14 ส.ค.61 ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) กล่าวถึงการเดินสายของกลุ่มสามมิตรเพื่อรับข้อเสนอและปัญหาตามพื้นที่ต่างๆ โดยอ้างว่าจะประสานผู้ใหญ่ฝ่ายบริหารผลักดันหาทางแก้ปัญหาให้ว่า กลุ่มสามมิตรอยู่กลุ่มไหน หรือพรรคไหนยังไม่รู้เลย ขณะเดียวกันที่ผ่านมาพรรคอื่นก็มีการเดินสายอยู่ ไม่เช่นนั้นกลายเป็นตนให้คนนี้พูดแล้วคนอื่นไม่ได้พูด อย่างไรก็ตามขออย่ากังวลเพราะคสช. ติดตามอยู่ หากมีการเกินเลยก็ต้องดำเนินการอยู่แล้ว และยืนยันว่ารัฐบาลไม่ได้ไปเอื้อประโยชน์ให้ใครทั้งสิ้น

"ผมเห็นทุกคนก็ออกมาพูด พรรคอะไรใหม่ๆ ชื่ออะไรใหม่ๆสักอย่าง ก็ลงไปพูดอยู่ ไปเยี่ยมประชาชน ไปเดินสายต่างๆ วันหน้าก็กลายเป็นว่ารัฐบาลไปปิดกั้น ซึ่งรัฐบาลพยายามอะไรที่พอจะให้เขามีทางออกบ้างก็ปล่อยเขาพูดไป เพราะวันนี้ผมก็ไม่รู้ว่าที่ออกมาพูดอยู่พรรคไหน บางพรรคมีชื่อพรรคอยู่แล้วก็ยังออกไปพูดได้"พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว 

เมื่อถามว่า การปล่อยให้กลุ่มสามมิตร เคลื่อนไหวในช่วงที่ยังไม่ปลดล็อก จะทำให้หลายพรรคการเมืองเริ่มมองว่าตัวเองถูกมัดมือชกหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ทุกพรรคก็ออกมาพูดกันหมด ทั้งในสื่อและโซเชียลมีเดียที่มีการพูดและด่ากันอยู่ทุกวัน ด่ากันไปมา ไม่พ้นกลับมาเป็นแบบเดิมๆ แล้วจะแก้ไขกันได้อย่างไร

ทั้งนี้ย้ำว่าในเรื่องการปฏิรูปการเมืองก่อนการเลือกตั้ง ได้ดำเนินการไปหลายอย่าง จะเห็นว่ามีกฎหมายต่างๆ ออกมามากมาย รวมถึงคำสั่งตามมาตรา 44 เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาในอนาคต ดังนั้นขอให้ทุกคนช่วยกัน ยืนยันไม่ได้ต้องการสืบทอดอำนาจ แต่เราไม่อยากให้เรื่องเดิมๆเกิดขึ้นอีก อีกทั้งส่วนหนึ่งของการปฏิรูปการเมืองคือการทำให้บ้านเมืองสงบสุข ประชาชนอยู่ภายใต้กรอบกฎหมาย และเข้าใจวิธีการทำงานของรัฐบาลไม่เช่นนั้นก็จะพูดกันไปเรื่อยเปื่อย สังคมก็จะตื่นตระหนกแล้วเลือกตั้งจะไปกันอย่างไร วันหน้าก็จะด่ากันสาดเสียเทเสียจนทำให้เสียหายกันไปหมด สรุปกลายเป็นไม่มีใครดีเลย

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวต่อว่า ขณะเดียวกันขอให้ติดตามนักการเมืองหน้าใหม่ว่าแต่ละพรรคจะส่งใครมาลงเลือกตั้ง ซึ่งอยู่ที่ประชาชนจะพิจารณากันเอง ซึ่งส่วนตัวมองว่าหลายพรรคควรมีคนใหม่และคนเก่า เพราะประชาชนส่วนหนึ่งก็ยังนิยมชมชอบนักการเมืองเดิมๆ ของตัวเองอยู่  ซึ่งถือเป็นปัญหาของเราที่ต้องสร้างความเข้าใจว่า การจะได้รัฐบาลที่มีธรรมาภิบาลเป็นอย่างไร ดังนั้นใครที่จะเข้าสู่การเมืองในวันหน้าต้องปรับปรุงตัวเอง อีกทั้งใครที่ไม่ได้มีข้อห้ามทางกฎหมายต่างๆ เราก็ไม่วามารถไปห้ามได้ในการไปลงเลือกตั้งที่ใดก็ตาม แต่ที่สำคัญขึ้นอยู่กับประชาชนที่เป็นผู้เลือก เราก็จะดูแลเรื่องการทุจริต โปร่งใสเรื่องการเลือกตั้งดีกว่า

