*/
BrazilMiss | ||
![]() |
||
Miss flight in Brasil |
||
View All ![]() |
<< | มีนาคม 2013 | >> | ||||
อา | จ | อ | พ | พฤ | ศ | ส |
1 | 2 | |||||
3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8 | 9 |
10 | 11 | 12 | 13 | 14 | 15 | 16 |
17 | 18 | 19 | 20 | 21 | 22 | 23 |
24 | 25 | 26 | 27 | 28 | 29 | 30 |
31 |
ฉันกลับจากภูเก็ตมาสอนที่เชียงใหม่หนึ่งวัน เดินทางต่อไปสมุทรปราการสอนสองวัน ย้อนกลับเชียงใหม่คืนวันอาทิตย์ เปลี่ยนกระเป๋าเพื่อเดินทางต่อไปกระบี่ในเช้าวันจันทร์ รีบจนไม่มีสติทิ้งสายคอมพิวเตอร์ไว้ ต้องรบกวนเขาส่งไปรษณีย์ด่วนไปยังโรงพยาบาลกระบี่เพื่อใช้สอนและทำงาน หนำซ้ำ ยังทำโทรศัพท์ตกส้วมอีก จะโทษดวงตกหรือเคราะห์ซ้ำกรรมซัดก็มิได้ เพราะเวลาไม่มีสตินี่นะ มันก็จะเละไปอย่างต่อเนื่อง ต้องตั้งสติให้ทันอย่ามัวแต่ก่นว่าฟ้าดิน
ฉันลากกระเป๋าถึงสนามบินดินทองขนนายหัวค่อมคอมพิวเตอร์แสนหนักที่ไม่มีปัญญาเดินเอง ต้องเป็นทาสในเรือนเบี้ยอุ้มนายหัวค่อมไปทุกที่จนกว่าจะตายจากกันไปข้างใดข้างหนึ่ง “เคน ๆ ไง” “ไหน ๆ” “อุ๊ย หล่อจัง” เสียงสาว ๆ ดังกันเจี๊ยวจ๊าว ทำเอาฉันหูผึ่ง เหลียวหน้าไปมาจนคอแทบเคล็ด อุ๊แม่เจ้า ตามิได้ฝาดไปแน่แท้เมื่อเห็น พ่อเคน ธีรเดช ยืนเท่ในชุดลำลองเสื้อตาหมากรุกสีดำกางเกงยีนรัดรูป หรือว่าจะตาฝ้าฟางตามอายุขัยของหญิงสูงวัย เมื่อสืบเท้าเข้าไปใกล้ รัศมีความหล่อเบิกเนตรให้ประจักษ์ว่ามิผิดตัวแน่ ที่ลังเลก็เพราะเคยทำเรื่องขายหน้ากับดารามาแล้วมากมาย ตั้งแต่สมัยวัยสาว ไม่ว่าจะเป็น โอ วรุตยกกระเป๋าให้ ถอยไปชนนิรุต ศิริจรรยา นั่งข้าง ‘แดนบีม’ ไม่รู้จักทักทาย มิเยแส ‘อนันดา’ แลกเงินทอนค่ารถแท็กซี่ กับ ‘พิทยา ณ ระนอง’ ฯลฯ เคยโดยสารเครื่องบินจากกรุงเทพมาเชียงใหม่ มีผู้โดยสารที่นั่งหนีบอยู่ด้านขวาเป็นฝรั่งร่างเล็กอ่านหนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษ ดูหน้าหล่อคุ้นตาอย่างไรชอบกล เขาลุก ๆ นั่ง ๆ เอาคอมพิวเตอร์จากช่องเก็บของเหนือหัวฉันเพื่อดูหนังแผ่น เรื่องอะไรก็ไม่รู้เพราะจะยื่นหัวไปขอดูด้วยจักไร้มารยาทไปสักหน่อย เวลาบินจากกรุงเทพที่ยาวนานราวชั่วโมงเศษทำให้บางครั้งฉันได้พูดคุยกับผู้ร่วมเดินทาง