สวัสดีครับ
มีหลายประเทศรวมทั้งไทย กำลังก้าวหน้าในการผลิตวัคซิน COVID- 19 โลกจึงมีความหวังขึ้นมามากทีเดียว
แต่อย่างไรก็ตาม เรายังต้องยกการ์ดสูงเอาไว้ก่อน และต้องทำอย่างพร้อมเพรียงด้วยกัน จึงจะปลอดภัยจริงๆ
VIDEO
อัพเดทจำนวนผู้ติดเชื้อ
ผู้ติดเชื้อ 12,847,288
ผู้เสียชีวิต 567,734
ผู้ที่หายแล้ว 7,483,246
อัพเดทล่าสุด 2020-07-12 12:45:02
ดูข้อมูล COVID-19 ทั่วโลก
คิดโซน (ของ) วัยทีน
จุฬาฯ เผยข่าวดี พัฒนาวัคซีน CU-Cov19 เข็มที่2ในลิงได้ผลดี รอไฟเขียวทดสอบในคนตุลาฯนี้
12 กรกฎาคม 2563 - 12:05 น.
จุฬาฯเผยข่าวดี พัฒนาวัคซีนCU-Cov19เข็มที่2ในลิงได้ผลดี ลิงมีภูมิคุ้มกันสุขภาพแข็งแร็งดีทุกตัว เดินหน้าทดสอบในมนุษย์ รับสมัครจิตอาสา ส.ค. นี้ คาดทดสองฉีดเข็มแรก ประมาณเดือนตุลาคม-ธันวาคม 2563
วันที่ 12 กรกฎาคม 2563 โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ศูนย์วิจัยวัคซีน คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมมือกับมหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนีย พัฒนาวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ชนิด mRNA ที่มีชื่อว่า “CU-Cov19”
โดย ศ.นพ.สุทธิพงศ์ วัชรสินธุ คณบดี คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และผู้อำนวยการโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย และ ศ.นพ.เกียรติ รักษ์รุ่งธรรม ผู้อำนวยการบริหารโครงการพัฒนาวัคซีนโควิด-19 ศูนย์วิจัยวัคซีน คณะแพทยศาสตร์ จุฬา ร่วมกันแถลงข่าว จุฬาฯ พัฒนาวัคซีนโควิด-19 หลังพบในลิงได้ผลดี เดินหน้าทดสอบในมนุษย์ (จิตอาสา) ความคืบหน้าการพัฒนา
และผลการทดสอบวัคซีนโควิด-19 ในลิงเข็มที่สอง เ ตรียมพร้อมเดินหน้าทดสอบในมนุษย์ตามแผนต่อไป แถลงข่าว ณ ห้องประชุม 1210 ชั้น 12 อาคารภูมิสิริมังคลานุสรณ์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย
ศ.นพ.สุทธิพงศ์ วัชรสินธุ คณบดีคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และผู้อำนวยการโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย กล่าวว่า จากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ในประเทศไทยที่ผ่านมา โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย และคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้จัดเตรียมความพร้อมของสถานที่ แพทย์ พยาบาล บุคลากร เทคโนโลยีต่างๆ ที่ทันสมัย ได้มาตรฐาน นำมาใช้ในการตรวจคัดกรองประชาชนเป็นอย่างมีประสิทธิภาพ
นอกจากนี้ทางด้านศูนย์วิจัยวัคซีน คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ก็นับว่าสถาบันการวิจัยทางการแพทย์ที่ได้รับความร่วมมือจากนักวิจัยทางการแพทย์ และวิทยาศาสตร์ทั้งในระดับประเทศและระดับโลกร่วมกันเดินหน้าพัฒนา วิจัย ต่อยอด การคิดค้น ผลิตวัคซีน เพื่อใช้ในการป้องกันโรคต่างๆ ให้กับประชาชนมาอย่างต่อเนื่อง
โดยล่าสุดนี้ ศูนย์วิจัยวัคซีน คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมมือกับมหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนีย พัฒนาวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ชนิด mRNA ที่มีชื่อว่า “CU-Cov19” ได้เผยข่าวดี ผลการทดสอบวัคซีนโควิด-19 ในลิงเข็มที่สอง ลิงสร้างภูมิคุ้มกันได้ในระดับสูง มีสุขภาพดี เดินหน้าทดสอบในมนุษย์ตามแผนสำหรับรายละเอียดดังกล่าว เรียนเชิญ ศ.นพ.เกียรติ รักษ์รุ่งธรรม ผู้อำนวยการบริหารโครงการพัฒนาวัคซีน
โควิด-19 ศูนย์วิจัยวัคซีน คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นผู้ให้มูลต่อไป
