*/
<< | มีนาคม 2016 | >> | ||||
อา | จ | อ | พ | พฤ | ศ | ส |
1 | 2 | 3 | 4 | 5 | ||
6 | 7 | 8 | 9 | 10 | 11 | 12 |
13 | 14 | 15 | 16 | 17 | 18 | 19 |
20 | 21 | 22 | 23 | 24 | 25 | 26 |
27 | 28 | 29 | 30 | 31 |
ในเอนทรี่ที่แล้ว ( http://www.oknation.net/blog/nadrda2/2016/03/03/entry-1 )ได้เล่าถึงบาทแรกของพระคาถาอันเป็นโอวาทปาติโมกข์ ซึ่งก็คือ สพฺพปาปสฺส อกรณํ เอนทรี่นี้จะขอเล่าถึงบาทต่อไป คือ กุสลสฺสูปสมฺปทา ต่อ คงจำได้อยู่นะคะ ว่าที่เรียกว่า บาท กับที่เรียกว่า คาถา คืออะไรบ้าง กุสลสฺสูปสมฺปทา มาจาก กุสล + อุป + สมฺปทา โดยมีคำแปลอย่างนี้ค่ะ กุสล (กุ-สะ-ละ) หากเป็นคำนามจะแปลว่าความดีงาม, ความงาม, สิ่งที่ดี, ความสบาย, บุญ, กุศล,ความไม่มีโรค และหากเป็นคำขยายคำนามอีกที จะแปลว่า ไม่มีโรค, ไม่มีโทษ, ถูกต้อง, มีฝีมือ, ฉลาด, ชำนาญ, คล่อง, มั่งคั่ง, ดี, งาม, เหมาะ, ควร, ถูก (ไม่ผิด), ถูกต้อง อุป (อุ-ปะ) แปลว่า เข้าไป ใกล้ มั่น สมฺปทา (สัม-ปะ-ทา) แปลว่า ความถึงพร้อม, ความดี, คุณชาติเป็นเครื่องถึงพร้อม, ความเจริญ, สมบัติ ดังนั้น กุสลสฺสูปสมฺปทา จึงรวมแปลว่า การยังกุศลให้ถึงพร้อม ดังที่ได้เล่าไว้ในเอนทรี่ที่แล้วว่า บาป หมายความรวมถึงทั้งการทำความชั่ว และ การไม่ทำความดี ดังนั้น การไม่ทำบาป ก็คือการไม่ทำชั่วกับการทำความดี และเพียงการหักห้ามใจไม่ทำบาป หรือก็คือ มีการหักห้ามกระทำทางกาย วาจา ใจ ก็ได้ชื่อว่าทำบุญ สร้างกุศลแล้ว แต่การทำบุญหรือสร้างกุศลกรรมในเบื้องต้นอย่างนี้ยังไม่ถือว่าเพียงพอค่ะ ต้องทำกุศลที่เกิดขึ้นแล้ว ให้เจริญงอกงาม ให้เป็นความดีงามอย่างแท้จริง ไม่มีโทษเจือ ไม่โน้มไปในทางที่เกิดโทษในภายหลังด้วย มาดูการทำกุศลที่เกิดขึ้นแล้วให้ถึงพร้อมกันทีละส่วนนะคะ ในส่วนของการไม่ทำความชั่ว เมื่อหักใจไม่ทำชั่ว โดยปกติแล้วในระยะแรกๆที่เราห้ามใจจากการกระทำชั่วเพราะเรารู้ดีว่ามีผลทำให้ถูกลงโทษ ทำให้ถูกติฉินนินทา ทำให้ไม่ได้รับการสนับสนุนจากบุคคลทั่วไป แม้การห้ามนี้จะเป็นบุญ เป็นกุศล แต่ก็ยังเป็นกุศลที่ยังไม่ถึงพร้อมด้วยธรรมอันเป็นกุศลเนื่องจากเป็นเพียงห้ามการกระทำที่เกิดจากความกลัวต่อโทษ โดยที่ใจอาจจะยังอยากที่จะทำชั่วอยู่แต่ข่มไว้เพราะนึกถึงโทษที่จะได้รับ ซึ่งถ้าหากไม่มีการอบรมใจให้เห็นคล้อยตามว่าเป็นกรรมที่ไม่สมควรจริงๆ หากพบเหตุการณ์เฉพาะหน้าให้เกิดตัณหาขึ้นอย่างเดิม ก็ต้องขวนขวายห้ามความอยากอยู่ร่ำไป ตัณหานั้นเมื่อถูกขัดก็ย่อมก่อให้เกิดความทุกข์ ทุกข์มากๆเข้า วันหนึ่งก็ทนไม่ไหว ต้องไหลตามกิเลสไปได้ในที่สุด การหักใจไม่ทำบาปนั้นยากมากๆค่ะ เช่น อยากคิดไปตามความต้องการในเรื่องที่ไม่สมควรสักเรื่องหนึ่ง แค่จะหักใจไม่ให้คิดก็ยากยิ่งแล้ว เพราะคิด(สังขาร) ไปแล้วมีความเพลิน มีความสุข และเพราะสุขเป็นอาหารที่จิตต้องการอยู่เสมอไม่ว่าจะเป็นสุขจากทางไหน จึงเป็นหน้าที่ของเรา ที่จะกำหนดลงไป (กำหนดรู้) ว่า สุขไหนหยาบ สุขไหนประณีต สุขที่มาจากเหตุไหนควรเสพ จากเหตุไหนไม่ควรเสพ แต่ควรละ บรรเทา ทำให้สิ้นไป โดยธรรมชาติของการห้ามใจจากบาปแต่ละครั้ง จะเกิดทั้งทุกข์และสุขในช่วงเวลาไล่เลี่ยกัน คือ ทุกข์เพราะตัณหาถูกขัด อึดอัดเพราะความที่จิตดิ้นรน กระสับกระส่าย จะกลับไปทำตามตัณหาเพื่อเสพให้ได้ กับ สุขที่เกิดจากการห้ามใจได้สำเร็จ (ดังที่ได้เรียนไว้แล้ว ว่า เมื่อเราทำงานใดงานหนึ่งสำเร็จ จะเกิดปีติ สุข ขึ้น) แต่สุขที่เกิดในระยะแรกๆนั้น น้อยมากจนบุคคลทั่วไปไม่สามารถรู้สึกได้ คงรู้สึกได้แต่ความทุกข์ที่เกิดจากการถูกขัดของตัณหาเท่านั้น เมื่อไม่รู้สึกถึงสุข จึงมักไม่พอใจในการกระทำห้ามบาปอันเป็นบุญของตนนั้น บางทีห้ามใจได้สักครั้ง แต่กลับปล่อยใจไหลตามกิเลสไปหลายๆครั้ง จึงกลายเป็น เดินหน้าหนึ่งก้าวแต่ถอยหลังไปหลายๆก้าว สุดท้าย ก็หยุดอยู่ไกลจากจุดที่ควรจะไปออกไปเรื่อยๆ เลยกลายเป็นว่าแม้จะได้ “ลิ้มรส”ของความดับ แต่ก็กลับหลงใหลในบาปมากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ทั้งนี้เพราะสุขจากการทำตามตัณหานั้นเกิดได้ง่าย แต่สุขจากการดับตัณหานั้นเกิดได้ยาก บุคคลต้องอดทนฝึกตนไประยะหนึ่งจึงจะได้สุขจากความดับ จิตจึงเลือกที่จะอยากได้สุขที่หามาได้ง่ายๆมาเป็นอาหารหล่อเลี้ยงมากกว่า ดังนั้น แม้การทำบุญด้วยการห้ามใจไม่ยอมตามกิเลสนี้จะทำให้เกิดทุกข์ ก็ควรรู้ว่าทุกข์ในปัจจุบันนี้มีสุขเป็นวิบาก เป็นสุขที่ไม่กลับกลายเป็นทุกข์ภายหลัง