![]() ตอนที่ 3 เดินไปคิดไป -> กำยาน - ซาโมซา - ฉี่ยี่กง - ร.ฟ.ท. เพื่อที่จะไปวัดเล่งเน่ยยี่ ถนนเจริญกรุง วันนั้น บังเอิญมากที่ผมสามารถใช้บริการรถเมล์ฟรี สาย 1 ของ ข.ส.ม.ก ที่ผ่านมา เพราะวิ่งขึ้นได้ทัน บรรดารถเมล์ฟรี นี่ สงสัยได้รับคำสั่งให้ รักษาความเร็วแบบ ภาพยนตร์เรื่อง SPEED ห้ามชะลอ และหากเห็นว่า ที่ป้ายรถเมล์ มีผู้โดยสาร รออยู่จำนวนมาก ก็ให้ขับออกเลนขวา ไปจอดกลางถนน หากใครสามารถวิ่งไปขึ้นได้ทัน ก็นับว่า มีบุญ... เพราะเมื่อขึ้นรถได้ ก็สบายล่ะครับ ที่นั่งเยอะ เพราะไม่ค่อยจอด ถ้าไม่มีคนลง เป็นโอกาสได้ชมทิวทัศน์กรุงเทพฯ ด้วยยานพาหนะที่ใช้ความเร็วสูง... ![]() ![]() ![]() นั่งรถเพลินๆ จนถึงศาลาเฉลิมกรุง ขณะรถกำลังติด ผมตัดสินใจว่า ก่อนจะไปวัดเล่งเน่ยยี่ ไหนๆ ก็ผ่านมาทางนี้แล้ว ควรที่จะลงเดินลัดเลาะจากตรงจุดนี้ ไปซื้อสินค้าจำเป็น แถวๆ พาหุรัดก่อน แล้วค่อยเดินไปทางเยาวราช จึงกดกริ่งขอลง.... บังเอิญว่า ตรงที่รถจอดค้างอยู่นั้น เป็นป้ายรถเมล์ จึงได้ลง แล้วข้ามถนน เดินตัดเข้าซอยด้านข้าง ดิโอลด์สยาม เพื่อหาทางเข้าไป บริเวณที่เรียกว่า ลิตเติลอินเดีย Activity อย่างหนึ่งในชีวิตผม คือ สวดมนต์ เมื่อก่อนสวดครั้งละ 9 วัน หยุด 1 วัน หลังๆ นี่ สวดเฉพาะวันพระ โดยสิ่งหนึ่งซึ่งนำมาใช้สร้างบรรยากาศ ก็คือ กำยาน เมื่อก่อนจุดธูป แต่การจุดธูป ต้องใช้เวลานาน ไม่ต้องการให้ควันธูป คละคลุ้ง ลอยละล่อง อยู่ภายในที่พักเป็นเวลานานๆ จึงเปลี่ยนเป็น กำยาน.. ซึ่งที่ลิตเติลอินเดีย นี่ จะมีกำยานสารพัดกลิ่น ซึ่งจุดแล้ว ช่วย make บรรยากาศแขกๆ ได้ดีทีเดียว.. ผ่านมาคราวนี้ จึงถือโอกาสแวะหาซื้อไปตุน... ก่อนหน้านั้น ทุกครั้งที่ผผ่านมาย่านนี้ ผมมักเดินเข้าไปในซอยลิตเติลอินเดียทางด้านประตูวัดซิกซ์ แต่คราวนี้ คิดว่าจะลองสำรวจเส้นทางเข้าด้านวิทยาลัยเพาะช่าง (เดิม) แต่ก็เดินหาจนเหนื่อย... เพราะไม่ใช่ซอยตรง ต้องเดินเข้าซอย แล้วเลี้ยวซ้ายไปด้านหลังตึกแถว แล้วจึงเลี้ยวขวาเข้าซอย และดูเหมือนคราวนี้ดูจะยากยิ่งขึ้น ผมมองหาซอยคุ้นเคย ซึ่งมีทางเดินกว้างๆ ไม่เจอ เพราะมีการก่อสร้าง แล้วกั้นสังกะสีตลอดทางเดิน ทำให้ ทางเดินหน้าร้านเหลือแคบนิดเดียว... ครั้งแรกมองเข้าไปแแล้วไม่แน่ใจ...