ทางด้าน ศ.นพ.เกียรติ รักษ์รุ่งธรรม ผู้อำนวยการบริหารโครงการพัฒนาวัคซีนโควิด-19 ศูนย์วิจัยวัคซีน คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่าการพัฒนาวัคซีนนี้ ได้รับการสนับสนุนจาก สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.), สถาบันวัคซีนแห่งชาติ, จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และเงินบริจาคกองทุนวิจัยวัคซีน ซึ่งวัคซีน CU-Cov19 เป็นวัคซีนชนิด mRNA ที่ผลิตจากสารพันธุกรรมของเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่บางส่วน ซึ่งเมื่อชิ้นส่วนของสารพันธุกรรมนี้ถูกฉีดเข้าไปในร่างกาย จะถูกเปลี่ยนเป็นโปรตีนเพื่อกระตุ้นให้เกิดการสร้างภูมิคุ้มกันชนิดแอนติบอดีที่ช่วยต่อสู้กับไวรัสได้
สำหรับความคืบหน้าล่าสุด ผลการตรวจเลือดลิงหลังจากได้รับการฉีดวัคซีน CU-Cov19 กระตุ้นเข็มที่สอง ที่ศูนย์วิจัยไพรเมทแห่งชาติ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นเวลาสองสัปดาห์ พบว่าลิงที่ได้รับวัคซีนทุกตัวมีระดับภูมิคุ้มกันที่เพิ่มขึ้น โดยมีระดับภูมิคุ้มกันที่สูงมากในกลุ่มที่ได้รับวัคซีนโดสสูง
นอกจากนี้ ยังพบว่าลิงทุกตัวมีสุขภาพแข็งแรง และไม่มีผลข้างเคียงจากการได้รับวัคซีน
จากผลการทดสอบนี้ ศูนย์วิจัยวัคซีนฯ จะเริ่มสั่งผลิตวัคซีนเพื่อให้พร้อมสำหรับการทดสอบในมนุษย์ตามแผน ประมาณเดือน ตุลาคม-ธันวาคม 2563 นี้ต่อไป
ขณะเดียวกัน นานาประเทศทั่วโลกต่างเดินหน้าทดลองวัคซีนโควิด-19 กันอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดมีความคืบหน้าจากประเทศรัสเซีย หลังมีการทดลองวัคซีนโควิด-19 จำนวนถึง 17 สายพันธุ์ และจะเริ่มผลิตวัคซีนโควิด-19 ครั้งในเดือนสิงหาคม คาดว่าพลเมืองรัสเซียจะมีวัคซีนโควิด-19 ใช้ป้องกันโรคโควิด-19 ภายในปี 2563 นี้
11 กรกฎาคม 2563 - 12:12 น.
ศูนย์ข้อมูล COVID-19 เผยประวัติเสี่ยงผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายใหม่ทั้ง 14 รายวันนี้ จากสถานที่กักันที่รัฐจัดให้ หรือ State Quarantine
สถานการณ์แพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ประจำวันที่ 11 กรกฎาคม 2563 โดย
ศูนย์ข้อมูล COVID-19 รายงานยอดผู้ติดเชื้อโควิดวันนี้ 14 ราย จากสถานที่กักันที่รัฐจัดให้ หรือ State Quarantine ตามที่นำเสนอข่าวไปก่อนหน้านี้
โดยผู้ติดเชื้อโควิด-19 ทั้ง 14 ราย ยังคงเป็นผู้ที่เดินทางกลับมาจากต่างประเทศทั้งหมด แบ่งเป็น กลับจากประเทศบาห์เรน 1 ราย , สหรัฐอเมริกา 1 ราย และซูดาน 12 ราย
สำหรับประวัติเสี่ยงผู้ติดเชื้อโควิด-19 ทั้ง 14 ราย นั้นมีดังต่อไปนี้
- ผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่เดินทางกลับจากประเทศบาห์เรน เป็นหญิงไทยอายุ 42 ปี เดินทางมาถึงประเทศไทยเมื่อ 28 มิ.ย.2563 เข้าพัก State Quarantine จ.ชลบุรี ตรวจพบเชื้อโควิดเมื่อวันที่ 9 ก.ค.2563 ผู้ป่วยไม่มีอาการ
- ผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่เดินทางกลับจากประเทศสหรัฐอเมริกา หญิงไทยอายุ 31 ปี อาชีพลูกเรือสำราญ เดินทางกลับถึงไทยเมื่อ 5 ก.ค.2563 เข้าพัก State Quarantine ใน กทม. ตรวจพบเชื้อโควิดเมื่อวันที่ 9 ก.ค.2563 ผู้ป่วยไม่มีอาการ
- ผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่เดินทางกลับจากประเทศซูดาน 12 ราย แบ่งเป็นนักศึกษาชายไทย 11 คน อายุระหว่าง 19-31 ปี และเด็กหญิงไทย 1 ราย อายุ 9 ปี (เดินทางมาพร้อมครอบครัว) ทั้งหมดเดินทางกลับถึงไทยเมื่อ 10 ก.ค.2563 โดยผ่านการคัดกรอง ณ ด่านควบคุมโรค พบว่า 11 ราย มีอาการเข้าเกณฑ์ PUI คือ ไข้ ไอ เจ็บคอ มีน้ำมูก ส่งตรวจ พบเชื้อโควิดเมื่อวันที่ 10 ก.ค.2563
ข่าวที่คุณอาจสนใจ
11 กรกฎาคม 2563 - 15:19 น.