ควรทำความพอใจในการกระทำหักห้ามของตน สมดังที่ตรัสไว้ในพระคาถาหนึ่งว่า ปุญฺญเจ ปุริสา กยิรา กยิราเถนํ ปุนปฺปุนํ ตมฺหิ ฉนฺทํ กยิราถ สุโข ปุญญสฺส อุจฺจโย ฯ ถ้าบุคคลพึงทำบุญไซร้ พึงทำบุญนั้นบ่อยๆ พึงทำความพอใจในบุญนั้น เพราะว่า การสั่งสมขึ้นซึ่งบุญนำมาซึ่งสุข. และบุญจะถูกสั่งสมขึ้นจนกลายเป็นสุขได้ ก็ต้องอาศัยเมตตา คงเคยได้ยินประโยคที่ว่า เมตา เป็นพื้นฐานของพุทธศาสนากระมังคะ ไม่ว่าจะทำอะไร หากมีเมตตาเป็นจุดเริ่มก็จะสำเร็จในทุกที่ไปค่ะ ดังนั้นการที่จะทำกุศลที่เกิดขึ้นแล้วให้ถึงพร้อมนี้ก็ต้องอบรมเมตตาให้เกิดขึ้นจึงจะสำเร็จ ท่านให้เมตตาตนเป็นอันดับแรกเพราะตนเป็นบุคคลที่เรารักมากที่สุด เมื่อรักมาก ก็ย่อมอยากให้ตนพบแต่สิ่งดีๆที่ไม่กลับกลายเป็นทุกข์ภายหลัง คือเมตตาตนด้วยการทำในสิ่งดี ไม่อยากให้ใจที่ยังคลายความเห็นว่าเป็นตนยังไม่ได้จะยิ่งยินดีในบาป ห้ามใจไม่ทำบาปก็เพื่อตนจะได้ไม่ต้องพบกับทุคติ ปิดทางไปสู่อบายของตนเสีย เมตตาผู้อื่นโดยเอาตัวเราเข้าเปรียบ ว่าเราไม่อยากให้ใครมาทำอย่างไรกับเรา เราก็ไม่ควรทำกับเขาอย่างนั้น เมื่ออบรมเมตตาให้เกิดขึ้น การไม่เบียดเบียนผู้ใดจึงไม่ใช่เป็นเพราะเพียงการกลัวการถูกลงโทษ ไม่ใช่เพราะต้องการสิ่งตอบแทน (เช่น ความเชื่อที่ว่า รักษาศีลแล้วจะรวย) แต่เพราะเมตตาไม่อยากให้เขาเดือดร้อน ไม่อยากเบียดเบียนเขา ปรารถนาให้เขามีความสุข ในส่วนของการทำความดี การทำความดีอันเป็นบุญนั้น เมื่อยังคลายความเห็นว่าเป็นตนไม่ได้ การทำความดี ก็มักมีตัวตน ของตน เข้าไปเกี่ยวข้องด้วย คือทำแล้วนอกจากผู้อื่นจะได้รับประโยชน์ ตนยังพลอยได้รับผลประโยชน์ด้วย อีกทั้งบางครั้ง การทำความดีในช่วงต้นๆก็ยังไม่มีประโยชน์ตนเข้ามาเกี่ยวข้อง เป็นการทำด้วยกุศลฉันทะอย่างแท้จริง แต่พอทำไปทำไป ตัณหากลับเข้ามารับช่วงต่อ กลายเป็นว่าเดิมทำเพื่อผู้อื่นแต่ต่อมามีความคิดขอให้ตนพลอยได้ผลประโยชน์เพิ่มเข้ามาด้วย ภาวะอย่างนี้ก็เป็นเรื่องที่ต้องระวังค่ะ เช่น ช่วยเหลือผู้อื่นแล้วก็อยากให้มีผู้พบเห็นและยกย่องตน บริจาคเงินเพื่อการกุศลแล้วก็อยากให้มีคนชื่นชมว่าเป็นคนใจบุญ เดิมปรนนิบัติพ่อแม่อย่างดีเพราะอยากตอบแทนคุณท่าน