คิดว่ามาผิดซอย... ต้องชั่งใจ โดยสังเกตผู้คนที่เดินไปมา จนเมื่อเห็นว่าหน้าตาแขกๆ จึงมั่นใจเดินเข้าไป ![]() ภาพวัดซิกซ์ ลอยอยู่ท่ามกลางตึกรามบ้านช่อง ![]() ทางเข้าแคบๆ มองครั้งแรกคิดว่ามาผิดซอย ![]() เมื่อเห็นหน้าตาผู้คนในซอย.. ใช่แล้ว... ลิตเติลอินเดีย ![]() ร้านนี้ จำได้ว่า เข้าประตูไป จะมีตู้กระจกโชว์ขนมสารพัดชนิด (แก้ไข 16-09-2553) ![]() ขนมที่สารพัดชนิดที่ว่า ก็แบบนี้แหละครับ นี่คือภาพร้านใกล้ๆกัน (2552) วันที่ไป ร้านนี้คงจะปิด (แก้ไข 16-09-2553) (จาก http://www.oknation.net/blog/mrtaweesak-photo ) ![]() ![]() เดินเข้าไปเรื่อยๆ มองหาร้านที่ขายกำยาน มองหาที่เหมาะๆ จนเจอร้านนี้... เมื่อซื้อกำยานเรียบร้อย เดินต่อมาอีกไม่กี่ก้าว...เจอแม่ค้ากำลังทำอะไรบางอย่าง ถามเธอ 1 ครั้ง ก็เฉย 2 ครั้ง ก็เฉย ไม่ตอบ ทีแรกคิดว่าพูดไทยไม่ได้ แต่สักประเดี๋ยว ได้ยินเธอหันไปพูดไทยเจื้อยแแจ้วกับคนข้างๆ ก็ว่าจะถามสักหน่อยว่า ที่นั่งประดิดปประดอยนั่น หมากหวานหรือเปล่า... ราคาเท่าไหร่ ... ฮึ! แขกไม่รับแขก.. ![]() เดินเรื่อยๆ ก่อนถึงปากซอย มีร้านขายซีดี/ดีวีดีภาพยนตร์อินเดีย ที่จริงผมชอบนักล่ะ หนังแขก.. แต่ก็ไม่รู้ว่าจะเลือกอย่างไร คงต้องอาศัยเช่าตามร้านดีกว่า... ![]() ร้านนี้ชื่อ ซันนี่วีดีโอ ขายดีวีดี วีซีดีทั้งหนัง ละคร และเพลงอินเดียที่อัพเดทที่สุด ถัดจากร้านซันนี่วีดีโอ ไปอีกไม่กี่ก้าว ก็ถึงปากซอยอีกด้านหนึ่ง.. ตรงปากซอย สังเกตเห็นแผงขายอาหารอะไรสักอย่าง ผมเคยเห็นแผงนี้มานานแล้ว แต่ไม่เคยแวะสักที คราวนี้ตั้งใจเลยว่า ต้องแวะซื้อ เพราะดูภาพยนตร์อินเดียบ่อยๆ จนเริ่มคุ้นเคยกับ "ซาโมซา" เมื่อเดินเข้าไปถ่ายรูป คนขายบอกทันทีว่า "ซาโมซา อันละ 8 บาท 4 อัน 30 บาท" คราวนี้ได้ซื้อมาชิมจริงๆ เมื่อกลับถึงบ้าน ลองชิมดู อร่อยดีครับ.. ผมว่า กะหรี่ปั๊บ" ของไทย พระวิมาดาเธอฯ (เสด็จย่าของพระองค์เจ้าภานุพันธยุคล เสด็จตาของพระองค์เจ้าโสมสวลีฯ ) ท่านคงดัดแปลงมาจากซาโมซา นี้มั้ง! ซาโมซาที่ซื้อไป รสชาติออร่อยดี แต่น้ำจิ้มไม่อร่อย เหมือนน้ำมะขามเปียกเปรี้ยวๆ อย่างเดียว เคยดูภาพยนตร์อินเดียเรื่องหนึ่ง คนอินเดียที่ไปอยู่ประเทศอังกฤษ คุยกันว่า "เดี๋ยวนี้หาซาโมซาอร่อยๆ ยากเหลือเกิน.." จึงทำให้อยากรู้เหมือนกันว่า ที่ว่าอร่อยๆ ต้นตำรับนั้น เป็นอย่างไร.... ![]() ![]() ![]() แผงขายซาโมซา ปากซอยลิตเติลอินเดีย เดินออกมาจากลิตเติลอินเดีย