11 กรกฎาคม 2563 - 17:07 น.
11 กรกฎาคม 2563 - 15:21 น.
11 กรกฎาคม 2563 - 14:57 น.
11 กรกฎาคม 2563 - 20:06 น.
ข่าวล่าสุด
12 กรกฎาคม 2563 - 13:12 น.
12 กรกฎาคม 2563 - 13:05 น.
12 กรกฎาคม 2563 - 12:55 น.
12 กรกฎาคม 2563 - 12:31 น.
12 กรกฎาคม 2563 - 12:17 น.
บันทึก'ดงหลวง' เส้นทางแก๊งมอดไม้
เจาะประเด็นร้อน
บันทึก'ดงหลวง' เส้นทางแก๊งมอดไม้
12 กรกฎาคม 2563 - 13:12 น.
"กกกอก-กกตูม" ชื่อนี้ถูกพูดถึงทุกวัน เคียงข่าวน้องชมพู่ กลับกลบข่าวแก๊งมอดไม้ดงหลวง
นับแต่มีข่าว “น้องชมพู่” ทำให้คนทั้งประเทศ รู้จัก อ.ดงหลวง จ.มุกดาหาร แทบไม่ต้องจ้างสื่อทำประชาสัมพันธ์
เนื่องจากสถานที่เกิดเหตุการณ์ตายปริศนาของน้องชมพู่ คือ บ้านกกกอก ต.กกตูม อ.ดงหลวง จ.มุกดาหาร
นักข่าวทีวีจากส่วนกลาง และท้องถิ่น ปักหลักรายงานข่าวต่อเนื่องยาวนานกว่า 60 วันแล้ว อ.ดงหลวง พลอยได้อานิสงส์จากข่าวน้องชมพู่
ดงหลวง เมื่อร้อยกว่าปีที่แล้ว สมัยรัชกาลที่ 2 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ชนเผ่าบรู หรือไทโส้ อพยพข้ามโขงมาจากแขวงคำม่วน และ แขวงสะหวันนะเขต ประเทศลาว โดยการนำของท่าวเพี้ยแก้ว ตั้งบ้านเรือนอยู่ตามหุบเขา ที่เรียกว่าเทือกเขาภูพานตะวันออก
ฉะนั้น อ.ดงหลวง จึงจัดงานวัฒนธรรมบรูไฮไทโส้ ทุกปี เพราะประชากรส่วนใหญ่คือ ชนเผ่าบรู
++
อ.ดงหลวง ยกฐานะจากกิ่งอำเภอ เป็นอำเภอ เมื่อวันที่ 27 ก.ค.2527 แบ่งเขตการปกครอง 6 ตำบล 60 หมู่บ้าน
สภาพทางภูมิศาสตร์ อ.ดงหลวง 1,076.2 ตารางกิโลเมตร แต่มีประชากรเพียง 39,088 คน ที่อาศัยอยู่ในราบสูง สลับกับเทือกเขาหินทราย
ผืนป่าอุดมสมบูรณ์ กว้างใหญ่ในอดีตของ อ.ดงหลวง ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของ อุทยานแห่งชาติภูผายล หรือเดิมเรียกว่าอุทยานแห่งชาติห้วยหวด
อุทยานแห่งชาติภูผายล ครอบคลุมท้องที่ อ.โคกศรีสุพรรณ อ.เต่างอย จ.สกลนคร ,อ.นาแก จ.นครพนม และ อ.ดงหลวง อ.คำชะอี จ.มุกดาหาร
กว่าครึ่งหนึ่งของอุทยานแห่งนี้ เป็นพื้นที่ อ.ดงหลวง และเป็นที่มาของ “แก๊งมอดไม้ ” อาละวาดในแถบ 4 จังหวัดภาคอีสาน คือ มุกดาหาร สกลนคร กาฬสินธุ์ และนครพนม
10 ปีมานี้ หากมีข่าวจาก อ.ดงหลวง จ.มุกดาหาร ก็คือข่าวการจับกุม “แก๊งมอดไม้” หรือขบวนการค้าไม้พะยูง ส่งต่อไปขายในเมืองจีน
การตรวจยึดไม้พะยูง ทั้งแบบที่เป็นไม้ท่อนและไม้แปรรูป ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะบนถนนเปรมพัฒนา (อ.ดงหลวง-อ.เขาวง จ.กาฬสินธุ์)
หัวหน้าอุทยานแห่งชาติภูผายล และเจ้าหน้าที่ป่าไม้ ได้ร่วมกับตำรวจ-ทหาร พร้อมฝ่ายปกครอง ปราบปรามจับกุมผู้ลักลอบค้าไม้พะยูง ใน อ.ดงหลวง อยู่เป็นประจำ
ถนนเปรมพัฒนา เส้นทางยุทธศาสตร์เพื่อความมั่นคง สมัยสงครามเย็น ได้กลายเป็นเส้นทางยุทธศาสตร์ที่ขบวนการค้าไม้พะยูงใช้เป็นเส้นทางลำเลียงไปส่งยังชายแดน
บ้านกกกอก และบ้านกกตูม จึงเป็นทางผ่านของขบวนการมอดไม้ ลำเลียงไม้พะยูง ออกไปสู่ที่ราบ สกลนคร ,กาฬสินธุ์ และนครพนม
