*/
<< | พฤษภาคม 2015 | >> | ||||
อา | จ | อ | พ | พฤ | ศ | ส |
1 | 2 | |||||
3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8 | 9 |
10 | 11 | 12 | 13 | 14 | 15 | 16 |
17 | 18 | 19 | 20 | 21 | 22 | 23 |
24 | 25 | 26 | 27 | 28 | 29 | 30 |
31 |
ตื่นขึ้นมาในแต่ละวัน มีใครบ้างคะ ที่ไม่ต้องวุ่นวายกับการตัดสินใจว่า เช้าวันนี้จะทานอะไร จะใส่เสื้อผ้าชุดไหนไปทำงาน การเดินทางไปทำงานของเราจะเป็นอย่างไร หากไม่เดินทางด้วยรถโดยสารสาธารณะ พาหนะของเราพร้อมใช้หรือไม่ มื้อกลางวันจะทานที่ไหน ทานอาหารบุฟเฟ่ดีมั๊ย บุฟเฟ่มีอาหารหลากหลายชนิดให้เลือก จ่ายมากหน่อยแต่เลือกอร่อยได้ไม่อั้น ถ้าเกิดเจ็บป่วยจะซื้อยาหรือหาหมอที่ไหน อาการปวดหัวเป็นไข้เล็กๆน้อยจะทานยาอะไร ฯลฯ เรื่องของอาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย ยารักษาโรค หรือ ปัจจัย ๔ รวมไปถึงการเดินทางไปมาด้วยวัตถุประสงค์ต่างๆเช่นเพื่อเสาะหาอาหารเป็นต้น ต้องเป็นเรื่องสำคัญที่เราขาดไม่ได้ในชีวิตประจำวัน และเพราะเรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องที่เราหนีไม่พ้น เราจึงควรมีการวางใจให้ปฏิบัติต่อปัจจัยที่จำเป็นเหล่านี้อย่างถูกต้อง เพื่อจะได้ไม่ล้มซวนเซยามที่ไม่ได้อย่างใจ หรือ ไม่ระเริงกระโดดโลดเต้นจนอาจพลาดล้มฟาดไปในยามที่ได้เพียงพอหรือมากเกิน ถ้าเรานั่งเก้าอี้สักตัว การมีพนักให้หลังได้พักอิงสักด้านก็ช่วยให้ความมั่นใจ ให้ความสบายแก่เราได้พอสมควรนะคะ หากมีมากกว่าหนึ่งด้าน ก็ยิ่งดีใหญ่ พระพุทธเจ้าทรงแสดงหลักธรรมดุจหลักให้เราพิงหลังถึงสี่ด้านด้วยกัน ซึ่งก็คือหลักในการพิจารณาหาความเหมาะสมก่อนจะเสพสิ่งต่างๆเพื่อให้การเสพเป็นไปตามความจำเป็น ไม่นำทุกข์มาให้ภายหลังนั่นเองค่ะ โดยตรัสให้เราควรพิจารณาก่อนแล้วค่อย เสพ ข่ม เว้น หรือ บรรเทา เช่น ก่อนจะทานอาหาร ควรพิจารณาว่าเราทานเพื่ออะไร ได้ประโยชน์อะไร อาหารที่ซื้อหามามีคุณค่าสมราคาหรือไม่ (พิจารณาแล้วเสพ) ทานเพียงเพื่อสนุกสนานเฮฮาหรือไม่ เกิดโทษต่อร่างกายหรือไม่ (พิจารณาแล้วเว้น) แม้จะเป็นอาการที่ชอบแต่ก็ควรประมาณ ข่มความอยากเพื่อไม่ให้ทานมากเกินไป ให้อิ่มพอดีโดยที่ไม่ก่อให้เกิดอาการอึดอัด เป็นความลำบากแก่ร่างกายในภายหลัง (พิจารณาแล้วข่ม) หากเป็นอาหารที่ชอบ แต่ราคาแพงเกินไป หรือมีคุณค่าทางอาหารน้อย ควรพิจารณาคุณค่าแท้ คุณค่าเทียมให้มากก่อนการซื้อเพื่อจะได้ค่อยๆคลายความอยากเสพสิ่งที่ได้ประโยชน์ไม่คุ้มค่า (พิจารณาแล้วบรรเทา) ซึ่งเราควรใช้หลักทั้ง ๔ นี้ในการเสพปัจจัย ๔ อยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นความเหมาะสมของเสื้อผ้า การตกแต่งบ้าน การใช้ยารักษาโรคเพื่อการเป็นอยู่อย่างสุขสบาย เหมาะสมกับฐานะความเป็นอยู่ ไม่สร้างความทะยานอยากให้เกินพอดี เนื่องจากเราอยู่ในสังคม ต้องสื่อสาร มีความสัมพันธ์กับบุคคลรอบข้างที่อาจเกิดผลคือการกระทบกระทั่งกัน หรือการได้ความรู้ ได้ความสัมพันธ์ที่ดี ดังนั้นเราจึงควรบ่มเพาะเมตตาในใจเพื่อให้พูด คิด กระทำต่อเขาอย่างเป็นมิตร เกิดความสมานสามัคคี (พิจารณาแล้วเสพ คือ เสพเมตตา เสพสัมมาวาจา เป็นต้น) หากมีปัญหาจากความสัมพันธ์ ก็ควรคิดถึงผลที่จะตามมา โดยคิดด้วยเมตตาว่าเขาอาจเสียใจหากเราแสดงอาการที่ไม่ดีด้วย จึงข่มกลั้นไว้ ไม่แสดงความรู้สึกออกไป พิจารณาให้เห็นโทษของการล่วงละเมิด เพื่อพยายามไม่ล่วงละเมิดเขาทางกาย ทางวาจา เช่น ทำให้เราระเบิดอารมณ์ได้ง่ายขึ้น ทำให้การแก้ไขปัญหาทวีความยุ่งยากมากขึ้น เป็นต้น (พิจารณาแล้วข่ม) และหากเห็นว่าการกระทำใดที่อาจเป็นที่ยั่วยุ เป็นเหตุให้เกิดความเข้าใจผิด เราก็ควรละเว้นการกระทำหรือคำพูดนั้นๆ (พิจารณาแล้วเว้น) แต่ในขณะที่เราทั้งเสพทั้งข่มทั้งเว้นนี้ จิตใจเราย่อมอึดอัดขัดข้อง ก็ต้องพยายามหาเหตุผลอันเป็นต้นเหตุที่จะทำให้เข้าใจเขา เข้าใจตัวเรา เข้าใจสถานการณ์ เพื่อพยายามลดความขัดข้องในใจ ลดความความขัดแย้ง อันเป็นการบรรเทาธรรมอันเป็นอกุศล (พิจารณาแล้วบรรเทา) หรือหากเราโกรธใครจนอยากทำร้ายเขา เนื่องจากรู้ว่าการโกรธ การผูกโกรธ การพยาบาท เป็นอกุศลธรรม เราอยากจะนำออกจากใจ จึงต้องแสวงหาหลายๆปัจจัยมาเสพหรือมาประกอบการพิจารณาเพื่อให้คลาย เช่น การฟังธรรมที่ช่วยน้อมนำจิตให้อ่อนโยนลง การมีกัลยาณมิตรเพื่อช่วยให้ข้อคิด ช่วยให้คำปรึกษาหาแง่มุมที่หลากหลายเพื่อความเข้าใจที่ดีขึ้น การอบรมเมตตา การใช้โยนิโสมนสิการเพื่อหาเหตุผลในแง่ต่างๆ เช่น การพยายามหาความดีของเขา การโจทย์ตัวเองว่าเราทำ หรือ ไม่ทำอะไร จึงกลายเป็นปัญหาขึ้นมาได้ สถานการณ์โดยรอบเป็นอย่างไร เป็นต้น รวมไปถึงการ ข่ม เว้น บรรเทา ไปพร้อมๆกัน ซึ่งการพิจารณาแล้วข่มกลั้นความรู้สึก ไม่แสดงออกนี้ก็คือขันติในระดับต้น (อธิวาสนขันติ) ที่ต้องคู่กับโสรัจจะ หรือก็คือการพิจารณาให้ใจผ่องแผ้ว