ข้ามถนนไปฝั่งตรงข้าม ผ่านร้านตั้งจิบเซ้ง ร้านนี้ขายอุปกรณ์ทำขนมอบสารพัดชนิด หากมีโอกาสได้ผ่านมา ผมมักจะแวะซื้อของร้านนี้ไปตุนไว้ทำขนมเสมอๆ แม้ว่าจริงๆ แล้ว มีร้านเจ้าประจำอีกร้านหนึ่งอยู่ที่สะพานควาย ถัดจากร้านนี้ไปอีกไม่เท่าไหร่ ก็เป็นร้านเซี่ยงไถ่ ซึ่งผลิต/ซ่อม/เปลี่ยนผ้าร่ม เก่าแก่มาก... เมื่อครั้งที่ร่มราคาถูกจากประเทศจีน ยังไม่เข้ามาตีตลาด เหมือนในปัจจุบัน ร้านนี้มีชื่อเสียงมาก กาลเวลาผ่านไป ร่มราคาถูกไร้รสนิยมได้กลบชื่อเสียงร้านนี้ไปจนแทบหมดสิ้น.. ไว้คราวหน้า ผมจะมาซื้อร่มพับไปไว้ใช้กันฝน และรำลึกความหลัง บ้าง... ร้านร่มฟ้าไทย.. โชว์รูมของเซี่ยงไถ่![]() ร้านตั้งจิบเซ้ง ![]() ร้านเซี่ยงไถ่ ![]() จากนั้น ผมก็เดินเลี้ยวขวา ที่หัวมุมถนน ถัดจากร้ายเซี่ยงไถ่ มุ่งหน้าไปทางเยาวราช มีเป้าหมายอยู่ที่วัดเล่งเน่ยยี่... ((วัดมังกรกมลาวาส) ที่จริงวัดนี้ เป็นอีกสถานที่หนึ่งซึ่งผมมักแวะเป็นประจำ จนช่วงหนึ่งแพ้ควันธูปอย่างรุนแรง เข้าไปข้างในตัวอาคารพระวิหารทีไร น้ำตาไหลไม่หยุดทุกครั้ง ต้องยอมแพ้ เดินไปเดินมาอยู่ด้านนอก ภายในตัวอาคาร เขาห้ามถ่ายภาพ ครั้งหนึ่งเมื่อราวๆ ปี 2550 ผมไม่รู้เรื่อง จึงยกกล้องขึ้นถ่ายหน้าตาเฉย มีคนมาโบกมือห้าม ก็ว่าง่ายครับ เก็บกล้องโดยดี แต่ว่าไม่ได้ ก่อนหน้านั้นกดชัตเตอร์ไปแล้ว ดูภาพสิครับ ![]() พระประธานในวิหารวัดเล่งเน่ยยี่ พระศากยมุนีพุทธเจ้า พระอมิตาภพุทธเจ้า พระไภษัชยคุรุพุทธเจ้า ทั้งหมด 3 องค์ คนจีนเรืยก "ซำป้อหุกโจ้ว" ไม่แน่ใจว่าเรียงอย่างไร.. จากประตูวัดเล่งเน่ยยี่ เข้าไปประมาณ 50 เมตร ด้านซ้ายมือ เป็นที่บูชาอะไรสักอย่าง (หาข้อมูลในอินเตอร์เน็ต พบว่าคือ ศาลแปะโฮ้ว เทียนเก้า ) ด้านหลังมีเจดีย์ทรงไทยองค์หนึ่ง ตั้งอยู่เกือบติดกำแพง ท่ามกลางเจดีย์ทรงจีนอื่นๆ ผมเคยเห็นเจดีย์องค์นี้มานานแล้ว แต่ไม่ได้สนใจอะไร เนื่องจากที่ตั้ง ดูเหมือนไม่ค่อยได้รับการเอาใจใส่ ปล่อยปละละเลยให้บริเวณรอบๆ ดูไม่สะอาด มีกลิ่นสกปรก ชอบกล.! ![]() ![]() มีข่าวโด่งดังตั้งแต่ปี 2550 ต่อเนื่องจนถึงเมื่อเร็วๆ นี้ (สิงหาคม 2553) ว่า วัดเล่งเน่ยยี่ ต้องการทุบทิ้งเจดีย์องค์นี้ เพื่อปรับปรุงทัศนียภาพ และสร้างศาลา 7 ชั้น ใช้ประกอบกิจกรรมสงฆ์ กล่าวกันว่า บริเวณที่ตั้งเจดีย์นี้ เป็นที่ดินซึ่งมีผู้บริจาคให้วัด