ด้วยเหตุนี้ สถานีตำรวจภูธรกกตูม จึงเป็นด่านสกัดแก๊งมอดไม้ที่สำคัญ และสายสืบตำรวจ สภ.กกตูม มีข้อมูลขบวนการค้าไม้พะยูงทั้งหมด
ข่าวที่คุณอาจสนใจ
11 กรกฎาคม 2563 - 15:19 น.
11 กรกฎาคม 2563 - 17:07 น.
11 กรกฎาคม 2563 - 15:21 น.
11 กรกฎาคม 2563 - 14:57 น.
11 กรกฎาคม 2563 - 20:06 น.
12 กรกฎาคม 2563 - 13:05 น.
12 กรกฎาคม 2563 - 12:55 น.
12 กรกฎาคม 2563 - 12:31 น.
12 กรกฎาคม 2563 - 12:17 น.
12 กรกฎาคม 2563 - 12:11 น.
ไทยจับมือนานาชาติ ริเริ่มเครือข่ายเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา ชวนทั่วโลกเดินหน้า All For Educationหรือปวงชนเพื่อการศึกษา
12 กรกฎาคม 2563 - 12:11 น.
ไทยจับมือนานาชาติ ริเริ่มเครือข่ายเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา ชวนทั่วโลกเดินหน้า All For Educationหรือปวงชนเพื่อการศึกษา เร่งแก้ความเหลื่อมล้ำให้สำเร็จเด็กทุกคนเข้าถึงการศึกษา ยูเนสโก คาดหวังกสศ.ไทยเป็นต้นแบบและเสริมพลังให้ประเทศอื่นๆในภูมิภาคขยายผล
เมื่อวันที่11ก.ค. 63 ที่โรงแรมเคมเปนสกี้ ปทุมวัน กรุงเทพฯกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา(กสศ.) ร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการ,กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์,มหาดไทย,UNESCO,UNICEF และ savethechildren จัดประชุมวิชาการนานาชาติ “เพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา ปวงชนเพื่อการศึกษา” เนื่องในโอกาสครบรอบ 30 ปี ปฏิญญาจอมเทียน เป็นวันที่สอง หลังจากระดมสมอง 60 ยอดนักคิด ผู้เชี่ยวชาญจากหลากหลายสาขา นักปฏิรูป ผู้กำหนดนโยบายที่มีอิทธิพลต่อวงการศึกษาทั่วโลก ร่วมหาทางออกปัญหาความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา หลังวิกฤตCovid-19 โดยมีผู้เข้าร่วมฟังการประชุมในรูปแบบออนไลน์มากกว่า 2,500 คนจาก 79 ประเทศ
นายอิชิโร่ มิยาซาวะ ตัวแทนจากองค์กรยูเนสโกประจำประเทศไทย กล่าวอภิปรายหัวข้อ “เครือข่ายองค์กรนานาชาติเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา” ว่า ตลอดระยะเวลา 20 ปีที่ผ่านมาอัตราเด็กหลุดออกจากระบบการศึกษาในระดับชั้นประถมและมัธยมต้นของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงในทิศทางที่ดีขึ้นถึงแม้จะมีความพยายามของทุกภาคส่วนในการแก้ปัญหา ยิ่งเมื่อได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 ก็ทำให้เด็กหลุดออกจากระบบการศึกษามากขึ้นไปอีก การแก้ปัญหานี้ เราต้องหยุดทำงานในรูปแบบเดิมที่เคยทำมา ต้องคิดใหม่และทำใหม่เพื่อให้เด็กๆได้รับการช่วยเหลืออย่างดีที่สุด “การพูดคุยกันอย่างเดียวก็ไม่เพียงพอ จะต้องมีกฎหมาย มีพระราชบัญญัติที่ออกมาอย่างชัดเจน และที่สำคัญต้องมีงบประมาณที่ลงทุนกับเรื่องนี้อย่างคุ้มค่า มีความคิดสร้างสรรค์และเป็นนวัตกรรมด้วย ซึ่งเครือข่ายความร่วมมือต้องช่วยกันคิดว่าถ้างบประมาณไม่มาก