"ณัฐวุฒิ"เหน็บสุดอัปลักษณ์ ผู้มีอำนาจปล่อย"กลุ่มสามมิตร"ลงพื้นที่พบชาวบ้านได้ แขวะถ้านปช.ทำบ้างได้หรือไม่ รอดูฉากสุดท้ายใครต้มใคร

14 ส.ค.61 นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) กล่าวว่า แม้คำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) จะถูกใช้เป็นกฎหมาย แต่ตนคงไม่ตั้งคำถามว่าความเคลื่อนไหวของกลุ่มสามมิตรผิดกฎหมายหรือไม่ เพราะคำสั่ง คสช.เรื่องห้ามประชาชนรวมกลุ่มทำกิจกรรมทางการเมืองเกิน 5 คน ไม่มีความชอบธรรมตั้งแต่ต้น ยิ่ง พ.ร.ป.พรรคการเมือง มีผลบังคับใช้แล้ว คำสั่งนี้ก็สมควรยกเลิก แต่พอฝ่ายผู้มีอำนาจบอกว่ากลุ่มสามมิตรเป็นกลุ่มบุคคล ไม่ใช่พรรคการเมืองจึงทำได้ ก็ทำให้ประเด็นสำคัญของเรื่องนี้ชัดขึ้นว่า มีการใช้คำสั่งที่ไม่ชอบธรรม และใช้อย่างไม่ยุติธรรมด้วย ถือเป็นความอัปลักษณ์ยกกำลังสอง

ทั้งนี้ ถ้าจะมีคำถามตนจะถามว่า หากประชาชนต้องการสะท้อนปัญหาความทุกข์ยากกับ นปช.หรือกลุ่มอื่นๆ ซึ่งก็ไม่ได้เป็นพรรคการเมือง จะเดินสายพบปะแล้วแถลงข่าวเสนอแนวทางแก้ไขให้รัฐบาล แบบเดียวกับกลุ่มสามมิตรได้หรือไม่ ถ้าไม่ได้คำอธิบายคืออะไร

นายณัฐวุฒิ กล่าวอีกว่า ถ้าจะมองว่ากลุ่มสามมิตรกำลังเอาเปรียบพรรคการเมืองอื่น ตนก็ว่าไม่ชัดนัก เพราะเท่าที่ดูไม่มีใครกังวลกับพลังดูด โดยเฉพาะพรรคเพื่อไทยซึ่งน่าจะเป็นเป้าหมายใหญ่ ห่วงแต่ที่ทำกันอยู่จะเป็นการเอาเปรียบกลุ่มคนที่กำลังวางแผนสืบทอดอำนาจมากกว่า เพราะกระแสดูดอาจทำให้เคลิ้มจนเข้าใจว่าสำเร็จแน่ ตอนนี้ที่ได้ยินคนการเมืองพูดกันมาก คือ อยากดูฉากสุดท้ายว่าใครต้มใคร แต่สำหรับตนอย่าต้มประชาชนโดยเลื่อนการเลือกตั้งออกไปอีกเป็นใช้ได้

14 ส.ค. 61 ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวภายหลังประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.)ว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมาตรี กล่าวในที่ประชุมถึงการจัดขบวนรถของนายกฯรองนายกฯ และบุคคลสำคัญในคสช. ที่ต้องมีการจัดขบวนรถนำ และรถตามเป็นคณะเวลามีภารกิจไปประชุมในที่ต่างๆ ซึ่งเป็นไปตามมาตราฐานความปลอดภัยของหน่วยงานความมั่นคง 

ทั้งนี้ นายกฯเป็นห่วงในเรื่องนี้ว่าไม่อยากให้ประชาชนเดือดร้อน จึงมีนโยบายว่า ขอให้หน่วยงานที่รับผิดชอบดำเนินการด้วยความรัดกุม รอบคอบ อย่าให้ประชาชนได้รับผลกระทบ ถ้ามีความจำเป็นจะต้องขอทาง เช่น ทางแยก หรือต้องใช้ทางร่วมกันแล้วจะต้องปิดเส้นทางประมาณ 1นาที เพื่อให้ขบวนผ่านไป ก็ขอให้ประชาชนรับผลกระทบน้อยที่สุด 