อันนำไปสู่เป็นขันติในระดับสูง (ตีติกขาขันติ) คือทนทานได้โดยไม่ต้องกลั้นอีกต่อไปเพราะรู้เท่าทันทั่วถึงแล้ว ใจผ่องแผ้วแล้ว สมดังที่ตรัสว่า ขนฺตี ปรมํ ตโป ตีติกฺขา ขันติคือความทนทานเป็นธรรมเผากิเลสอย่างยิ่ง (ส่องบาทแห่งพระคาถา ขันตี ปรมํ ตโป ตีติกขา http://www.oknation.net/blog/nadrda2/2013/02/02/entry-1) การพิจารณาแล้ว เสพ ข่ม เว้น บรรเทา นี้ เป็นองค์ประกอบของหลักธรรมที่เป็นดุจพนักอิง หรือ อปัสเสนธรรม (อะ-ปัด-เส-นะ-ทำ) ซึ่งมีชื่อเรียกอีกชื่อว่า อุปนิสัย ๔ (ธรรมเป็นที่พึ่งพิง หรือ ธรรมเป็นที่อุดหนุน) เป็นธรรมที่หากเราได้ “ น้อมเข้ามาในตน ” นำมาใช้ในชีวิตประจำวัน จะช่วยให้เราใช้ชีวิตอย่างไม่ประมาท เสพบริโภคสิ่งของด้วยคุณค่าแท้ไม่ใช่ด้วยคุณค่าเทียม ทำให้เกิดประโยชน์แก่ชีวิตตั้งแต่เบื้องต้นจนถึงการพัฒนาตนให้ยิ่งๆขึ้นไป รวมไปถึงการสนับสนุนการมีสติสัมปชัญญะ อินทรีย์สังวร การทำให้กุศลธรรมที่ยังไม่เกิดให้เกิดขึ้น ที่เกิดขึ้นแล้วก็ให้งอกงาม ทำอกุศลธรรมที่ยังไม่เกิดให้คงไม่เกิด และที่เกิดขึ้นแล้วให้บรรเทาเบาบางจนถึงกับสิ้นไป ท่านมักแสดงอุปนิสัย ๔ ด้วยการเสพจีวร บิณฑบาต เสนาสนะบ้าง คิลานเภสัช (ยาสำหรับภิกษุผู้ป่วยไข้)บ้าง เว้นสถานที่อันไม่ควรไปหรือที่เป็นอโคจรบ้าง เว้นคนพาลบ้าง เลยชวนให้เข้าใจว่าหลักธรรมนี้เป็นเรื่องของพระ แต่อันที่จริง เป็นหลักที่ใช้ได้ทั้งฆราวาสทั้งพระ และใช้ได้ทั้งเพื่อประโยชน์ที่จะได้ในปัจจุบัน จนถึงขั้นเพื่อการหมดสิ้นอาสวะเลยค่ะ การข่มเรื่องราวภายในใจตนรวมไปถึงการข่มอาการเจ็บป่วยทางกายนี้ จัดเป็น การข่มภายใน ส่วนการข่มความรู้สึกต่ออากาศร้อน เย็น ฝน หนาว จัดเป็น การข่มภายนอก อย่างอากาศร้อน เราก็ต้องเป็นอยู่กับอากาศร้อนด้วยหลักอปัสเสนธรรมเหมือนกันค่ะ เช่น เสพเสื้อผ้าที่ระบายอากาศได้ดี ใช้ผาเนื้อบาง หลีกเลี่ยงผ้าเนื้อหนาเช่นผ้ากำมะหยี่ หรือผ้าสีเข้มที่ดูดความร้อนได้มากกว่าผ้าสีอ่อน บรรเทาความร้อนด้วยการใช้พัดบ้าง อาบน้ำบ้าง แป้งเย็นบ้าง แต่การข่มสภาวะภายนอก เราคงไปข่มอากาศไม่ให้ร้อนไม่ได้ คงต้องข่มที่ใจ ไม่ให้ร้อนตามอากาศ อย่างเดียวเลยค่ะ |
ถึง บล็อกเกอร์ ทุกท่าน โปรดอ่าน
ด้วยทาง บริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จำกัด (มหาชน) ได้ติดต่อขอความร่วมมือ มายังเว็บไซต์และเว็บบล็อกต่าง ๆ รวมไปถึงเว็บบล็อก OKnation