แต่คราวนี้ขี้เกียจคุยภาษาฝรั่ง มิแยแสจะคุยด้วย จนกระทั่งมาถึงสนามบินเชียงใหม่ ขณะที่เดินลงมาที่สายพานขนกระเป๋าก็ได้ยินเสียงกรี๊ดลั่นสนามบินดังตามหลังมา ตรงที่รอรับผู้โดยสารด้านหน้าก็มีบรรดาวัยรุ่นท่าทางกระดี้กระด้าส่งเสียงกรีดร้องสนั่นเมืองเหมือนกัน ต้องเกิดอะไรด้านหลังแน่ ๆ เลย พอหันขวับไป ก็เห็นวัยรุ่นล้อมหน้าล้อมหลังขอถ่ายรูปกับตาฝรั่งคนนั้น เขาเป็นผู้ใดหนอ หน้าคุ้นตา จนกระทั่งได้ยินเสียงตะโกนชัด ๆ ว่า “อนันดา” จึงกระจ่างจิตว่าเป็น อนันดา เอฟริ่งแฮม พุทโธ่เอ๊ย นั่งคู่กันมาตั้งชั่วโมงกว่า กลับไม่อินังขังขอบ ชวดอีกตามความโฉดเฉา คราวนี้ต้องไม่พลาดเด็ดขาดเพราะปลื้มความดีและความเป็นพ่อบ้านพ่อเรือนของคุณเคน ทว่า… ดันเดินทางด้วยชุดกางเกงขาสั้นเสื้อยืดสุดซกมกตามปกติวิสัย ลังเลสักเสียวนาที ก็ตัดสินใจลากกระเป๋าเดินทางเก่า ๆ กระดุบกระดุบตรงรี่เข้าไปหาคุณเคน “ขออนุญาตถ่ายรูปได้ไหมคะ”คุณเคนหันมาเห็นสภาพฉันแต่ยังตอบด้วยเสียงนุ่มทุ้มสุภาพว่า “ยินดีครับ” ฉันมิรีรอควักโทรศัพท์ ‘เจ้าซอ รุ่นดาวมฤตยู (ไม่มีสัก galaxy)’ ออกมา อ้าวเฮ้ย มันดับหน้าตาเฉย กดเปิดก็ไม่ติด เพราะมันตกส้วมเมื่อคืนนี้ เช้ามืดก็เดินทางเลยยังไม่ได้ซ่อม นอกจากเอาเครื่องเป่าผมเป่าให้แห้ง “ไอยะ โทรศัพท์ดับ” ฉันอุทานอย่างผิดหวัง “ไม่เป็นไรครับ ผมไม่รีบ” คุณเคนสุดหล่อเสียงดีต้องอดทนกับฉันมาก “งั้นขอลายเซ็นแทนได้ไหมคะ” หลังจากจิ้ม ๆ เขี่ย ๆ โทรศัพท์แล้วไม่มีท่าทีจะดีขึ้น “ได้ครับ” “มีปากกาไหมครับ” ถามเสียงนุ่ม ๆ “เออ…ไม่มีค่ะ” ฉันอ้อมแอ้ม “เดี๋ยวผมไปหาให้ครับ” คุณเคนตอบด้วยเสียงสุภาพแล้วขมีขมันลุกออกไป ฉันมัวแต่ปลื้มลืมนึกไปว่าหน้าที่ใครกันแน่ ดู ๆ แล้ว ไม่รู้ใครมาขอใคร แล้วคุณเคนก็กลับมาพร้อมปากกานั่งลงที่โต๊ะ “ขอโทษค่ะ รบกวนเซ็นหน่อยนะคะ” ฉันยื่นบัตรโดยสารเครื่องบินให้ พ่อเจ้าประคุณพลิกด้านหลังบัตรซึ่งเป็นพื้นที่ขาวว่าง ๆ จรดปลายปากกาลง แต่ต้องชะงักเพราะนังแฟนแก่สั่งระงับในบัดดล “ไม่ใช่ค่ะ ตรงนี้ไม่มีใครเห็นชื่อ” ฉันหยิบบัตรโดยสารพลิกกลับอีกด้านที่มีชื่ออยู่ คุณเคนก็ดีเหลือใจจรดปลายปากกาลง แต่ต้องชะงักอีกครา เมื่อฉันส่งเสียงอีก “ไม่ใช่ตรงนั้นค่ะ เพราะเขาจะฉีกตั๋วส่วนนี้ไป อดได้ลายเซ็นค่ะ” “ครับ ๆ” พ่อเคนไม่ค้านเลยสักคำ “ตรงนี้ ๆ ” ฉันรีบจิ้มนิ้วยิก ๆ ลงตรงตำแหน่งที่ต้องการ “ได้ครับ” ฉันว่าพ่อเคนคงไม่เคยเจอแฟนเฉิ่ม ๆ กวน ๆ แปลก ๆ อย่างนี้แท้เทียว