โดยเฉพาะตัวผู้นำเองที่นั่งอยู่ในรถจะต้องคอยกำกับดูแลคนของตนเอง ซึ่งในการขอทางให้ปฏิบัติด้วยคำพูด หรือภาษากายด้วยความสุภาพเรียบร้อย อย่าให้มีข้อรายงานมาโดยเด็ดขาดว่ามีการกระทำการใดๆที่ไม่เหมาะสม โดยครม.รับทราบ และพร้อมจะนำไปปฏิบัติ

วันที่ 14 สิงหาคม พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ให้สัมภาษณ์กรณีถูก นายศรีสุวรรณ จรรยา นายกสมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อน ยื่นฟ้องร่วมกับ ผ.อ.เขตจตุจักร ขอให้ศาลปกครองมีคำสั่งระงับการตัดต้นไม้เขตจตุจักรและพื้นที่อื่นๆใน กทม. ภายหลังจากเขตจตุจักรได้ตัดต้นจามจุรีขนาดสูงเท่าตึก 5 ชั้น จนเหี้ยนเหลือแต่ตอว่า ได้รับทราบเรื่องดังกล่าวและสอบถามไปยังสำนักงานเขตจตุจักรแล้ว เบื้องต้นเขตรายงานว่า การตัดต้นไม้ดังกล่าวได้ติดประกาศเพื่อแจ้งประชาชนทราบล่วงหน้า 7 วัน และสาเหตุที่ต้องตัด เพราะมีประชาชนร้องเรียนว่าต้นไม้เติบโตจนมีขนาดใหญ่และสูง รากไม้ชอนไชเข้าไปยังอาคารของประชาชนและทางเท้าได้รับความชำรุดเสียหาย จึงต้องดำเนินการตัดทิ้ง

“เขตยืนยันว่าก่อนลงมือตัด ได้ประกาศให้สังคมรับทราบแล้ว ผมได้ให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบข้อเท็จจริงซ้ำอีกครั้งว่า เป็นไปตามที่อ้างหรือไม่ ทั้งนี้แนวทางการพิจารณาตัดต้นไม้ที่อยู่ระหว่างพื้นที่สาธารณะและพื้นที่เอกชน จะต้องพิจารณาเป็นกรณี โดยคำนึงจากความเดือดร้อน ความจำเป็น และข้อเท็จจริง คือ กทม.ไม่มีนโยบายตัดต้นไม้ หากไม่จำเป็น เพราะกทม.ต้องการให้มีพื้นที่สีเขียว มีต้นไม้เป็นปอดของคนกรุงเทพฯ ถ้าถามว่า กทม.กังวลที่ นายศรีสุวรรณ ฟ้องร้องต่อศาลหรือไม่ ตอบเลยว่าไม่ได้กังวลและจะปล่อยให้เป็นไปตามข้อเท็จจริง และกระบวนการพิจารณาตามขั้นตอนของศาล” พล.ต.อ.อัศวิน กล่าว

ช็อกโลก! สะพานทางด่วนใน'อิตาลี'ถล่ม รถร่วงลงพื้นตายนับสิบ (ชมคลิป-ภาพชุด)

วันอังคาร ที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2561, 19.33 น.

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานเมื่อวันที่ 14 สิงหาคม ได้เกิดเหตุสะพานเชื่อมทางหลวงสายหลักระหว่างอิตาลีและฝรั่งเศสได้พังถล่มลงมาในเมืองเจนัวทางตอนเหนือของอิตาลี ทำให้รถยนต์หลายคันที่อยู่บนสะพานดังกล่าว ร่วงลงมาสู่พื้นจากความสูงกว่า 100 เมตร ทำให้มีผู้เสียชีวิตนับสิบราย

โดยภาพจากแหล่งต่างๆ ที่ถูกนำออกเผยแพร่ ได้เปิดเผยให้เห็นซากปรักหักพังของสะพาน ที่ถล่มลงมาอยู่บรรถนนด้านล่าง ซึ่งรวมถึงตอม่อของสะพานด้วย โดยหน่วยงานกู้ภัยของอิตาลีระบุว่า เหตุดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อในช่วงเวลาก่อนเที่ยงวันตามเวลาท้องถิ่น โดยขณะนั้นได้เกิดฝนตกหนักและมีลมพัดแรง ซึ่งภายหลังสะพานถล่มลงมา ชิ้นส่วนส่วนใหญ่ของสะพานได้ตกลงไปที่บริเวณรถไฟ และทำให้รถยนต์และรถบรรทุกหลายคันหล่นลงมา โดยบางคันได้ตกลงไปในคลองริมทาง อย่างไรก็ตามขณะนี้ตัวเลขผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตยังไม่นิ่ง เนื่องจากอยู่ระหว่างการช่วยเหลือ

