*/
ปกหนังสือ | ||
![]() |
||
ปกหนังสือ |
||
View All ![]() |
<< | มิถุนายน 2010 | >> | ||||
อา | จ | อ | พ | พฤ | ศ | ส |
1 | 2 | 3 | 4 | 5 | ||
6 | 7 | 8 | 9 | 10 | 11 | 12 |
13 | 14 | 15 | 16 | 17 | 18 | 19 |
20 | 21 | 22 | 23 | 24 | 25 | 26 |
27 | 28 | 29 | 30 |
จุดเริ่มต้นของการเฝ้ามอง (เสมือนคำนำ) -๑- ข้าพเจ้าเป็นคนที่มีปัญหาทางสายตามาตั้งแต่เด็ก ครูที่โรงเรียนบอกกับแม่ว่า หากสั่งให้นักเรียนทั้งชั้นทำอะไรหรือสังเกตสิ่งใด ข้าพเจ้ามักจะใช้เวลาในการพิจารณาสิ่งนั้นนานกว่าปกติ เลยคาดว่า นักเรียนคนนี้จะต้องมีปัญหาทางสายตาแน่นอน แม่จึงพาไปวัดสายตาเพื่อตัดแว่น เมื่อตอนเรียนชั้นประถมหก จำได้ว่า แว่นสายตาอันแรกเป็นแว่นที่มีกรอบสีขาว ไม่แน่ใจนักว่า ทำไมข้าพเจ้าถึงเลือกแว่นสายตาอันนี้ ทั้งๆ ที่ไม่ได้ชอบสีขาวเป็นพิเศษ ความที่ไม่อยากมีภาพพจน์เป็นเด็กเรียนและรักสวยรักงาม ตามประสาเด็กวัยรุ่น ทำให้ข้าพเจ้าใส่แว่นสายตาเฉพาะตอนอ่านหนังสือเท่านั้น ข้าพเจ้าจึงทำเนียนเป็นคนสายตาปกติ ทั้งๆ เป็นคนสายตาสั้นและเอียงอย่างหนัก โดยไม่ยอมใส่แว่นตามาจนถึงปัจจุบัน และทุกครั้งที่ต้องใส่แว่นตา จะรู้สึกอึดอัด เหมือนถูกบีบให้ต้องเพ่งมองเฉพาะในกรอบ แม้จะมองอะไรได้ชัดเจนขึ้น แต่ก็สร้างความรำคาญอย่างยิ่งยวดเช่นกัน ดังนั้น หากไม่ได้อ่านหนังสือแล้ว โลกภายในกรอบแว่นตาแคบๆจึงไม่ใช่สิ่งที่น่าภิรมย์นักสำหรับข้าพเจ้า การที่ข้าพเจ้าไม่ได้ใส่แว่นตาในยามปกตินี่เอง นิสัยการจ้องมองอะไรนานๆ และถี่ถ้วน จึงติดมาเป็นนิสัยประจำตัว เมื่อเฝ้ามองอะไรสักอย่างนานๆ สมองก็เริ่มจัดระเบียบสิ่งที่พบเห็นในแต่ละวัน เมื่อหน่วยความจำเต็ม ก็หยิบสมุดบันทึกเล่มเล็กๆ ที่พกติดตัวอยู่ตลอดเวลาออกมาบันทึกแทน และข้าพเจ้าก็เขียนบันทึกประจำวันทุกวันตั้งแต่เด็กจนกลายเป็นนิสัยส่วนตัว แรงเร้าอีกอย่างที่หลอมให้กลายเป็นคนชอบเฝ้ามองผู้คน คือ การเติบโตมาท่ามกลางแรงปะทะอันหนักหน่วงของสองวัฒนธรรม ข้าพเจ้าเติบโตขึ้นมาในครอบครัวอาจารย์มหาวิทยาลัย แม่ผู้เข้มงวดและเป็นอาจารย์สอนภาษาอังกฤษใช้ทฤษฎีการเลี้ยงดูเด็กและอาหารการกินตามแบบตะวันตกจากประเทศที่แม่ไปร่ำเรียนมาอบรมเลี้ยงดูลูก จำได้ว่า แม่จะชงนมไว้เหยือกโต เพื่อให้ดื่มแทนน้ำในแต่ละวัน และต้องดื่มให้หมดเหยือก ก่อนแม่จะกลับมาจากสอนหนังสือ แม่บอกว่าอยากให้ลูกสูงใหญ่เหมือนฝรั่ง