ห้ามให้มีการเผยแพร่ผลงานอันมีลิขสิทธิ์ ของบริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ฯ บนเว็บ blog โดยกำหนดขอบเขตของสิ่งที่ห้ามทำ และสามารถทำได้ ดังนี้
ห้ามทำ - การใส่ผลงานเพลงต้นฉบับให้ฟัง ทั้งแบบควบคุมเพลงได้ หรือซ่อนเป็นพื้นหลัง และทั้งที่อยู่ใน server ของคุณเอง หรือ copy code คนอื่นมาใช้ - การเผยแพร่ file ให้ download ทั้งที่อยู่ใน server ของคุณเอง หรือฝากไว้ server คนอื่น สามารถทำได้ - เผยแพร่เนื้อเพลง ต้องระบุชื่อเพลงและชื่อผู้ร้องให้ชัดเจน - การใส่เพลงที่ร้องไว้เอง ต้องระบุชื่อผู้ร้องต้นฉบับให้ชัดเจน จึงเรียนมาเพื่อโปรดปฎิบัติตาม มิเช่นนั้นทางบริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ฯ จะให้ฝ่ายดูแลลิขสิทธิ์ ดำเนินการเอาผิดกับท่านตามกฎหมายละเมิดลิขสิทธิ์
OKNATION
กฎกติกาการเขียนเรื่องและแสดงความคิดเห็น
1 การเขียน หรือแสดงความคิดเห็นใด ๆ ต้องไม่หมิ่นเหม่ หรือกระทบต่อสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ หรือกระทบต่อความมั่นคงของชาติ
2. ไม่ใช้ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่นในทางเสียหาย หรือสร้างความแตกแยกในสังคม กับทั้งไม่มีภาพ วิดีโอคลิป หรือถ้อยคำลามก อนาจาร 3. ความขัดแย้งส่วนตัวที่เกิดจากการเขียนเรื่อง แสดงความคิดเห็น หรือในกล่องรับส่งข้อความ (หลังไมค์) ต้องไม่นำมาโพสหรือขยายความต่อในบล็อก และการโพสเรื่องส่วนตัว และการแสดงความคิดเห็น ต้องใช้ภาษาที่สุภาพเท่านั้น 4. พิจารณาเนื้อหาที่จะโพสก่อนเผยแพร่ให้รอบคอบ ว่าจะไม่เป็นการละเมิดกฎหมายใดใด และปิดคอมเมนต์หากจำเป็นโดยเฉพาะเรื่องที่มีเนื้อหาพาดพิงสถาบัน 5.การนำเรื่อง ภาพ หรือคลิปวิดีโอ ที่มิใช่ของตนเองมาลงในบล็อก ควรอ้างอิงแหล่งที่มา และ หลีกเลี่ยงการเผยแพร่สิ่งที่ละเมิดลิขสิทธิ์ ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบหรือวิธีการใดก็ตาม 6. เนื้อหาและความคิดเห็นในบล็อก ไม่เกี่ยวข้องกับทีมงานผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซต์ โดยถือเป็นความรับผิดชอบทางกฎหมายเป็นการส่วนตัวของสมาชิก คลิ้กอ่านเงื่อนไขทั้งหมดที่นี่"
OKnation ขอสงวนสิทธิ์ในการปิดบล็อก ลบเนื้อหาและความคิดเห็น ที่ขัดต่อความดังกล่าวข้างต้น โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ต่อเจ้าของบล็อกและเจ้าของความคิดเห็นนั้นๆ
|
||
![]() ![]() |