แต่ต่อมากลับอยากให้ใครๆเห็นว่าตนเป็นคนกตัญญูและสรรเสริญตน เดิมเขียนเผยแผ่ธรรมเพราะอยากให้ผู้อื่นเห็นความงามของธรรม แต่ต่อมามีความอยากให้ผู้คนจดจำตนไว้เผื่อในอนาคตตนจะได้ใช้ประโยชน์จากความทรงจำของผู้คนแทรกเข้ามา อย่างนี้เป็นต้น อันที่จริง การทำดีที่ยังหวังผลตอบแทนนั้นไม่ใช่ความผิดเพราะจัดเป็นสัมมาทิฏฐิ เพียงแต่ว่าเป็นสัมมาทิฏฐิที่ยังเป็นโลกิยะ คือเมื่อมีความเห็นว่าเป็นสิ่งดีๆของตน ตนควรได้รับผลตอบแทน ก็ทำให้มีตัวตนวนไปรับผลอยู่เนืองๆ เมื่อต้องการผลแล้ว หากไม่มีผลคือการชื่นชม ยกย่อง ตอบแทนก็จะกลับกลายเป็นทุกข์หรือท้อเพราะการกระทำดีนั้นๆได้ คงเคยได้ยินประโยคที่ว่า จะทำดีไปทำไม ทำไปก็ไม่มีใครเห็น กระมังคะ นี่คือผลของการสร้างกุศลแล้ว แต่ไม่ยังกุศลให้ถึงพร้อมด้วยธรรมที่เป็นกุศล กุศลที่สร้างจึงกลับกลายเป็นอกุศลไป ดังที่ได้กล่าวแล้วว่าเมตตาเป็นพื้นฐานของธรรมต่างๆในศาสนาพุทธ จึงทำให้แม้ตั้งใจจะทำความดี ก็ต้องอบรมตนด้วยเมตตาอยู่เสมอๆด้วย โดยเมตตาตนด้วยคิดว่าหากทำดี ทำบุญ แล้วหวังผลตอบแทนตน ผลที่หวังนั้นนอกจากจะนำความไม่ยินดี ความทุกข์ มาให้ภายหลังแล้ว ยังจะโน้มใจให้ตกต่ำลงเรื่อยๆ จนในที่สุดก็อาจกลายเป็นไม่ยินดีในดารทำบุญ เมื่อไม่ยินดีในการทำบุญ ใจก็จะยินดีในบาป (ดังพระคาถาที่ยกมาในเอนทรี่ที่ผ่านมา ) ควรอบรมตนว่าพึงทำความดีเพื่อฝึกการละ คลายตระหนี่ อันจะทำให้เข้าถึงความสุขจากการปล่อยวาง อันทำให้ทางสู่สุคติที่สร้างขึ้นแล้วไม่ถูกรื้อถอนลงในภายหลังด้วยตัณหา อบรมตนว่าที่เมตตาช่วยเหลือผู้อื่นด้วยความหวังคืออยากให้เขาพ้นทุกข์ ช่วยเหลือเขาเพื่อประโยชน์แก่ตัวเขาอย่างแท้จริง สมความหมายของเมตตา คือความเป็นมิตร ความปรารถนาดีต่อกันเท่านั้น แม้แต่เมตตา ยังต้องอบรมให้ถึงพร้อม เมื่ออบรมเมตตาอันทำให้ไม่ทำความชั่ว เพียรทำความดีแล้ว อันเป็นการยังกุศลให้ถึงพร้อมแล้ว ตัวเมตตาเอง ก็ต้องอบรมให้ถึงพร้อมด้วยเช่นกันค่ะ คือ อบรมให้เป็นเมตตาที่บริสุทธิ์ ไม่ให้มีเหตุใกล้คือ "เสน่หา" แทรกเข้ามา จนทำให้เมตตาที่ไม่หวังผลตอบแทนต่อตนอันเป็นกุศลฉันทะ ถูกตัณหามารับช่วงต่อจนทำให้กลายเป็นเมตตาที่หวังได้รับผลของเมตตาตอบแทน กลับกลายเป็นความมีเยื่อใย