ด้าน นายดานิโล โทนิเนลลี รมว.คมนาคม ของอิตาลี กล่าวว่า เหตุที่เกิดขึ้นเป็นโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ของอิตาลี 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

หน้าแรก / ต่างประเทศ

'เวียนนา'ขึ้นแท่นที่1เมืองน่าอยู่ที่สุดในโลก โค่น'เมลเบิร์น'แชมป์เก่า7สมัย

วันอังคาร ที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2561, 14.43 น.

14 ส.ค.61 สำนักข่าวต่างประเทศรายงาน กรุงเวียนนา เมืองหลวงของประเทศออสเตรีย ขึ้นแท่นอันดับ 1 เมืองที่น่าอยู่ที่สุดในโลกประจำปี 2018 (world’s most liveable city) ล้มแชมป์เก่า 7 สมัยอย่าง นครเมลเบิร์น ประเทศออสเตรเลีย ที่หล่นมาอยู่อันดับที่ 2 ในปีนี้ และนับครั้งแรกที่เมืองในทวีปยุโรปที่ได้ครองแชมป์อันดับหนึ่ง 

โดย The Economist Intelligence Unit หน่วยงานวิเคราะห์เศรษฐกิจ ของนิตยสารชื่อดังระดับโลก The Economist  ได้เผยผลการจัดอันดับประจำปีนี้ ซึ่งเก็บข้อมูลจาก 140 เมืองทั่วโลก พิจารณาจากหลายปัจจัย เช่น มาตรฐานการครองชีพ, สถิติอาชญากรรม, การคมนาคมขนส่ง, การศึกษา, ระบบสาธารณสุข รวมไปถึงเสถียรภาพทางการเมืองและเศรษฐกิจ

สำหรับเมืองที่น่าอยู่ที่สุดเป็นอันดับ 3 ของโลก ปี 2018 ได้แก่ นครโอซากา, ญี่ปุ่น อันดับ 4 เมืองคาลการี, แคนาดา อันดับ 5 เมืองซิดนีย์ ออสเตรเลีย อันดับ 6 นครแวนคูเวอร์, แคนาดา อันดับ 7 กรุงโตเกียว, ญี่ปุ่น อันดับ 8 นครโตรอนโต, แคนาดา อันดับ 9 กรุงโคเปนเฮเกน, เดนมาร์ก และอันดับ 10 เมืองแอดิเลด, แคนาดา

ขณะที่ สิงคโปร์รั้งเมืองน่าอยู่อันดับที่ 37 ของโลก และยังคงเป็นแชมป์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตามมาด้วยอันดับที่ 78 กรุงกัวลาลัมเปอร์, มาเลเซีย และอันดับที่ 98 กรุงเทพมหานคร, ประเทศไทย

ทั้งนี้ นักวิจัยชี้ว่า เมืองที่ได้คะแนนสูงสุดมักเป็นเมืองขนาดกลางที่อยู่ในประเทศร่ำรวย และประชากรไม่หนาแน่นมากนัก ซึ่งช่วยให้ผู้อยู่อาศัยได้มีโอกาสทำกิจกรรมสันทนาการ โดยไม่นำไปสู่อาชญากรรมที่เพิ่มสูงขึ้น หรือปัญหาโครงสร้างพื้นฐานไม่เพียงพอ

ส่วนเมืองที่น่าอยู่น้อยที่สุดในโลก ประจำปี 2018 อันดับที่ 1 คือ กรุงดามัสกัส, ซีเรีย ตามด้วยอันดับ 2 กรุงธากา, บังกลาเทศ อันดับ 3 กรุงลากอส, ไนจีเรีย อันดับ 4 นครการาจี, ปากีสถาน อันดับ 5 พอร์ต มอเรสบี, ปาปัวนิวกินี อันดับ 6 กรุงฮาราเร, ซิมบับเว อันดับ 7 กรุงตริโปลี, ลิเบีย อันดับ 8 เมืองโดอัวลา, แคเมอรูน อันดับ 9 กรุงแอลเจียรส์, แอลจีเรีย และอันดับ 10 กรุงดาการ์, เซเนกัล.

source : eiu
cnn
 

 

 

 

 

........................................................

 

14 สิงหาคม 2561