เพื่อสร้างพระเจดีย์ 4 องค์ เป็นที่บรรจุอัฐิของต้นตระกูลใหญ่ เมื่อกว่า 115 ปีก่อน ![]() ![]() ![]() จะเห็นว่าเจดีย์ตั้งอยู่ในสถานที่เสื่อมโทรม ขาดการเอาใจใส่ ตามประวัติกล่าวกันว่า เจดีย์นี้บรรจุอัฐิของ "ฉี ยี่ กง" บรรพบุรุษของตระกูลจึงแย้มปิ่น และอีกหลายตระกูล เช่น หวั่งหลี, ล่ำซำ, อึ๊งภากรณ์ ฯลฯ ซึ่งอพยพจากประเทศจีน มาตั้งรกรากในเมืองไทยตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 4 โดยอ้างหลักฐานหลายประการ เช่น แผนที่โบราณแสดงจุดที่ตั้งเจดีย์ แผ่นหินจารึกหน้าเจดีย์ที่ระบุว่า บรรจุอัฐิของ ฉี ยี่ กง ซึ่งตระกูลจึงแย้มปิ่นเชื่อว่า เป็นองค์ชายสอง แห่งราชวงศ์ชิง เป็นรัชทายาทที่ลี้ภัยมาอาศัยในแผ่นดินไทย ตามหลักเกณฑ์แล้ว หากเจดีย์ มีอายุมากกว่า 100 ปีขึ้นไป กรมศิลปากรต้องขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานและอนุรักษ์ไว้ เรื่องนี้นักวิชาการด้านประวัติศาสตร์ นายเทพมนตรี ลิมปพยอม ได้กล่าวว่า การพิสูจน์ข้อเท็จจริง สามารถทำได้ด้วยการดูแผนที่โบราณของวัด ว่าคลอบคลุมถึงพื้นที่พระเจดีย์ด้วยหรือไม่ หากมีการเปลี่ยนเส้นแสดงพื้นที่ โบราณสถานภายหลังกรมศิลปากรก็ต้องเป็นฝ่ายรับผิดชอบ นอกจากนี้ อาจารย์ศรีศักดิ์ วัลลิโภดม นักโบราณคดี กล่าวถึงกรณี กรมศิลปากรไม่ยอมขึ้นทะเบียนเจดีย์องค์นี้ว่า มาตรฐานของกรมศิลปากรอาจคลาดเคลื่อนไปบ้าง ด้วยหลายปัจจัย แต่อยากให้มองกรณีนี้ด้วยมุมมองที่ว่าเจดีย์องค์นี้เป็นสมบัติของชุมชน เป็นมรดกทางวัฒนธรรมของชุมชน ...เศร้า... เมื่อเสร็จจากเดินสำรวจ และถ่ายภาพเจดีย์ ด้วยความโล่งใจ ว่ายังไม่ได้รื้อ.... เวลาก็ล่วงเลยไปเกือบสี่โมงเย็นแล้ว ผมจึงตัดสินใจกลับบ้าน เมื่อเดินออกมาที่หน้าประตูวัด มองซ้ายมองขวา นึกขึ้นได้ว่าควรถ่ายภาพป้ายหน้าวัด ไว้เป็นหลักฐาน ![]() ขณะที่กำลังเก้ๆ กังๆ ยกกล้องให้พ้นศีรษะผู้คนที่เดินเข้าออกประตูวัด ได้ยินเสียงเด็กหนุ่มสาวที่ยืนอยู่ใกล้ๆ ฝ่ายชายพูดว่า "ตัวเอง.. เดินเที่ยวแแถวนี้ก่อนดีกว่า.. เห็นว่าคลองถมก็อยู่แถวนี้... " ฝ่ายหญิงก็ว่า "ไกลหรือเปล่า... ขึ้นรถไปดีมั้ย" ผมได้ยินดังนั้นก็คันปาก.. หันไปพร้อมชี้นิ้วไปด้านคลองถม ซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกลว่า "คลองถม.. ก็นั่นไงครับ.. ตรงสี่แยกนั่น ทั้งแถบ..