มีความรักฉันชู้สาว และกลายเหตุแห่งทุกข์ได้ อย่างเช่น เราเมตตาเพื่อนร่วมงานที่เป็นเพศตรงข้ามที่มีคู่แล้วคนหนึ่ง เพราะความดีงามของเขาเราจึงอยากให้เขามีความสุข จึงพยายามหาโอกาสสนับสนุนเขาอยู่เนืองๆ แต่การพยายามทำอะไรเพื่อใคร ก็ต้องมีเขาและสิ่งที่เนื่องด้วยเขามาตั้งอยู่ในใจจึงจะคอยคิดหาทางทำอะไรให้เขาได้ นานๆเข้า ความเป็นเขาก็วนเวียนอยู่ในใจเรา หากไม่มีสติคอยกำกับ ตัณหาก็พร้อมจะมารับช่วงต่อ ความดีงามที่ตามเห็นจึงได้กลายเป็นความดีงามที่เราหวังจะครอบครอง เป็นความผูกพัน เกิดความปรารถนาในทางชู้สาวไป และความที่เราไม่รู้ว่าใจถูกอะไรครอบงำเข้าแล้ว จึงมักถลำลึกจนกลายเป็นเหตุแห่งทุกข์ไปในที่สุดได้ อีกทั้งควรพยายามอบรมให้เมตตาที่เกิดแล้ว เป็นเมตตาที่ไม่เป็นประมาณ เมตตาเสมอหน้า ไม่เลือกพวกเขาพวกเรา ทุกวันนี้ ที่โลกเรามีปัญหา ส่วนหนึ่งก็มาจากเมตตาที่มีให้แต่พวกพ้องตนด้วยเหมือนกัน เมตตายังเป็นอีกเหตุที่เกื้อกูลแก่ปัญญา เพราะการอบรมตนให้เมตตาเป็นเมตตาที่บริสุทธิ์ หรือเพื่อให้พบกับความดับ หรือเพื่อให้เป็นเมตตาไม่เป็นประมาณ ให้ไม่มีความเป็นตนเข้าไปรับผลตอบแทนด้วยอยู่บ่อยๆนั้น ต้องอาศัยการพิจารณาเนืองๆ เมื่อพิจารณาบ่อยๆ ปัญญาก็ย่อมงอกงามขึ้น ผลของการยังกุศลให้ถึงพร้อมด้วยเมตตา เมตตาเป็นบ่อเกิดของศีล อันเป็นโอกาสให้จิตเป็นสมาธิ เนื่องจากเมื่ออบรมตนด้วยเมตตาไม่ว่าจะเพื่อไม่ทำความชั่ว หรือทำความดี เมื่อใดที่ทำสำเร็จจิตจะเกิดกระบวนการที่นำไปสู่สมาธิที่เรียกว่า ธรรมสมาธิ ๕ นั่นคือจิตจะเบิกบานขึ้น (ปราโมทย์) แล้วความเบิกบาน ความอิ่ม ก็จะทวีขึ้นจนแผ่ซ่านไปทั้งใจและกาย (ปีติ) ซึ่งอันที่จริงความอิ่มใจหรือปีตินี้ เกิดขึ้นพร้อมๆกับความรื่นสบาย แต่ความที่ปีติมีกำลังมากกว่า เราจึงไม่รู้สึกถึงความสบายนั้น จนเมื่อปีติอ่อนกำลังลงและดับ (ปัสสัทธิ) เราจึงรู้สึกถึงความรื่น ความสบาย (สุข) นั้น และเมื่อสุขดับ จิตก็จะสม่ำเสมอ ตั้งมั่น (สมาธิ) กระบวนธรรมจึงเกิด-ดับ เกิด-ดับ ส่งกันเป็นทอดๆอย่างนี้ ตั้งแต่ ปราโมทย์ - ปีติ - ปัสสัทธิ - สุข - สมาธิ อันที่จริง กระบวนธรรมธรรมสมาธิ ๕ นี้ เกิดกับเราในชีวิตประจำวันได้เรื่อยๆค่ะ อย่างเช่น