ในตอนนั้น ข้าพเจ้าแอบคิดเอาเองว่าแม่อาจจะรู้สึกอับอายรูปร่างเล็กบอบบางอย่างคนเอเซีย เมื่อเทียบกับมาตรฐานเพื่อนฝรั่งของแม่ จึงขุนลูกด้วยเนื้อ น้ำมันตับปลา นม และไข่อย่างไม่อั้น ทุกวัน ข้าพเจ้าจะต้องกินไวตามินหลากชนิดและน้ำมันตับปลารสชาติน่าสะอิดสะเอียน โดยมีแม่จับตามองอย่างใกล้ชิด ไม่ให้ข้าพเจ้าแอบคายทิ้ง รวมทั้งบังคับให้ลูกต้อง เก่ง ภาษาอังกฤษ โดยข้าพเจ้าต้องท่องศัพท์ภาษาอังกฤษทุกวัน วันละยี่สิบคำ และต้องจำให้ได้ครบหมด ไม่งั้น แม่จะตี แม่ลงทุนสั่งซื้อหนังสือนิทานเล่มแบนๆ ใหญ่ๆ ปกแข็งสะสวยเป็นเทพนิยายอย่างเรื่องเจ้าหญิงนิทราและสโนว์ไวท์ จากเมืองนอกมาให้ ซึ่งในตอนนั้น เทพนิยายเหล่านี้ยังไม่มีการแปลเป็นภาษาไทย แม่จะอ่านเรื่องจากนิทานพวกนี้ให้ข้าพเจ้าฟังเป็นภาษาอังกฤษก่อนแล้วแปลเป็นไทยให้ทีหลัง ทั้งส่งลูกเข้าเรียนในโรงเรียนที่มีแนวทางการเรียนการสอนตามแบบอเมริกัน ซึ่งการเลี้ยงดูแบบนี้ถือเป็นค่านิยมใหม่ในเมืองไทยยุค 60s ในขณะที่พ่อผู้อ่อนโยน อาจารย์สอนคณิตศาสตร์ ลูกผู้ชายชาวใต้ผู้ซึ่งพยายามอบรมลูกสาวให้เติบโตตามขนบสตรีชาวใต้ รวมทั้งสอนให้รักความเป็น พื้นถิ่นใต้ ทั้งเรื่องอาหารการกินและการวางตน พ่อสอนให้กินสะตอและลูกเนียง ทั้งลงมือตำน้ำพริก ทำคั่วกลิ้ง ต้มแกงพุงปลารสเผ็ดถึงใจให้กิน บางวันก็ร้องโนราห์ให้ข้าพเจ้าฟัง ในวันที่แม่ไม่อยู่บ้าน แรงบีบอัดของสองวัฒนธรรมพลุ่งพล่านหลอมรวมอย่างบ้าคลั่งในเลือดของข้าพเจ้า และแรงกระแทกอันหนักหน่วงนี้ได้ส่งผลให้ข้าพเจ้ากลายเป็นคนสับสนในทุกย่างก้าวของตนเองอย่างไม่น่าเชื่อ เพราะไม่แน่ใจว่า เมื่อไหร่ควรจะแสดงความเป็นตะวันตกหรือความเป็นหญิงสาวชาวใต้ผู้เสงี่ยมงาม ด้วยความไม่ชัดเจนในการวางตนอย่างรุนแรงนี่เองทำให้ข้าพเจ้าแอบลอบมองชีวิตคนอื่น เพื่อดูว่าจะมีปัญหาเรื่องการเข้าสังคมและการวางตัวบ้างไหม และทุกครั้งที่ข้าพเจ้าเฝ้ามองดูวิถีมนุษย์เพื่อเปรียบเทียบและหาทางออกที่ชัดเจนให้ตนเอง บางสิ่งบางอย่างก็ตกตะกอนภายในใจและกลั่นกลายออกมาในรูปแบบของการเขียน -๒- ในบางจังหวะของการมีชีวิตอยู่กลับเป็นเรื่องตลกของโชคชะตา แม้ว่า ข้าพเจ้าจะเกลียดภาษาอังกฤษอย่างเข้าเส้น เพราะถูกบังคับเคี่ยวเข็ญมาแต่เด็ก แต่สุดท้าย ข้าพเจ้ากลับต้องใช้ภาษาอังกฤษเพื่อสื่อสารในชีวิตประจำวันบนแผ่นดินแปลกหน้าอยู่ดี และเช่นเคย