เรียกว่าคลองถม.." ขนาดนั้น สาวน้อยยังหันมาถามว่า ต้องขึ้นรถไปหรือเปล่าคะ.." เฮ้อ! ถ้าหนูน้อยทราบว่า ผมเดินตะลอนๆ เรื่อยเปื่อยตั้งแต่เช้า ยัน สี่โมงเย็น.. แกคงตกใจ... คนกรุงเทพฯ คงเคยชินกับการโดยสารพาหนะไปนั่นมานี่... ไม่ชอบเดิน พวกเขาจะรู้บ้างหรือไม่ว่า การเดิน..คือ กุญแจไขความลับราคาถูก. ที่ช่วยให้เราได้ล่วงรู้อีกหลายสิ่งหลายอย่าง ที่เรามักมองผ่าน..... :) ![]() ร้านหยั่นหว่อหยุ่น หากหันหน้าเข้าประตูวัดเล่งเน่ยยี่ ตั้งอยู่ด้านขวา ร้านเดิมน่าจะตั้งอยู่ตรงข้ามประตูเข้าวัด ผมเดินไปที่ป้ายรถเมล์ ในใจคิดว่า จะกลับบ้านอย่างไรดี เมื่อหันไปด้านขวามือ เห็นรถเมลสาย 7 (คลองขวาง-หัวลำโพง) เข้ามาจอด. จึงตะกายขึ้นไป คิดว่าจะไปตั้งต้นเอาที่สถานีรถไฟหัวลำโพง... เมื่อรถเมล์ไปถึงสถานีรถไฟหัวลำโพง... ผมนึกขึ้นมาได้ว่า เดี๋ยวนี้เขามีบริการรถไฟฟรี... จึงไปที่ช่องขายตั๋ว บอกปลายทางที่จะไป พนักงานขายตั๋วโยนตั๋วให้ 1ใบ (ถ้าเป็นแก้วน้ำ คงแตก...) ผมหยิบตั๋วมาดู เห็นเวลารถออก คือ 16.30 น. ![]() ตั๋วรถไฟฟรี ขณะนั้น เวลาประมาณสี่โมงเย็น.. เหลือเวลาอีกเกือบครึ่งชั่วโมง... เมื่อเห็นนาฬิกา ความเหนื่อยดูเหมือนถาโถมเข้ามาในทันทีทันใด สงสัยว่าสังขารทั้งมวล คงจะคืนกลับจากภวังค์... ผมเดินไป..ที่ชานชาลา หันกลับไปมองภาพสถานีรถไฟหัวลำโพง เห็นรูปทรงอาคารแบบเดิม ถึงแม้ว่าจะปรับปรุงติดเครื่องปรับอากาศในส่วนขายตั๋ว และร้านค้า ช่วยให้ผู้โดยสารที่ไปนั่งรอ ลดความรุ่มร้อนหงุดหงิดลงได้บ้าง แต่ความรู้สึกที่มีต่อการรถไฟแห่งประเทศไทย รัฐวิสาหกิจผูกขาดอายุ 110 ปี (2443) ก็ยังคงเดิม แม้ว่าบางช่วงเราจะไว้ใจรถไฟมาก..ด้านความปลอดภัย.. แต่วันดีคืนดี รถไฟ ก็ทำลายความรู้สึกนั้นๆ จนหมดสิ้น... กลับไปกลับมา... ![]() ![]() ![]() สภาพตัวถังรถ... ถลอกปอกเปิก... น่าสงสาร ผมเดินสำรวจโบกี้รถไฟ ขบวนที่จะเดินทางกลับบ้าน... ถึงแม้ว่าในวันนั้น จะดูสะอาดสอ้านดี.. แต่ก็ไม่แน่ใจนัก ว่าการที่รถไฟไทย ยังคงมุ่งมั่นใช้ของเก่า สภาพตัวถังรถปุปะ ไม่ปรับปรุงภาพลักษณ์อันมอซอ ให้ทันสมัย... ควรจะเป็นความภูมิใจของผู้เสียภาษีอากร หรือไม่ เพียงไร.... ![]() ![]() ![]() มองไปอีกชานชาลาหนึ่ง เห็นตู้รถไฟรุ่นเก่า เก้าอี้ไม้ ซึ่งยังคงถูกใช้งานอย่างมาดมั่น.. เมื่อถึงเวลารถไฟออกจากสถานี 16.30 