จะทำอย่างไรให้เกิดนวัตกรรมที่สร้างสรรค์ได้จริง ต้องวัดผลได้ว่ามีความสำเร็จอะไรเกิดขึ้น ต้องสร้างความเสมอภาคและสร้างการเปลี่ยนแปลงให้เห็นผ่านฐานข้อมูลและสถิติให้ได้” นายอิชิโร่ กล่าวว่า ขณะนี้เราได้ทำงานร่วมกับหลายประเทศภายใต้เครือข่าย equitable education alliance หรือ EEA เช่น ประเทศไทย อังกฤษ แคนาดา มาเลเซีย ฟินแลนด์ เกาหลี พบว่าแม้แต่ในประเทศที่มีระบบการศึกษาที่ดีที่สุดอย่างฟินแลนด์ก็ยังมีความเหลื่อมล้ำ ความไม่เท่าเทียมในระบบการศึกษาด้วยเช่นกัน ดังนั้นจึงเป็นหน้าที่ของเครือข่ายที่จะต้องส่องแสงสว่างให้เห็นว่าตรงไหนคือความสำเร็จ
“ผมเชื่อว่าประเทศไทยเป็นผู้นำในเรื่องนี้เพราะประเทศไทยเริ่มพูดเรื่องนี้แล้วมีหน่วยงานที่จะมาแก้ปัญหาโดยตรง ไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่เป็นดาวส่องแสงให้ประเทศอื่นได้เห็น หากมองไปในทวีปเอเชีย ยังไม่มีองค์กรแบบ กสศ. เกิดขึ้น ทั้งๆที่มีปัญหาด้านความเหลื่อมล้ำสูง เราชื่นชมประเทศไทย และจากสถานการณ์โควิด ที่ดูเหมือนจะทำให้เด็กเสี่ยงหลุดออกนอกระบบการศึกษามากขึ้น แต่ในทางบวกจะเป็นพลังให้การทำงานของ กสศ. กับภาคีเสริมพลังกันมากขึ้นที่จะขับเคลื่อนความเสมอภาค หลังจากที่ได้มีการหารือในเวทีนานาชาติ คาดหวังว่าจะเห็นนวัตกรรมการแก้ไขปัญหาด้านความเหลื่อมล้ำจาก กสศ. ตั้งแต่ตอนนี้ จนถึง 10 ปีข้างหน้า เพื่อเป็นแบบอย่างให้กับประเทศเพื่อนบ้าน เช่น พม่า ลาว และรัฐบาลประเทศอื่นๆ ดำเนินการตามประเทศไทยมากขึ้น” ตัวแทนจากองค์กรยูเนสโกประจำประเทศไทยกล่าว ดร.กฤษณพงศ์ กีรติกร ประธานอนุกรรมการกำกับทิศทางโครงการการจัดประชุม วิชาการนานาชาติเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา: ปวงชนเพื่อการศึกษา กล่าวว่า เป็นความท้าทายในโอกาสครบรอบ 30 ปีปฏิญญาจอมเทียน ที่มีผู้นำการศึกษาทั่วโลกเกือบ 200 คน แสดงเจตนารมณ์อันแรงกล้าที่เป็นจุดกำเนิดของ คำว่า Education For All หรือการศึกษาเพื่อปวงชน ที่มุ่งเน้นให้การศึกษาเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของเด็กและเยาวชนทุกคนที่สามารถเข้าถึงและสำเร็จการศึกษาระดับประถมได้100% อย่างเท่าเทียมและมีคุณภาพ แต่ทั่วโลกยังไม่สามารถขจัดปัญหาความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาได้ และเราเดินทางมาถึง10 ปีสุดท้ายแห่งการดำเนินงานตามเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน หรือ SDG17 ด้านการส่งเสริมโอกาสการเรียนรู้ที่จะต้องเกิดขึ้นภายในปี 2573 ทำให้ในการประชุมวิชาการนานาชาติเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา ซึ่งจัดขึ้นที่ประเทศไทย และอยู่ในช่วงที่ทั่วโลกกำลังเผชิญวิกฤตโควิด-19 เป้าหมายการศึกษาเพื่อปวงชน จึงถูกเปลี่ยนเป็นปวงชนเพื่อการศึกษา หรือ All For Education ที่ปรึกษา กสศ. กล่าวว่า ปัญหาความเหลื่อมล้ำแก้ไขได้ ถ้าทุกฝ่ายช่วยกันเปลี่ยนแปลง