เวลาเราไปทำสังฆทานแล้วปีติ เพียงแต่เราไม่รู้ว่ากระบวนธรรมได้เกิดขึ้นแล้ว และจะจบลงที่สมาธิ จึงไม่ได้จิตที่เป็นสมาธิมาทำงานทางปัญญา เป็นการปล่อยโอกาสไปอย่างน่าเสียดาย เพราะเมื่อจิตเป็นสมาธิจะรู้เห็นได้ตามที่เป็นจริง คือ รู้ว่าจิตกำลังถูกธรรมใดครอบงำอยู่ รู้ว่าอาสวะใดไหลออกมาย้อมใจ รู้ว่ากุศลที่สร้างมีผลต่อใจอย่างไร รู้ว่าควรหาทางละ บรรเทา ทำสิ่งใดให้สิ้นไป รู้ว่าสิ่งใดได้บรรเทาลงไปแล้ว อย่างนี้เป็นต้น และเมื่อจิตเป็นสมาธิ จิตจะมีกำลัง เหมาะที่ทำงานทางปัญญานั่นคือการพิจารณาเรื่องใดๆให้รู้เห็นแง่มุมต่างๆทั้งคุณและโทษมากขึ้น ลึกซึ้งมากขึ้น เห็นแจ้งมากขึ้น ยิ่งเห็นแจ้งถึงทั้งคุณและโทษในสิ่งหนึ่งมากขึ้นเท่าใด ก็จะยิ่ง “ยังใจให้กลับ” จากสิ่งนั้นได้มากขึ้นเรื่อยๆ จึงทำให้ในยามที่พบกับสิ่งนั้นๆเฉพาะหน้า ก็จะหวั่นไหวกับสิ่งนั้นที่ได้พบเห็นทางตา หู เป็นต้น น้อยลงเรื่อยๆ จนสามารถวางใจเป็นกลางกับสิ่งนั้นๆได้อย่างแท้จริงในที่สุด และเพราะค่อยๆวางใจเป็นกลางกับสิ่งต่างๆได้ อุเบกขาธรรมจึงเจริญขึ้นไปด้วย จึงดึงสิ่งต่างๆเข้าหาตนด้วยราคะ ผลักสิ่งต่างๆออกจากตนด้วยโทสะ น้อยลงไปเรื่อยๆ สิ่งที่มี ที่เกิดขึ้น จึงค่อยๆสักแต่ว่าเป็นสภาวะที่ปรากฏ แม้สิ่งเหล่านั้นจะเป็นสภาพไม่น่ายินดี ก็จะอยู่กับสิ่งเหล่านั้นได้โดยไม่ทุกข์ ปัญญาจึงแก่กล้าขึ้น จนนำไปสู่ปัญญาสูงสุดอันพาตนหลุดพ้นหรือ ”วิชชา” ในท้ายที่สุด ก็สำหรับบุคคลที่ยังคลายความเห็นว่าเป็นตนไม่ได้ การที่มีใจมองเห็นด้วยความเป็นกลางไปทีละเรื่อง ทีละเรื่อง ทำสุขหยาบให้ประณีตขึ้นเรื่อยๆ พบสุขทั้งในปัจจุบัน ได้ทำทางสู่สวรรค์และนิพพานไว้เบื้องหน้า จะหาอะไรประเสริฐได้ไปมากกว่าความเป็นอย่างนี้อีกหรือคะ |
ถึง บล็อกเกอร์ ทุกท่าน โปรดอ่าน
ด้วยทาง บริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จำกัด (มหาชน) ได้ติดต่อขอความร่วมมือ มายังเว็บไซต์และเว็บบล็อกต่าง ๆ รวมไปถึงเว็บบล็อก OKnation
ห้ามให้มีการเผยแพร่ผลงานอันมีลิขสิทธิ์ ของบริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ฯ บนเว็บ blog โดยกำหนดขอบเขตของสิ่งที่ห้ามทำ และสามารถทำได้ ดังนี้