“ขอบคุณค่ะ” ฉันรีบเผ่นด้วยความเกรงใจ ลากกระเป๋าไปหาที่นั่ง จัดการแกะโทรศัพท์ แงะถ่าน เป่ามนต์ แล้วประกอบกลับเข้าไปใหม่ ท่องคาถาแล้วกดเปิด อุ๊แม่เจ้า... ได้ผล จึงเดินกลับไปหาคุณเคนใหม่ ไหน ๆ ก็ ไหน ๆ ไม่มีอะไรจะให้เสียหน้าไปมากกว่านี้แล้ว “ขออนุญาตถ่ายรูปได้ไหมคะ”คุณเคนหันมาเห็นฉันอีกรอบ ดูสีหน้าไม่ออกว่า ‘ดีใจ’ หรือ ‘ผงะ’ “ยินดีครับ” เสียงยังนุ่มทุ้มสุภาพเหมือนเดิม แล้วกระวีกระวาดลุกขึ้นยืนหาที่ราวกับว่าจะถ่ายรูปคู่ “โอ๊ะ ไม่เป็นไรค่ะ ขอถ่ายแต่คุณเป็นที่ระลึกก็พอ” กิริยาภายนอกแม่หญิงช่างงดงามนัก ทว่า ใจฉันนั้นอยากเผ่นไปยืนถ่ายคู่ด้วยเหลือเกิน กริ่งเกรงว่าเจ้าซอ รุ่นดาวมฤตยูมันจะทรยศดับแสงในเฉียบพลัน จึงกล้ำกลืนกิเลสถ่ายรูปเดี่ยวมาเป็นที่ระลึก “……” พ่อเคนทรุดนั่งลง ฉันว่าคงตั้งตัวไม่ทัน ทำไปอย่างงง ๆ เจอของแปลก หรืออาจจะใจดีเหลือหลาย ทำบุญให้ทานแก่สรรพสัตว์ไป
จังหวัดกระบี่เป็นอีกพื้นที่หนึ่งที่พบทั้งผู้ที่บาดเจ็บและตายจากแมงกะพรุนพิษ ผู้ประกอบการยังลังเลที่จะตั้งตู้น้ำส้มสายชู โดยขอดูตัวอย่างจากจังหวัดอื่นก่อน ในปีนี้เราจึงเอาตัวอย่างเกาะหมากที่มีประสบการณ์มาสองปี รวมถึงความรู้ล่าสุดมานำเสนอผู้ประกอบการ สมาคมโรงแรม สมาคมท่องเที่ยว องค์การบริหารส่วนท้องถิ่น แพทย์พยาบาล เจ้าหน้าที่สาธารณสุข และ ผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหลาย โชคดีอีกคราที่มีคุณหมอเจ๊ผู้กว้างขวางซึ่งเคยเป็นนักเรียนดำน้ำก่อนราวสิบกว่าปีมาช่วยประสานงาน และติดต่อบุคคลสำคัญต่าง ๆ ให้เป็นอย่างดี อีกทั้งยังเมตตาเลี้ยงข้าวเราอีก หนูก้อยหาว่าฉันเป็นมาเฟียเพราะหล่อนติดต่อประสานงานมาเป็นเดือน ๆ จนหูจะดับ ยังมีปัญหา แต่ฉันว่าเป็นผลจากการมุ่งมั่นทำสิ่งดี ๆ อย่างจริงจังและจริงใจของพวกเราต่างหากที่เอื้อหนุนให้งานลุล่วงด้วยดี หาใช่เรื่องบังเอิญไม่ เพราะเหตุมีผลนี้จึงเกิด ดังนั้นเวลามีเรื่องร้าย ๆ เกิดขึ้น ฉันก็ต้องก้มหน้ารับผลกรรม แล้วสร้างกรรมใหม่ดี ๆ จะได้มิต้องมารับผลร้ายอีก แต่ก็ทำได้ยากเหลือใจ ต้องเพียรฝึกบ่อย ๆ มิให้สร้างหนี้ซ้ำซาก
