อีก ๒ วันก็จะมีงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติกันแล้วครับ (๑๘ ต.ค.๕๕) สภาพที่เบียดแย่งกันซื้อหนังสือราคาถูกเริ่มมีมากขึ้นตามลำดับ มากขึ้นทุกๆ ปี คนแก่อย่างผมเดินได้รอบเดียวก็ต้องกลับบ้านแล้ว และต้องมีคนช่วยถือหนังสือให้จึงจะเดินได้อีกรอบหนึ่ง สรุปแล้ว “คนอ่านหนังสือ” มากขึ้นทุกปีครับ

        แม้จะดูว่ามีคนอ่านหนังสือมากมายถ้าดูในงานสัปด์หนังสือแห่งชาติ  แต่ก็มีสถิติเรื่องนักอ่านหนังสือทั่วโลกที่ร้านหนังสือแห่งหนึ่งในสิงคโปร์ติดไว้ว่า คนไทยอ่านหนังสือเฉลี่ยคนละ ๔-๕ เล่มต่อปี (น้อยมาก) ในขณะที่คนสิงคโปร์ ๑ คนจะอ่านมากถึง ๕๐-๖๐ เล่มต่อปี แต่น้อยกว่าคนเวียดนามที่อ่านถึง ๖๐-๖๕ เล่ม ดังนั้นจึงไม่ต้องสงสัยว่าทำไมคนเวียดนามถึงเก่งทางด้านวิทยาศาสตร์และคอมพิวเตอร์ อยู่ในลำดับต้นๆ ของเอเชียทีเดียวครับ และเก่งมา ๑๐ กว่าปีแล้ว

        เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ ที่ว่า”คนไทยอ่านหนังสือน้อย” ข้อมูลที่ได้รับจึงน่าจะน้อยตามไปด้วย ประกอบกับสื่อหลักเกือบทุกชนิดอยู่ในภาวะ “ต้องเอาตัวรอด” ไม่ขัดแย้งกับรัฐบาล แหล่งข้อมูลที่เป็นความจริงที่จะสื่อมายังกลุ่มประชาชนที่ไม่อ่านหนังสือจึงน้อยลงตามลำดับ ซึ่งน่าจะเป็นผลทำให้รัฐบาลคุณยิ่งลักษณ์ที่แผลเต็มตัว พุพองไปหมดถึงอยู่ได้สบายๆ เมื่อหันมาดูสถิติผู้ใช้แรงงานของเรา (ปี ๒๕๕๔ ) บ้าง เพราะเป็นกลุ่มที่สนับสนุนรัฐบาลแล้วยิ่งน่ากลัวไปใหญ่ครับ พบว่า “มีผู้ที่มีการศึกษาต่ำกว่าชั้นประถมถึง ๓๐% มีการศึกษาระดับประถม ๒๒%” เมื่อดูมาถึงตรงนี้แล้วก็พอรู้ได้ว่า ทำไมรัฐบาลในเครือคุณทักษิณฯ ถึงได้ใช้ “ประชานิยม”, ทำไมความผิดพลาดอย่างมากมายของรัฐบาลจึงไม่ทำให้รัฐบาลล่มจมลงไป, ทำไมละครตอนเย็นถึงครองใจชาวบ้าน, ทำไมคนไทยเราส่วนใหญ่จึงยอมรับคอร์รัปชั่นได้ถ้าตัวเองได้ผลประโยชน์อันน้อยนิดด้วย ฯลฯ

        ประเทศไทยมีรัฐธรรมนูญแปลกประหลาดฉบับเดียวในโลกที่บังคับให้ ส.ส.สังกัดพรรค, ให้พรรคมีอำนาจเหนือ ส.ส. สามารถไล่ ส.ส.ออกจากตำแหน่งถ้าไม่ทำตามคำสั่งพรรคได้ และบังคับให้นายกรัฐมนตรีต้องมาจาก ส.ส.อีกด้วย ถือว่าเป็นรัฐธรรมนูญที่มีอยู่ฉบับเดียวในโลกนี้ครับ ที่สนับสนุนให้คนกลุ่มหนึ่งรวมตัวกันลงขันด้วยเงินแค่ ๑-๒ หมื่นล้านก็เข้าไปยึดประเทศได้ เพื่อให้ถลุงงบประมาณมากมายหลายสิบล้านล้าน ลองคิดดูแค่เอาเศษเงินที่เอาไปซ่อนที่ฮ่องกง (๑.๖ หมื่นล้าน) ก็เกือบซื้อประเทศไทยได้แล้ว