น. ผมมองออกไปนอกหน้าต่าง.. รถแล่นผ่านโบกี้รถสารพัดชนิด ที่จอดอยู่ตามรางทั่วบริเวณข้างๆ สายตาก็ไปบรรจบกับตู้โดยสารรถดีเซลปรับอากาศที่คุ้นเคย... เพราะวันหนึ่งเมื่อราวๆ ปลายปี 2547 ผมเคยโดยสารรถแบบเดียวกันนี้ ไปลงที่อำเภอทุ่งสง... นั่งไปรู้สึกคันยุบยิบๆไปตลอดทาง เหมือนมีตัวอะไรคลานอยู่ด้านในกางเกง แต่ความที่ว่าเมื่อไปถึง มัวแต่สนุกกับงานเลี้ยง.. เพลิดเพลินจนไม่ได้สังเกตร่างกายตนเอง หลังจากนั้น 2-3 วัน เมื่อกลับถึงกรุงเทพฯ ขณะอาบน้ำ มองเห็นผิวหนังบริเวณขาอ่อนลงไป เห่อเป็นผื่นแดง เป็นปื้นๆ เต็มไปหมด....เหมือนโดนตัวอะไรกัด... ขณะนั้น ผมก็ยังคงคิดว่า ช่วงไปทุ่งสง คงจะสนุกจนไม่สังเกตว่าถูกยุงกัด... แม้ว่า... รอยเห่อ บนผิวหนัง นั้น ต้องใช้เวลานานมาก กว่าจะยุบ...ก็ตาม จนกระทั่ง 1- 2 ปี ต่อมา มีข่าวว่าพบตัวเรือด อาศัยอยู่ตามเก้าอี้โดยสารของขบวนรถดีเซลรางด่วนพิเศษนี้ ทุกสาย.. จึงถึงบางอ้อ.. ว่า รอยผื่นนั่น.. โดนตัวเรือดกัด.... เฮ้อ..! รถไฟไทย... ![]() ![]() ![]() รถดีเซลรางด่วนพิเศษ ![]() รถจอดเทียบชานชาลาสถานีหลักสี่...... และปิดฉากวัน Relax สัปดาห์ที่ 4 ของเดือนสิงหาคม 2553 อีกบทพิสูจน์หนึ่ง ของความสุข ที่ใครๆ ก็แสวงหาได้.... ไม่ใกล้ไม่ไกล...... สวัสดีครับ. All PHOTOS and ARTICLES are PROTECTED by COPYRIGHT LAW and may not be COPIED, ALTERED, REPRODUCED, TRANSMITTED, or USED in any way without the prior permission. © Narasha's Blog |
ถึง บล็อกเกอร์ ทุกท่าน โปรดอ่าน
ด้วยทาง บริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จำกัด (มหาชน) ได้ติดต่อขอความร่วมมือ มายังเว็บไซต์และเว็บบล็อกต่าง ๆ รวมไปถึงเว็บบล็อก OKnation
ห้ามให้มีการเผยแพร่ผลงานอันมีลิขสิทธิ์ ของบริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ฯ บนเว็บ blog โดยกำหนดขอบเขตของสิ่งที่ห้ามทำ และสามารถทำได้ ดังนี้
ห้ามทำ - การใส่ผลงานเพลงต้นฉบับให้ฟัง ทั้งแบบควบคุมเพลงได้ หรือซ่อนเป็นพื้นหลัง และทั้งที่อยู่ใน server ของคุณเอง หรือ copy code คนอื่นมาใช้ - การเผยแพร่ file ให้ download ทั้งที่อยู่ใน server ของคุณเอง หรือฝากไว้ server คนอื่น สามารถทำได้ - เผยแพร่เนื้อเพลง ต้องระบุชื่อเพลงและชื่อผู้ร้องให้ชัดเจน - การใส่เพลงที่ร้องไว้เอง ต้องระบุชื่อผู้ร้องต้นฉบับให้ชัดเจน จึงเรียนมาเพื่อโปรดปฎิบัติตาม มิเช่นนั้นทางบริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ฯ จะให้ฝ่ายดูแลลิขสิทธิ์ ดำเนินการเอาผิดกับท่านตามกฎหมายละเมิดลิขสิทธิ์