เจ้าหน้าที่ระบาดวิทยาควบรถกระบะตู้สีขาวเก่า ๆ มาจอดพรึดที่หน้าบันไดโรงแรม ฉันใช้แรงกระชากสักเล็กน้อยเพื่อเปิดประตูชราภาพออก เจ้าประตูนี้มันไหลปิดได้เองเวลาเบรกแรง ๆ เราขนกล่องหนังสือ เอกสาร วีดีทัศน์ขึ้นรถ จากนั้นก็มุ่งหน้าสู่ท่าเรือไปเกาะลันตา ฉันอ้อนขอแวะซื้อกาแฟสดก่อนถึงท่าเรือ สอดส่ายสายตาไปตลอดสองข้างทาง จนเจอป้ายกาแฟเขาทะลุระยะทาง 3 กิโลเมตร ป้ายบอกเป็นระยะ ๆ จาก 3 เหลือ 2 เหลือ 1 กิโลเมตร และในที่สุด ก็หายไปในพริบตา หาไม่เจอ ป้ายเมืองไทยก็เป็นเช่นนี้แล เผื่อคนดูเผื่อผีอ่าน กินแห้วอีกตามเคย ตอนขากลับได้บทเรียนจากขามา จึงจ้องตาไม่กระพริบจนเจอป้ายกาแฟเขาทะลุระยะทาง 3 กิโลเมตร เราช่วยกันเล็งหาไปตลอดทาง จาก 3 เหลือ 2 เหลือ 1 กิโลเมตร และในที่สุด… ก็หายไปในพริบตาอีก หูตาฝาดหรือว่าเขาทำขายให้พ่อมดแฮรี่ พอตเตอร์ ตั้งร้านในหลืบอากาศกันแน่ “นั่นไง นั่นไง” “ไหน ๆ ” ฉันหันไปตามนิ้วชี้ จึงเห็นป้ายที่เขียนด้วยเลข 2.9 ตัวเบ้อเร่อ แล้วมีคำว่ากาแฟเขาทะลุตัวกระจิ๊ดริดอยู่ข้างใต้ “จอด จอด จอด จอด” เสียงสาว ๆ ตะโกนอย่างพร้อมเพียง “จอด จอด จอด” เสียงพี่ไข่บ้าจี้ตามเรา แล้วแกก็กระทืบเบรกจนตัวโก่ง “เฮ้ย!” ระหว่างทางเราคุยกันเรื่องโรคระบาดและงานมหาวิบาก พี่ไข่ก็แสดงความคิดเห็นเป็นระยะ ๆ จนถึงเรื่องบาดใจแก “ผมสามคนใช้กัน 500 บาท ต่อเดือนเพื่อโทรเรื่องงาน ดันมาตัดงบ” “เหรอ” “ทีเจ้านายเงินเดือนตั้งเยอะ ซื้อเครื่องให้ จ่ายค่าโทรให้” “แล้วพี่ทำไง” “ก็ประกาศว่า ต่อแต่นี้จะไม่ใช้โทรศัพท์ส่วนตัวโทรเรื่องงานเด็ดขาด” “เวลามีเรื่องฉุกเฉินเล่า” “ส่งอีเมลเอา ถ้ารู้เรื่องช้าก็เป็นปัญหาของเจ้านายถูกด่า ไม่ใช่ผ๊ม” “อ้าว แล้วเจ้านายโทรมาหละ” “ไม่รับ กี่ครั้งก็ไม่รับ” “แล้วท่านทำไงเล่า” “โทรหาหัวหน้าผม ให้แกเดินมาคุยกับผม” “โอโฮ เอางั้นเชียวรึ” “บางทีก็ต้องเดินลงมาหาผมเอง” “.....สุด ๆ เลยพี่”
