ร้องต้นฉบับให้ชัดเจน จึงเรียนมาเพื่อโปรดปฎิบัติตาม มิเช่นนั้นทางบริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ฯ จะให้ฝ่ายดูแลลิขสิทธิ์ ดำเนินการเอาผิดกับท่านตามกฎหมายละเมิดลิขสิทธิ์
OKNATION
กฎกติกาการเขียนเรื่องและแสดงความคิดเห็น
1 การเขียน หรือแสดงความคิดเห็นใด ๆ ต้องไม่หมิ่นเหม่ หรือกระทบต่อสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ หรือกระทบต่อความมั่นคงของชาติ
2. ไม่ใช้ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่นในทางเสียหาย หรือสร้างความแตกแยกในสังคม กับทั้งไม่มีภาพ วิดีโอคลิป หรือถ้อยคำลามก อนาจาร 3. ความขัดแย้งส่วนตัวที่เกิดจากการเขียนเรื่อง แสดงความคิดเห็น หรือในกล่องรับส่งข้อความ (หลังไมค์) ต้องไม่นำมาโพสหรือขยายความต่อในบล็อก และการโพสเรื่องส่วนตัว และการแสดงความคิดเห็น ต้องใช้ภาษาที่สุภาพเท่านั้น 4. พิจารณาเนื้อหาที่จะโพสก่อนเผยแพร่ให้รอบคอบ ว่าจะไม่เป็นการละเมิดกฎหมายใดใด และปิดคอมเมนต์หากจำเป็นโดยเฉพาะเรื่องที่มีเนื้อหาพาดพิงสถาบัน 5.การนำเรื่อง ภาพ หรือคลิปวิดีโอ ที่มิใช่ของตนเองมาลงในบล็อก ควรอ้างอิงแหล่งที่มา และ หลีกเลี่ยงการเผยแพร่สิ่งที่ละเมิดลิขสิทธิ์ ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบหรือวิธีการใดก็ตาม 6. เนื้อหาและความคิดเห็นในบล็อก ไม่เกี่ยวข้องกับทีมงานผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซต์ โดยถือเป็นความรับผิดชอบทางกฎหมายเป็นการส่วนตัวของสมาชิก คลิ้กอ่านเงื่อนไขทั้งหมดที่นี่"
OKnation ขอสงวนสิทธิ์ในการปิดบล็อก ลบเนื้อหาและความคิดเห็น ที่ขัดต่อความดังกล่าวข้างต้น โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ต่อเจ้าของบล็อกและเจ้าของความคิดเห็นนั้นๆ
|
||
![]() ![]() |