OKNATION
กฎกติกาการเขียนเรื่องและแสดงความคิดเห็น
1 การเขียน หรือแสดงความคิดเห็นใด ๆ ต้องไม่หมิ่นเหม่ หรือกระทบต่อสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ หรือกระทบต่อความมั่นคงของชาติ
2. ไม่ใช้ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่นในทางเสียหาย หรือสร้างความแตกแยกในสังคม กับทั้งไม่มีภาพ วิดีโอคลิป หรือถ้อยคำลามก อนาจาร 3. ความขัดแย้งส่วนตัวที่เกิดจากการเขียนเรื่อง แสดงความคิดเห็น หรือในกล่องรับส่งข้อความ (หลังไมค์) ต้องไม่นำมาโพสหรือขยายความต่อในบล็อก และการโพสเรื่องส่วนตัว และการแสดงความคิดเห็น ต้องใช้ภาษาที่สุภาพเท่านั้น 4. พิจารณาเนื้อหาที่จะโพสก่อนเผยแพร่ให้รอบคอบ ว่าจะไม่เป็นการละเมิดกฎหมายใดใด และปิดคอมเมนต์หากจำเป็นโดยเฉพาะเรื่องที่มีเนื้อหาพาดพิงสถาบัน 5.การนำเรื่อง ภาพ หรือคลิปวิดีโอ ที่มิใช่ของตนเองมาลงในบล็อก ควรอ้างอิงแหล่งที่มา และ หลีกเลี่ยงการเผยแพร่สิ่งที่ละเมิดลิขสิทธิ์ ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบหรือวิธีการใดก็ตาม 6. เนื้อหาและความคิดเห็นในบล็อก ไม่เกี่ยวข้องกับทีมงานผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซต์ โดยถือเป็นความรับผิดชอบทางกฎหมายเป็นการส่วนตัวของสมาชิก คลิ้กอ่านเงื่อนไขทั้งหมดที่นี่"
OKnation ขอสงวนสิทธิ์ในการปิดบล็อก ลบเนื้อหาและความคิดเห็น ที่ขัดต่อความดังกล่าวข้างต้น โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ต่อเจ้าของบล็อกและเจ้าของความคิดเห็นนั้นๆ
|
||
![]() ![]() |
กล้วยนาก | ||
![]() |
||
ไปเจอกล้วยนาก ที่ตลาดเช้าอีกแห่งหนึ่งในเมืองพิษณุโลก สีของกล้วยชนิดนี้ช่างสมกับชื่อ "นาก" จริงๆ (หากใครที่เคยเห็น "นาก" ซึ่งเป็นส่วนผสมระหว่างทองคำ กับ ทองแดง จะเข้าใจถึง สีของกล้ |
||
View All ![]() |
<< | กันยายน 2010 | >> | ||||
อา | จ | อ | พ | พฤ | ศ | ส |
1 | 2 | 3 | 4 | |||
5 | 6 | 7 | 8 | 9 | 10 | 11 |
12 | 13 | 14 | 15 | 16 | 17 | 18 |
19 | 20 | 21 | 22 | 23 | 24 | 25 |
26 | 27 | 28 | 29 | 30 |