โครงสร้างทางประชากรของประเทศไทย กำลังจะก้าวไปสู่สังคมผู้สูงวัย (สว) ซึ่งคาดว่าปี 2553 จะมีประชากรอายุเกิน 60 ปีขึ้นไป 11% และเพิ่มเป็น 15% ในปี 2563 ชีวิตมนุษย์จะต้องเผชิญกับสิ่งต่อไปนี้คือ

1.อายุสั้น จากไปก่อนวัยอันควร

2.อายุยืน หลังเกษียณไม่มีรายได้

3. ทุพพลภาพ หรือ เจ็บป่วยในระยะยาว

ซึ่งรัฐบาลเล็งเห็นแล้วว่า ยังมีประชากรจำนวนมากประมาณ 24 ล้านคน อยู่นอกระบบประกันสังคมกรณีชราภาพ ขาดหลักประกันในส่วนนี้ จึงได้ออก พรบ.กองทุนการออมแห่งชาติขึ้น ครอบคลุมผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 20-60 ปี ส่วนผู้ที่อายุต่ำกว่า 20 ปีสามารถเข้ากองทุนได้ตามสมัครใจ

การจ่ายเงินเข้ากองทุน

1. ผู้ออม สามารถจ่ายเงินสะสมเข้ากองทุนเดือนละ 100-1,000 บาท โดยชำระเป็นรายเดือน รายสามเดือน รายหกเดือน หรือรายปีได้

2. รัฐบาล จ่ายสทบให้ตามสิทธิ ตามช่วงอายุของผู้ออม

   - อายุผู้ออม 20-30 ปี สมทบเดือนละ 50 บาท

   - อายุผู้ออม 30ปี 1 เดือน - 50 ปี สมทบเดือนละ 80 บาท

   - อายุผู้ออม 50ปี 1 เดือน - 60 ปี สมทบเดือนละ 100 บาท

3. ผลประโยชน์

สมาชิกจะได้รับผลประโยชน์ตามจำนวนเงินในบัญชีของแต่ละบุคคล ซึ่งขึ้นอยู่กับเงินออมของสมาชิก เงินสมทบของรัฐบาล และดอกผลจากการบริหารเงิน ซึ่งรับประกันเงินต้น รวมดอกผลขั้นต่ำไม่น้อยกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 1 ปี

4. อายุที่สิทธิรับบำนาญ

อายุ 60 ปี  จะได้รับบำนาญตลอดชีพ ตัวอย่าง หากออมขั้นต่ำเดือนละ 100 บาท ตั้งแต่อายุ 20 ปี คาดว่าจะได้บำนาญสูงสุด 1,710 บาทต่อเดือน (และเบี้ยยังชีพอีก 500 บาท ต่อเดือน)

5. สิทธิประโยชน์ทางภาษี

  เงินสมทบ ,เงินผลประโยชน์ ,เงินที่ได้รับจากกองทุน ยกเว้นภาษี

6. ขนาดเงินกองทุนในปีแรก คาดว่าประชาชนที่มีสิทธิเข้าร่วมกองทุน 100% จะมีเงินกองทุนเงินออมในปีแรก 56,316 ล้านบาท

ข้อมูลเพิ่มเติม : http://www.moneychannel.co.th/Menu6/NewsUpdate/tabid/89/newsid491/99958/Default.aspx