พี่ไข่ขับรถไปพร้อมหันหน้ามาเล่าอย่างเมามัน มีเพียงมือขวาถือพวงมาลัยกับหูขวาดูถนน ฉันนั่งอยู่แถวหน้าสุดตรงกลาง กำลังจะก้มเอาของมองทะลุกระจกเห็นเต็มสองลูกตาว่ารถเราฝ่าไฟแดง เสมือนหนังถ่ายทำช้าที่ทุกสิ่งทุกอย่างเคลื่อนไหวช้าลงสิบเท่า รถเก๋งสีขาวขับออกมาตัดหน้า พี่ไข่เหยียบเบรก ตัวฉันพุ่งไปข้างหน้าเพราะรถตู้รัฐบาลไม่มีเข็มขัดนิรภัยอยู่แล้ว กล่องหนังสือกับกระเป๋าไหลมากระแทกขาซ้ายฉันแล้วก็มีเจ้าหน้าที่สาวร่างสัดทัดพุ่งมาอัดกล่องหนังสือกับกระเป๋าหนีบขาฉันติดกับที่พักขาด้านหน้า เรารอดมาได้อย่างฉิวเฉียด มิระคายเคืองผิว พี่ไข่ยังอารมณ์ค้างอยู่ มาของขึ้นเรื่องไข้เลือดออกอีกครา “บางประเทศย้ายมาอยู่กันทั้งหมู่บ้าน พอมีไข้เลือดออกระบาด ก็ไม่ให้เราเข้า” “แล้วพี่ทำไง” “จะทำไรได้ คนไทยเราเชิดชูฝรั่งเหลือเกิน” “มันก็ระบาด” “ใช่สิ ทำเท่าที่ทำได้ครับหมอ” “แล้ว รายงานอัตราป่วยไม่สูงรึ” “สู๊ง สูงลอยเด่นเป็นสง่ากว่าใครเขา” “อย่างนี้ก็โดนด่าแย่เลยสิ” “โอ๊ย หมอ ที่อื่นมันก็สูงแต่ไม่รายงาน ผมเอาของจริงครับ” “ท่านว่าไง….” “ฮึ…ฮึ”
เราไม่ควรพูดอะไรเกี่ยวกับเลือด ๆ อีก กลัวมีฮา
หมอจิ๋มทำงานดึกมาหลายเพลา เช้านี้ตื่นสาย ด้วยความรับผิดชอบเต็มเปี่ยม จึงงดอาหารเช้าขนของขึ้นรถเพราะเรานัดหมอและพยาบาลโรงพยาบาลเกาะลันตาไว้ ฉันคว้านมกับกล้วยน้ำหว้าที่หมอเจ๊ใจดีขนมาจากสวนหลังบ้านให้เรา เอาให้หมอจิ๋มทานไปก่อน เราขอพนักงานโรงแรมมาช่วยขนสัมภาระจากห้องพักมายังรถตู้ พนักงานหนุ่มเข็นรถที่หนักอึ้งไปด้วยกระเป๋า กล่องเอกสาร จนถึงท้ายรถตู้ เราช่วยกันขนของขึ้นรถ “เอ๊า หมอจิ๋ม เอาขนมกล้วยไปทานก่อน” โหน่งส่งขนมในถุงพลาสติกขาวขุ่นให้ “ขอบคุณค่ะ” หมอจิ๋มคว้าไปกัดทาน “อ้าว ไป แอบซื้อกันมาเมื่อไหร่” ฉันทัก “.....” สาว ๆ ทำหน้าเลิ่กลั่ก “ไม่ได้ไปซื้อ!” ก้อยหน้าเหวอ “ของใครเล่า?” แค่นั้นเองฉันพอเดาออก เพราะพอจะปะติดประต่อภาพเหตุการณ์ได้ “ขึ้นรถเร็ว” ฉันบอกพรรคพวก “ทำไมรึหมอ?” “ไม่ต้องถาม รีบขึ้นมาแล้วปิดประตูเร็ว” หล่อนยังงงกันอยู่ “มีอะไรกัน!” “จิ๋มทานไปแล้วใช่ไหม” “ค่ะ” หมอจิ๋มถือขนมกล้วยค้างกลางอากาศ “เอามาจากไหน” ฉันซักถามหลังจากทุกคนอยู่ในรถแล้ว “ขนจากรถเข็นค่ะ” “ของพนักงานโรงแรม เมื่อตะกี้เห็นเขาถือถุงพลาสติกแบบนี้เดินผ่านหน้าไป” ฉันเฉลย “อ้าว ก็นึกว่าของเรา” “เจ้าหนุ่มคงคิดว่า ซวยซ้ำซวยซาก นอกจากขนของหนักแต่แล้วยังโดนแขกชิงอาหารเช้าไปอีก” “....