ร่วมกันยกระดับความเสมอภาคทางการศึกษาด้วยการจัดการศึกษาเชิงพื้นที่ การปรับปรุงแก้ไขกรอบกฎหมาย นำเทคโนโลยี นวัตกรรมการเงินการคลัง และการเก็บข้อมูลสารสนเทศช่วยให้เด็กๆเข้าถึงการศึกษามากขึ้น การพัฒนาแพลตฟอร์มการเข้าถึงการศึกษาแบบไร้พรมแดน การพัฒนาครู ที่สำคัญคือภาครัฐของประเทศต่างๆต้องให้ความร่วมมือเพิ่มการลงทุนสำหรับการสร้างความเสมอภาคทางการศึกษาให้เด็กทุกคนเข้าถึงการศึกษาที่มีคุณภาพอย่างทั่วถึง “แนวทางใหม่ที่สำคัญ คือ เราต้องช่วยกันทำให้การศึกษาไปถึงเด็ก ไม่ว่าพวกเขาจะมีปัญหาและความต้องการอะไรในทุกสภาพสังคม ไม่ใช่ให้เด็กต้องเข้าหาการศึกษาอย่างในอดีต หรือต้องไปโรงเรียนเท่านั้นถึงจะได้รับการศึกษา นี่เป็นการเปลี่ยนมโนทัศน์ครั้งใหม่ที่จะช่วยสร้างความเสมอภาคทางการศึกษาให้เกิดขึ้นได้ทุกที่ทุกเวลาเช่นกัน” นางสาวดุริยา อมตวิวัฒน์ รองปลัดกระทรวงศึกษาธิการ(ศธ.) กล่าวว่า ผลการประชุมครั้งนี้ที่ประชุมมีความเห็นร่วมกันเรื่องการศึกษาเพื่อปวงชน รวมถึงความเสมอภาคทางการศึกษา ถือเป็นเรื่องที่ทุกภาคส่วนต้องมีส่วนร่วมในการพัฒนาคุณภาพการศึกษา รวมถึงการพัฒนาครู เราจะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ทั้งนี้นักวิชาการหลายท่านต่างเห็นตรงกันว่าไม่มีสูตรรวมในการแก้ปัญหาด้านการศึกษา สำหรับการแพร่ระบาดโรคโควิด-19 ไม่มีผลกระทบต่อการประกาศเจตนารมณ์ กลับเป็นตัวเร่งให้เห็นภาพการแก้ไขปัญหาความเสมอภาคทางการศึกษาให้ตรงจุดมากขึ้น โดยเฉพาะเรื่องเทคโนโลยีที่บีบให้ทุกคนต้องปรับตัว ในอนาคตไม่ว่าจะมีผลกระทบจากโควิด-19 รอบสองหรือไม่ ศธ.เตรียมรับมือไว้แล้ว พร้อมมอบหมายให้ทุกโรงเรียนปฏิบัติตามมาตรการต่างๆ อย่างเคร่งครัด “การได้แบ่งปันข้อมูลด้านต่างๆร่วมกัน ก่อให้เกิดพันธมิตรใหม่ สามารถร่วมมือกันแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาในระยะยาวได้ ส่วนผลสรุปจากการประชุมวิชาการจะเป็นกลไกสำคัญที่จะนำไปเสนอในที่ประชุมการศึกษาโลก (Asia and Pacific Regional Bureau for Education) ที่จะเกิดขึ้นในปี 2564 ซึ่งไทยเป็นเจ้าภาพในการจัดประชุม” รองปลัดศธ. กล่าว นายโทมัส ดาวิน ผู้แทนองค์การยูนิเซฟ ประจำประเทศไทย กล่าวว่า หากจะแก้ไขปัญหาทั้งหมดนี้ได้ เราต้องปรับเปลี่ยนรูปแบบการให้บริการทางการศึกษา เพราะรูปแบบในปัจจุบันนี้ไม่สามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงในเวลาอันรวดเร็วตามที่เราต้องการเพื่อให้ถึงเป้าหมายของ SDG4ได้ ขอย้ำว่าจะต้องเปลี่ยนแปลงอย่างเร่งด่วนทั้งระบบการศึกษาที่มีอยู่ในปัจจุบันรวมถึงในตัวของพวกเราเองด้วย ต้องยอมรับว่าเราไม่สามารถให้คำตอบได้กับทุกปัญหาต้องทำงานร่วมกันเป็นเครือข่ายเพื่อช่วยหาคำตอบไปพร้อมๆกัน เพราะบางคำตอบอาจจะมีใครทำไว้อยู่แล้วก็ได้ และไม่เพียงแค่การจับมือกับเครือข่ายเดิมๆ แต่เราต้องไปจับมือกับเครือข่ายใหม่ๆที่เราไม่คุ้นเคย การเปลี่ยนแปลงต้องอยู่ในหัวใจของทุกๆอย่างที่เราทำจากนี้เป็นต้นไป “สถานการณ์โควิด19 จะมีผลกระทบกับเศรษฐกิจ และกระทบต่อการหางานของคนรุ่นใหม่ ยูนิเซฟตระหนักว่าการลงทุนในการพัฒนาทรัพยากรบุคคลหรือทรัพยากรมนุษย์เป็นสิ่งที่มีความจำเป็นมากกว่าสิ่งอื่นใด ไม่มีห้วงเวลาไหนสำคัญไปกว่าตอนนี้แล้วที่เราจะต้องทำงานร่วมกันเพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงในระบบการศึกษา”นายชิเงรุ อาโอยากิ ผู้อำนวยการยูเนสโก ประจำประเทศไทย กล่าวว่า ความหวังของเราคืออยากเห็นเด็กทุกคนได้รับโอกาสทางการศึกษา สามารถเป็นผู้นำทางสังคมหรือผู้นำของประเทศ จากสถิติ เด็กเข้าถึงโอกาสการศึกษาน้อยลง ยิ่งสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ยิ่งทำให้เด็กเหล่านี้หลุดออกนอกระบบการศึกษามากยิ่งขึ้นจากปัญหาทั้งหมด ขอเสนอแนวทางแก้ปัญหา จาก4ปัจจัยหลัก ดังนี้
1.มีกฎหมายหรือข้อบังคับเพื่อให้เด็กทุกคนได้เข้าถึงการศึกษาอย่างเสมอภาค 2.มีทุนการศึกษาเพื่อแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำโดยเฉพาะ 3.มีสื่อการสอนที่มีประสิทธิภาพ และ 4.มีฐานข้อมูลที่ถูกต้อง มีคุณภาพและแม่นยำ เพื่อนำเงินทุนที่มีไปใช้ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด โดยขณะนี้มีภาคีเครือข่ายร่วมทำงานกับยูเนสโกจำนวน 9 ประเทศ ได้แก่ ฟินแลนด์ เกาหลีใต้ อเมริกา นิวซีแลนด์ ญี่ปุ่น ไทย อังกฤษ แคนาดา มาเลเซีย และยังมีองค์กรระดับนานาชาติที่ร่วมทำงานเพื่อแก้ปัญหาการศึกษาที่ไม่เท่าเทียม “ในทางปฏิบัติเพื่อแก้ปัญหานี้อย่างเป็นรูปธรรม 1.ควรมีข้อมูลที่มีคุณภาพและนำไปสู่การแลกเปลี่ยนข้อมูล 2.การนำแนวคิดไปปรับใช้เป็นนโยบายและสื่อสารกับประชาชน 3.สร้างเครือข่าย และ4.สนับสนุนเครื่องมือทางการศึกษาอย่างเท่าเทียม” นายชิเงรุ กล่าวนายสุภกร บัวสาย ผู้จัดการ กสศ. กล่าวว่า การประชุมนี้ถือเป็นจุดเริ่มสำคัญที่เครือข่ายและบุคลากรทางการศึกษาจะนำข้อมูลไปใช้พัฒนาการศึกษาของประเทศตน หากย้อนไป10 ปีที่แล้ว ไทยมีปัญหาเรื่องการศึกษาที่ไม่เท่าเทียม เราจึงพยายามใช้ข้อมูลและนวัตกรรมในการแก้ปัญหามาโดยตลอด โดยมุ่งช่วยเหลือกลุ่มเป้าหมายที่เข้าไม่ถึงการศึกษาเป็นกลุ่มแรก จนสามารถช่วยเหลือเด็กๆให้เข้าถึงการศึกษาได้จำนวนมาก อย่างไรก็ตามความสำเร็จที่เกิดขึ้น ใช้เวลาถึง8 ปีที่รัฐบาลจะจัดตั้งเป็นกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษาในปัจจุบัน “วันนี้หลายประเทศเริ่มแก้ปัญหาความเสมอภาคทางการศึกษาได้ดีขึ้น แต่ผมมองว่า หากในอนาคต ทุกคนต่างมุ่งหวังที่ให้ความเสมอภาคทางการศึกษาเกิดทั่วทั้งโลก จึงควรนำฐานข้อมูลที่แต่ละประเทศมีอยู่แล้วมาพัฒนา แลกเปลี่ยนประสบการณ์ซึ่งกันและกัน สร้างเครือข่ายในระดับนานาชาติ ซึ่งกสศ.เองได้ร่วมกับกลุ่มประเทศอาเซียน จัดตั้งเป็นกองทุนกลางเพื่อทำงานร่วมกันและเชื่อมโยงเครือข่ายในประเทศอื่นๆได้ในอนาคต” นายสุภกร กล่าว
หยาม'ยุทธ' แรมโบ้ลุยเหนือ เกลือจิ้มเกลือ
12 กรกฎาคม 2563 - 11:05 น.