ห้ามทำ - การใส่ผลงานเพลงต้นฉบับให้ฟัง ทั้งแบบควบคุมเพลงได้ หรือซ่อนเป็นพื้นหลัง และทั้งที่อยู่ใน server ของคุณเอง หรือ copy code คนอื่นมาใช้ - การเผยแพร่ file ให้ download ทั้งที่อยู่ใน server ของคุณเอง หรือฝากไว้ server คนอื่น สามารถทำได้ - เผยแพร่เนื้อเพลง ต้องระบุชื่อเพลงและชื่อผู้ร้องให้ชัดเจน - การใส่เพลงที่ร้องไว้เอง ต้องระบุชื่อผู้ร้องต้นฉบับให้ชัดเจน จึงเรียนมาเพื่อโปรดปฎิบัติตาม มิเช่นนั้นทางบริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ฯ จะให้ฝ่ายดูแลลิขสิทธิ์ ดำเนินการเอาผิดกับท่านตามกฎหมายละเมิดลิขสิทธิ์
OKNATION
กฎกติกาการเขียนเรื่องและแสดงความคิดเห็น
1 การเขียน หรือแสดงความคิดเห็นใด ๆ ต้องไม่หมิ่นเหม่ หรือกระทบต่อสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ หรือกระทบต่อความมั่นคงของชาติ
2. ไม่ใช้ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่นในทางเสียหาย หรือสร้างความแตกแยกในสังคม กับทั้งไม่มีภาพ วิดีโอคลิป หรือถ้อยคำลามก อนาจาร 3. ความขัดแย้งส่วนตัวที่เกิดจากการเขียนเรื่อง แสดงความคิดเห็น หรือในกล่องรับส่งข้อความ (หลังไมค์) ต้องไม่นำมาโพสหรือขยายความต่อในบล็อก และการโพสเรื่องส่วนตัว และการแสดงความคิดเห็น ต้องใช้ภาษาที่สุภาพเท่านั้น 4. พิจารณาเนื้อหาที่จะโพสก่อนเผยแพร่ให้รอบคอบ ว่าจะไม่เป็นการละเมิดกฎหมายใดใด และปิดคอมเมนต์หากจำเป็นโดยเฉพาะเรื่องที่มีเนื้อหาพาดพิงสถาบัน 5.การนำเรื่อง ภาพ หรือคลิปวิดีโอ ที่มิใช่ของตนเองมาลงในบล็อก ควรอ้างอิงแหล่งที่มา และ หลีกเลี่ยงการเผยแพร่สิ่งที่ละเมิดลิขสิทธิ์ ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบหรือวิธีการใดก็ตาม 6. เนื้อหาและความคิดเห็นในบล็อก ไม่เกี่ยวข้องกับทีมงานผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซต์ โดยถือเป็นความรับผิดชอบทางกฎหมายเป็นการส่วนตัวของสมาชิก คลิ้กอ่านเงื่อนไขทั้งหมดที่นี่"
OKnation ขอสงวนสิทธิ์ในการปิดบล็อก ลบเนื้อหาและความคิดเห็น ที่ขัดต่อความดังกล่าวข้างต้น โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ต่อเจ้าของบล็อกและเจ้าของความคิดเห็นนั้นๆ
|
||
![]() ![]() |