เอื้อก” หมอจิ๋มทำหน้าบอกไม่ถูก “ไม่ทันแล้วจิ๋ม” “ทานไปแล้วถือว่าดี” หมอจิ๋มยืนยันแล้วกัดต่ออีกคำ “แต่เอ๊ะ...พี่ไม่แน่ใจว่าเขาซื้อเมื่อเช้าหรือเมื่อวาน” ฉันแกล้งยั่ว “.....”หมอจิ๋มอึ้ง “ถ้ารสเปรี้ยว ๆ ก็ยังคายทิ้งได้นะ” “หมดไปค่อนอันแล้ว” หมอจิ๋มเคี้ยวช้าลง “เราจะช่วยดูอาการให้ตอนไปถึงโรงพยาบาลนะ” สาว ๆ ซ้ำ “มาคิดอีกที สงสัยว่าพี่จะด้นเดาไปเองว่าเป็นอาหารเช้า เขาอาจจะเก็บมาจากห้องพักไปทิ้งขยะก็ได้นะ” “....” “ถ้าไม่ไหวจะจู๊ด ๆ ก็บอกได้นะ” สาว ๆ กระหน่ำ “ธาตุแข็ง ไม่เป็นอะไรง่าย ๆ” หมอจิ๋มยังหนักแน่นมั่นคงทานต่อจนหมด คราวนี้ต้องปรับแผนกลางอากาศเพราะหมอกับพยาบาลติดดูคนไข้ฉุกเฉินแต่อยากจะฟังมากเนื่องจากเป็นเรื่องใหม่แล้วแทบไม่มีโอกาสอย่างนี้ เราต้องออกจากเกาะไปสอนต่อที่จังหวัดกระบี่ เพราะนัดโรงแรมต่าง ๆ มาเพียบ ยังไงก็ต้องกลับ จึงย้ายมาสอนตรงหลังห้องฉุกเฉินหน้าห้องคลอดเพราะพยาบาลเข้าได้หลายคน ทั้งยังวิ่งออกไปดูคนไข้ได้ทัน ประยุกต์เอาผ้าปูเตียงคนไข้เป็นจอฉายโดยใช้เทปกาวติดกับฝาผนัง โยกโต๊ะกับเก้าอี้มาเท่าที่มี ตีตั๋วยืนบ้าง เรียกว่ากระบี่อยู่ที่ใจ จะชักใช้ตอนไหนก็ได้ เราขนของขึ้นรถเพื่อกลับไปลงเรือขนานยนต์ข้ามฟากอีก 2 เกาะ “พี่ ถ้าถึงปั๊มขอแวะเข้าห้องน้ำสะอาด ๆ หน่อยนะ” หนูโหน่งตะโกนมาจากเบาะหลัง “รีบไหม” พี่ไข่ถาม “รอได้” รถขับผ่านโรงเรียน และสถานีอนามัยซึ่งมีห้องน้ำ หล่อนก็ยังชะล่าใจ “พี่ ๆ ร้านอาหารก็ได้” หล่อนชักทนไม่ไหว “ได้เลย” พี่ไข่ขานรับ แต่ไม่มีวี่แววร้านอาหาร “ข้างทางไหม” ฉันเสนอ “เอา เอา ขอป่าทึบ ๆ หน่อย” หล่อนปวดจริง แต่ก็ไร้แวว เพราะมีบ้านคนเรียงรายเป็นระยะ อีกทั้งสุมทุมพุ่มไม้ไม่ทึบพอปิดปังส่วนสัดของหล่อน “พี่ใกล้ถึงหรือยัง” “กำลังหาอยู่ ทนไหวหรือเปล่า” พี่ไข่เหยียบเต็มที่ “แทบไม่ไหวแล้ว” ไม่มีวี่แววอีกเช่นกัน “โรงพักเอาไหม” พี่ไข่เสนอไปงั้น ๆ เมื่อขับผ่านสถานีตำรวจ “เอา เอา เอา” หล่อนตะโกนลั่น “จอด จอด จอด จอด” เสียงสาว ๆ ตะโกนอย่างพร้อมเพียง “จอด จอด จอด” เสียงพี่ไข่บ้าจี้ตามเรา แล้วแกก็กระทืบเบรกกะทันหันอีก “เฮ้ย! เอากันหน้าโรงพักเลยนะ” “ใจเย็น ๆ เดี๋ยวผมถอยรถให้” พี่ไข่เปิดไฟกระพริบถอยรถไม่เสียเวลาไปเลี้ยวกลับ หักพวงมาลัยเข้าสถานีตำรวจ ซึ่งมีเจ้าหน้าที่ตำรวจ 4 – 5 นาย ยืนอยู่ด้านหน้าอาคารชั้นเดียว หล่อนเผ่นลงจากรถวิ่งหน้าตาตื่นมุ่งตรงไปอาคารด้านหน้าเพราะบังคับหูรูดกระเพาะปัสสาวะแทบไม่ได้แล้ว หูตาคงลายไม่ได้อ่านป้ายอันใดเลย เลื่อนบานประตูทะยานเข้าห้องแจ้งความคดี