ข้าพเจ้าก็ยังคงเฝ้ามองโลกโดยไม่สวมแว่นสายตากรอบสีใดๆ ทั้งสิ้น ปล่อยให้สายตาเปลือยเปล่าได้สัมผัสความแตกต่างแห่งสีผิว วัฒนธรรม และวิถีโลกอย่างเต็มที่ เพราะภาพแห่งความจริงไม่ควรถูกล้อมกรอบด้วยแว่นสีใดๆ ข้าพเจ้าเห็นกิจกรรมการฆ่าคนแห่งโลก เห็นความเกลียดชังระอุไปทั่วทุกหนแห่ง เห็นประกายกราดเกรี้ยวแห่งความเคียดแค้นระหว่างเชื้อชาติศาสนา เห็นเพื่อนร่วมชาติแบ่งข้างต่างสีและฆ่ากันเองเพียงเพราะเป็นเหยื่อสัตว์การเมือง เห็นความอาฆาตมาดร้ายที่มนุษย์มีต่อกัน เห็นความหื่นกระหายทะยานอยากในรูปแบบหลากหลาย รวมทั้งเห็นกลกามความลวงระหว่างหญิงชายในนามแห่งความรักง แต่ในขณะเดียวกัน ข้าพเจ้าก็เห็นผีเสื้อปีกบางเริงร่าในทุ่งดอกไม้ เห็นประกายดาวในดวงตาและรอยยิ้มอันหวานชื่น เมื่อยามจุมพิตแรกระหว่างชายหญิง เห็นความรักอ่อนโยนพริ้มพรายเปล่งประกายออกมา เมื่อยามแม่ให้นมลูก และข้าพเจ้าเห็นความงามและความรักท่ามกลางเพื่อนมนุษย์ด้วยกันเอง ข้าพเจ้าเฝ้ามองโลกทั้งใบ อดสงสัยไม่ได้ว่า ภาพตรงหน้าที่ปราศจากแว่นสายตากับภาพในกรอบแว่นสายตา ภาพไหนที่มีความชัดเจนและเป็นจริงมากกว่ากัน ภาพใดกันเล่าที่คือความชัดเจนและความพร่าเลือนแห่งโลกใบนี้ เมื่อบางภาพในโลกยังลางเลือนและไม่คมชัดนักในคลองจักษุ ข้าพเจ้าจึงตัดสินใจตัดแว่นสายตาอันใหม่ คราวนี้ ข้าพเจ้าเลือกกรอบแว่นกรอบบางๆ และเป็นสีเทา แต่ก็ยังรักที่จะมองโลกด้วยตาเปล่า โดยเก็บแว่นสายตาอันใหม่ไว้ใช้ในโอกาสสำคัญๆ เท่านั้น -๓- บทกวีทั้งหมดในเล่มเป็นการตกตะกอนของภาพร่างมนุษย์อันหลากหลายและบทสรุปนาฎกรรมแห่งการเฝ้ามองตลอดยี่สิบปีเต็มแห่งชีวิตการเขียนบทกวีของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าไม่เคยเร่งตนเองให้เขียนบทกวีอย่างบ้าคลั่ง หากจะเขียนแต่ละบท ก็ต่อเมื่อมีแรงขับจากภายในเท่านั้น บทกวีที่เขียนจึงไม่มากมายนัก หากเทียบกับคนเขียนหนังสือที่ทำงานเขียนรุ่นเดียวกัน
เมื่อไม่นานมานี้ มีคนถามข้าพเจ้าว่า คิดว่าตัวเองเป็นกวีไหม หลังจากที่ทำงานเขียนมานานยี่สิบปีเต็มและมีผลงานตีพิมพ์ตามหน้านิตยสารจำนวนหนึ่ง เช่นเคย ข้าพเจ้ามองหน้าคนถามอยู่นาน ด้วยสายตาที่ปราศจากแว่น แล้วตอบว่า คงจะดีกว่า หากจะเรียกข้าพเจ้าว่า นักสังเกตการณ์มนุษย์