        อ.อมร จันทรสมบูรณ์ เขียนไว้ว่า

        “ระบอบเผด็จการโดยพรรคการเมืองนายทุน (ในระบบรัฐสภา)คงจะไม่ได้รับการยอมรับและไม่สามารถเกิดขึ้นได้ (ตามความต้องการของนักการเมืองนายทุนที่มาจากการเลือกตั้ง) ถ้าหากคณาจารย์ในคณะนิติศาสตร์และรัฐศาสตร์ในมหาวิทยาลัย และนักวิชาการของเราจะได้มีความรู้ระดับมาตรฐานของประเทศที่พัฒนาแล้ว และอธิบายให้คนทั่วๆ ไปทราบว่า เพราะเหตุใดทั่วโลกเขาจึงไม่ให้พรรคการเมืองนายทุนเข้ามาผูกขาดอำนาจรัฐ และทำไมเขาจึงต้องบัญญัติให้ ส.ส.มีความเป็นอิสระในการปฏิบัติหน้าที่ของ ส.ส.”

        การที่คนไทยอ่านหนังสือน้อยมากๆ นั้น ได้กลายเป็นสาเหตุที่จะทำให้ บ้านเมืองล่มจมทีเดียวหรือ ซึ่งเป็นเรื่องที่ผมเองแม้จะเคยคิดมาก่อนแต่ก็ไม่มั่นใจว่าจะรุนแรงถึงขนาดนั้น คิดแค่ว่าทำให้ประเทศไทยล้าหลังเท่านั้น แต่เมื่อ “ประเทศไทยเรามีปริมาณคนที่มีการศึกษาน้อยจำนวนมากมายขนาดนี้” ก็กลายเป็นเรื่องใหญ่แล้วครับ ถ้าเรามีรัฐบาลที่ไม่มีคุณธรรมก็ยิ่งเกือบหมดหนทางแก้ไขเลยทีเดียว “ขงจื๊อ” บอกไว้ว่า

        “เมื่อการปกครองประเทศดี ความยากจนและสภาวะยากแค้นก็เป็นเรื่องที่น่าอับอาย (ของผู้บริหารประเทศ) แต่เมื่อการปกครองไม่ดี ความร่ำรวยและเกียรติก็เป็นเรื่องที่น่าอับอาย (ของผู้บริหารประเทศ)

        ปัจจุบันความร่ำรวยอยู่ที่ผู้บริหารประเทศและเครือข่าย ขนาดเมือ ๔-๕ ปียังติดเงินธนาคาร, ติดเงินผู้หญิงอยู่เลย ตอนนี้มีกันเป็น ๑๐๐ ล้านแล้ว อีกหน่อยจะไม่มีคนที่ทำอาชีพอื่นนอกจากเป็น “นักการเมือง” ครับ

        *เรื่องนี้ก็อาจจะเกี่ยวข้องกับการศึกษาครับ* 

       เมื่อรัฐบาลกลุ่มประเทศยุโรป ที่บ้าคลั่งประชานิยม เริ่มรู้สึกตัว หันกลับมาสู่แนวทาง "พอเพียง" ก็เริ่มมีการประท้วงขนาดใหญ่เกิดขึ้นตามเมืองหลวงในหลายประเทศ จากกลุ่มรากหญ้าที่ไม่ยอมทำมาหากินเอง เพราะเคยตัวจากฟางข้าวที่รัฐบาลป้อนใส่ปากนั่นเอง

        ...สเปน กลุ่มประท้วงบุกเข้าไปในรัฐสภา ตีต่อยกับตำรวจถึงขั้นใช้กระสุนยาง
        ...อิตาลี ลุกฮือขึ้นพร้อมๆกัน ทั้ง โรม,มิลาน และ เนเปิ้ล แรงตามประสากุ๊ยอิตาลี มีแนวโน้มจะเอาไม่อยู่
        ...ฝรั่งเศส คนครึ่งแสนออกมาประท้วง ประธานาธิบดี ที่เพิ่งชนะเลือกตั้งมาเร็วๆนี้ เพราะหาเสียงจนชนะว่าจะใช้ประชานิยมต่อไป แต่ดันกลับหันมาหาความ "พอเพียง" แทน
        ...โปรตุเกส ก็ก่อตัวขึ้นหลายเมืองแล้ว..

        การเอาเงินในอนาคตมาใช้แบบอีลุ่ยฉุยแฉก แบบนี้ ผู้บริหารประเทศเท่านั้นที่ร่ำรวย และ ยังสร้างนิสัยไม่ยอมทำงานให้ประชาชนส่วนหนึ่งอีกด้วย ประเทศไทยกำลังอยู่บนทางแพร่งของการเดินไปตกเหวครึ่งทางแล้ว ใครจะบอกให้ผู้นำหันหลังเดินกลับมาได้ เพราะทุกคนกำลังเมามันกับ "งบประมาณ" เต็มปากอยู่ในขณะนี้

*********************************

ขอบคุณภาพประกอบจาก

http://imaginebangkok.com/2012/main/content/1100