ชั่วเสียวนาทีหล่อนก็วิ่งปราดออกมาอ้อมตึกไปด้านหลัง “ตำรวจท่าจะงงหน้าดู” “แจ้งข้อหากระเพาะปัสสาวะจะระเบิด ฮิ ๆ”
ที่เด็ดกว่านี้หล่อนเล่าว่า เคยเข้าห้องน้ำสาธารณะแล้วได้ยินจิ๊กโก๋แซวข้ามมาจากห้องน้ำชายว่า “ฉี่ดังจัง” “แล้วมีปัญหาอะไรไหม” หล่อนสวนกลับขณะปัสสาวะอย่างเมามัน เมื่อกลับมาที่รถยังมาบ่นให้เพื่อนฟังอีก จึงถึงบางอ้อว่า จิ๊กโก๋นั้นไซร้เป็นนายแพทย์ที่ร่วมคณะไปด้วย ทำเอาหน้าแตกไปอีกรอบ ฉันเพิ่งได้รูปเพิ่มเติมของเด็กน้อยวัย 2 ขวบ 7 เดือน ที่ถูกแมงกะพรุนพิษ จากน้องพยาบาล แสดงให้เห็นถึงความรุนแรงของพิษต่อผิวหนัง นอกเหนือจากพิษต่อหัวใจ และ ระบบประสาท (ของเดือนที่แล้ว เรื่อง สืบสวนทรหด...หาเด็กไทยรายแรกที่ถูกแมงกะพรุนพิษเฉียดตาย ของเดือนที่แล้ว)
จึงขอแบ่งปันความรู้ซึ่งไม่ค่อยทราบกันในบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข เพราะเราเพิ่งพิสูจน์และหาความรู้ในไทยจริง ๆ จัง มาเพียง สามปี เลยไม่มีตำราให้เล่าเรียนกัน ไม่ต้องพูดถึงชาวบ้านตาดำ ๆ เลยนะ ส่วนการรักษายังไม่มีคู่มือในประเทศไทย แต่หมอจิ๋มกับฉันกำลังจัดทำกับแพทย์ผู้เกี่ยวข้องของกระทรวงสาธารณสุขอยู่ ระหว่างนี้เราก็ออกสอนในจังหวัดกลุ่มเป้าหมายและหน่วยงานต่าง ๆ โดยปรึกษากับคณะผู้เชี่ยวชาญ และ Dr. Peter Fenner ผู้เขียนตำราจากประเทศออสเตรเลีย
อันที่จริงอยากให้มีการศึกษาหาความรู้ในการรักษาผู้ป่วยไทย เพราะไม่สามารถยืนยันได้แน่นอนว่าจะได้ผลเหมือนฝรั่งหรือเปล่าหากท่านผู้ใดอยากร่วมหาองค์ความรู้เป็นวิทยาทานก็ยินดีมากค่ะ |
ถึง บล็อกเกอร์ ทุกท่าน โปรดอ่าน
ด้วยทาง บริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จำกัด (มหาชน) ได้ติดต่อขอความร่วมมือ มายังเว็บไซต์และเว็บบล็อกต่าง ๆ รวมไปถึงเว็บบล็อก OKnation
ห้ามให้มีการเผยแพร่ผลงานอันมีลิขสิทธิ์ ของบริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ฯ บนเว็บ blog โดยกำหนดขอบเขตของสิ่งที่ห้ามทำ และสามารถทำได้ ดังนี้