เจริญขวัญ ๔ มกราคม ๒๕๕๓ วันหิมะโปรยสาย South Bend, Indiana , USA ................................ พบผลงานหนังสือเล่มใหม่ของ สำนักหัวใจเดียวกัน รวมบทกวีคัดสรร โดย...เจริญขวัญ http://www.oknation.net/blog/charoenkwan มองโลก มองชีวิต โดยนักสังเกตการณ์มนุษย์ ผู้เฝ้ามองโลกโดยไม่สวมแว่นสายตากรอบสีใดๆ ราคาปก ๑๖๐ บาท
ประวัติผู้เขียน : เจริญขวัญ เกิดที่กรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ ๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๑๑ ในครอบครัวอาจารย์มหาวิทยาลัย ได้รับการศึกษาเบื้องต้นชั้นประถมที่โรงเรียนสวนเด็ก ชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นที่โรงเรียนสาธิต มศว. ปทุมวัน จากนั้นศึกษาต่อชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย สายศิลป์-คณิต ที่โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา แล้วเข้าสอบเรียนต่อคณะศิลปศาสตร์ ธรรมศาสตร์ หลังสำเร็จการศึกษาก็ออกมาทำงานด้านสื่อสารมวลชนอยู่ระยะหนึ่ง แล้วศึกษาต่อระดับปริญญาโท ด้านสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยมหิดล ศาลายา เริ่มทำงานครั้งแรกที่สำนักพิมพ์ ไทยวัฒนาพานิช จากนั้นเริ่มตำแหน่งรองบรรณาธิการ สำนักพิมพ์สายน้ำ และกองบรรณาธิการ นิตยสาร Decade แล้วย้ายมาเป็นประชาสัมพันธ์ให้มูลนิธิเด็ก พอเบื่อจัดก็ลาออก แล้วโบกรถขึ้นเหนือล่องใต้อยู่พักใหญ่ แล้วไปซุกตัวในป่ากะเหรี่ยงแถวทุ่งใหญ่นเรศวรอยู่ระยะหนึ่ง กระทั่งต่อมาผ่านงานหนังสืออีกมากมาย เป็นคนข่าวและคอลัมนิสต์ นักเขียนสารคดี กวี ฯลฯ 'เจริญขวัญ' มีงานเขียนที่ตีพิมพ์เป็นเล่มแล้ว ประกอบด้วย อาถรรพ์รัสปูติ (วรรณกรรมเยาวชนแปล) ตะลุยแดนมังกร (วรรณกรรมเยาวชนแปล) ตำนานนักเดินทาง (รวมบทสัมภาษณ์) ดอกไม้ในความคิด (รวมบทความเชิงปรัชญา) ซึ่งได้รับรางวัล เซเว่น Book Awards ด้านปรัชญา ในปี ๒๕๔๖ เที่ยวท่องห้องสมุด (สารคดี) ปัจจุบัน แต่งงานกับนักเขียนอเมริกัน แล้วย้ายไปอยู่รัฐอินเดียน่า สหรัฐอเมริกา เป็นการกึ่งถาวร โดยทำธุรกิจส่วนตัวด้านอสังหาริมทรพย์ในอเมริกาเป็นงานหลัก เปิดบริษัทโปรดักชั่นเฮาส์เล็กๆ ร่วมกับสามี และยังคงเขียนสารคดีให้นิตยสารบางฉบับในเมืองไทย เป็นงานอดิเรก |
ถึง บล็อกเกอร์ ทุกท่าน โปรดอ่าน
ด้วยทาง บริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จำกัด (มหาชน) ได้ติดต่อขอความร่วมมือ มายังเว็บไซต์และเว็บบล็อกต่าง ๆ รวมไปถึงเว็บบล็อก OKnation