ห้ามทำ - การใส่ผลงานเพลงต้นฉบับให้ฟัง ทั้งแบบควบคุมเพลงได้ หรือซ่อนเป็นพื้นหลัง และทั้งที่อยู่ใน server ของคุณเอง หรือ copy code คนอื่นมาใช้ - การเผยแพร่ file ให้ download ทั้งที่อยู่ใน server ของคุณเอง หรือฝากไว้ server คนอื่น สามารถทำได้ - เผยแพร่เนื้อเพลง ต้องระบุชื่อเพลงและชื่อผู้ร้องให้ชัดเจน - การใส่เพลงที่ร้องไว้เอง ต้องระบุชื่อผู้ร้องต้นฉบับให้ชัดเจน จึงเรียนมาเพื่อโปรดปฎิบัติตาม มิเช่นนั้นทางบริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ฯ จะให้ฝ่ายดูแลลิขสิทธิ์ ดำเนินการเอาผิดกับท่านตามกฎหมายละเมิดลิขสิทธิ์
OKNATION
กฎกติกาการเขียนเรื่องและแสดงความคิดเห็น
1 การเขียน หรือแสดงความคิดเห็นใด ๆ ต้องไม่หมิ่นเหม่ หรือกระทบต่อสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ หรือกระทบต่อความมั่นคงของชาติ
2. ไม่ใช้ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่นในทางเสียหาย หรือสร้างความแตกแยกในสังคม กับทั้งไม่มีภาพ วิดีโอคลิป หรือถ้อยคำลามก อนาจาร 3. ความขัดแย้งส่วนตัวที่เกิดจากการเขียนเรื่อง แสดงความคิดเห็น หรือในกล่องรับส่งข้อความ (หลังไมค์) ต้องไม่นำมาโพสหรือขยายความต่อในบล็อก และการโพสเรื่องส่วนตัว และการแสดงความคิดเห็น ต้องใช้ภาษาที่สุภาพเท่านั้น 4. พิจารณาเนื้อหาที่จะโพสก่อนเผยแพร่ให้รอบคอบ ว่าจะไม่เป็นการละเมิดกฎหมายใดใด และปิดคอมเมนต์หากจำเป็นโดยเฉพาะเรื่องที่มีเนื้อหาพาดพิงสถาบัน 5.การนำเรื่อง ภาพ หรือคลิปวิดีโอ ที่มิใช่ของตนเองมาลงในบล็อก ควรอ้างอิงแหล่งที่มา และ หลีกเลี่ยงการเผยแพร่สิ่งที่ละเมิดลิขสิทธิ์ ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบหรือวิธีการใดก็ตาม 6. เนื้อหาและความคิดเห็นในบล็อก ไม่เกี่ยวข้องกับทีมงานผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซต์ โดยถือเป็นความรับผิดชอบทางกฎหมายเป็นการส่วนตัวของสมาชิก คลิ้กอ่านเงื่อนไขทั้งหมดที่นี่"
OKnation ขอสงวนสิทธิ์ในการปิดบล็อก ลบเนื้อหาและความคิดเห็น ที่ขัดต่อความดังกล่าวข้างต้น โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ต่อเจ้าของบล็อกและเจ้าของความคิดเห็นนั้นๆ
|
||
![]() ![]() |