ห้ามให้มีการเผยแพร่ผลงานอันมีลิขสิทธิ์ ของบริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ฯ บนเว็บ blog โดยกำหนดขอบเขตของสิ่งที่ห้ามทำ และสามารถทำได้ ดังนี้
ห้ามทำ - การใส่ผลงานเพลงต้นฉบับให้ฟัง ทั้งแบบควบคุมเพลงได้ หรือซ่อนเป็นพื้นหลัง และทั้งที่อยู่ใน server ของคุณเอง หรือ copy code คนอื่นมาใช้ - การเผยแพร่ file ให้ download ทั้งที่อยู่ใน server ของคุณเอง หรือฝากไว้ server คนอื่น สามารถทำได้ - เผยแพร่เนื้อเพลง ต้องระบุชื่อเพลงและชื่อผู้ร้องให้ชัดเจน - การใส่เพลงที่ร้องไว้เอง ต้องระบุชื่อผู้ร้องต้นฉบับให้ชัดเจน จึงเรียนมาเพื่อโปรดปฎิบัติตาม มิเช่นนั้นทางบริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ฯ จะให้ฝ่ายดูแลลิขสิทธิ์ ดำเนินการเอาผิดกับท่านตามกฎหมายละเมิดลิขสิทธิ์
OKNATION
กฎกติกาการเขียนเรื่องและแสดงความคิดเห็น
1 การเขียน หรือแสดงความคิดเห็นใด ๆ ต้องไม่หมิ่นเหม่ หรือกระทบต่อสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ หรือกระทบต่อความมั่นคงของชาติ
2. ไม่ใช้ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่นในทางเสียหาย หรือสร้างความแตกแยกในสังคม กับทั้งไม่มีภาพ วิดีโอคลิป หรือถ้อยคำลามก อนาจาร 3. ความขัดแย้งส่วนตัวที่เกิดจากการเขียนเรื่อง แสดงความคิดเห็น หรือในกล่องรับส่งข้อความ (หลังไมค์) ต้องไม่นำมาโพสหรือขยายความต่อในบล็อก และการโพสเรื่องส่วนตัว และการแสดงความคิดเห็น ต้องใช้ภาษาที่สุภาพเท่านั้น 4. พิจารณาเนื้อหาที่จะโพสก่อนเผยแพร่ให้รอบคอบ ว่าจะไม่เป็นการละเมิดกฎหมายใดใด และปิดคอมเมนต์หากจำเป็นโดยเฉพาะเรื่องที่มีเนื้อหาพาดพิงสถาบัน 5.การนำเรื่อง ภาพ หรือคลิปวิดีโอ ที่มิใช่ของตนเองมาลงในบล็อก ควรอ้างอิงแหล่งที่มา และ หลีกเลี่ยงการเผยแพร่สิ่งที่ละเมิดลิขสิทธิ์ ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบหรือวิธีการใดก็ตาม 6. เนื้อหาและความคิดเห็นในบล็อก ไม่เกี่ยวข้องกับทีมงานผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซต์ โดยถือเป็นความรับผิดชอบทางกฎหมายเป็นการส่วนตัวของสมาชิก คลิ้กอ่านเงื่อนไขทั้งหมดที่นี่"
OKnation ขอสงวนสิทธิ์ในการปิดบล็อก ลบเนื้อหาและความคิดเห็น ที่ขัดต่อความดังกล่าวข้างต้น โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ต่อเจ้าของบล็อกและเจ้าของความคิดเห็นนั้นๆ
|
||
![]() ![]() |