แรมโบ้อีสาน เหยียบถิ่น "ยงยุทธ ติยะไพรัช" เจอรับน้องพอหอมปากหอมคอ โทษฐาน "หยามกันเกินไป" ..ท่องยุทธภพ โดยขุนน้ำหมึก
ปฏิบัติการเปลี่ยนป้ายหมู่บ้าน จาก “บ้านแดง” เป็น “บ้านน้ำเงิน” ของแรมโบ้อีสาน-สุภรณ์ อัตถาวงศ์ อดีตประธานกลุ่มอาสาสมัครพิทักษ์ประชาธิปไตยแห่งชาติ (อพปช.) กำลังดำเนินไปอย่างคึกคัก
เมื่อวันที่ 11 ก.ค.2563 สุภรณ์ อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีเปิดงาน "คืนป้ายหมู่บ้านเสื้อแดง สู่หมู่บ้านวิสาหกิจชุมชนท้องถิ่นไทย เรารักประเทศไทย ภาคเหนือ 17 จังหวัด" ซึ่งอานนท์ แสนน่าน อดีตผู้ก่อตั้งหมู่บ้านเสื้อแดง จัดขึ้นที่อาคารศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติกลุ่มอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง หรือจีเอ็มเอส ต.ริมกก อ.เมืองเชียงราย
หลังจบงาน มีกลุ่มแดงเชียงราย-พะเยา ไปดักรอ “แรมโบ้อีสาน ” เพื่ออธิบายว่า "คืนป้าย ถอดเสื้อแดงได้ แต่อุดมการณ์อยู่ในใจ" พร้อมะบุว่า การนำป้ายมาคืนแบบนี้ในภาคเหนือ ถือเป็นการหยามใจกัน
แถมมีการร้องเพลง”กตัญญูทักษิณ” ที่เป็นเพลงประจำตัวแรมโบ้อีสาน ในอดีต
คำว่า “หยามใจกัน” ที่หลุดออกจากปากคนเสื้อแดงเชียงราย อนุมานได้ว่า ปฏิบัติการคืนป้ายหมู่บ้านแดง ยังแทงใจ “ยุทธ แม่จัน ” ผู้มากบารมีแห่งเชียงรายด้วย
ครอบครัว “ติยะไพรัช” ถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองไปแล้ว 3 คน คือ “ยุทธ แม่จัน ” หรือ “ยงยุทธ ติยะไพรัช ” กรณียุบพรรคพลังประชาชน, “อู๋ฮั่น ” มิตติ ติยะไพรัช กรณียุบพรรคไทยรักษาชาติ และ “สลักจฤฎดิ์ ติยะไพรัช ” กรณีเลือกตั้งนายก อบจ.เชียงราย
แต่พวกเขา ก็สามารถเป็น “กองเชียร์” ได้ ด้วยเหตุนี้ “ยุทธ แม่จัน ” ก็ช่วยลูกสาว “แม่เลี้ยงโฮม” ปิยะรัฐชย์ ติยะไพรัช ได้เป็น ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อชาติ และหนุนน้องสาว “ละออง ติยะไพรัช” ส.ส.เชียงราย พรรคเพื่อไทย
เห็นมั้ยว่า บารมี “ยุทธ แม่จัน ” ยังเบ่งบานแค่ไหน ในเชียงราย
ภารกิจต่อไปของตระกูล “ติยะไพรัช” คือ สนับสนุน “ยิ้ม” วิสาระดี เตชะธีราวัฒน์ อดีต ส.ส.เชียงราย เป็นนายก อบจ.เชียงราย ให้ได้
“วิสาระดี” เป็นลูกสาว วิสาร เตชะธีราวัฒน์ ส.ส.เชียงราย ซึ่งแต่งงานกับ “จุลพันธ์ อมรวิวัฒน์” ส.ส.เชียงใหม่ ลูกชายคนเล็กของสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย
ยงยุทธเดินเต็มตัว ชิงฐาน อบจ. ไว้ในกำมืออีกสมัย
ผมร่วงแทบหัวล้าน! "ยุ้ย" ทำยังไงถึงกลับเข้าวงการได้อีกครั้ง?
Zane Hair Tonic
ปฏิบัติการของแรมโบ้อีสาน มิเพียงทำให้ “ขาใหญ่ ” ในภาคเหนือ ไม่พอใจ แม้แต่ “ธิดา ถาวรเศรษฐ ” อดีตประธาน นปช.ก็นิ่งเฉยไม่ได้ จึงมอบให้ พิพัฒน์ชัย ไพบูลย์ แกนนำ นปช.สาย “ป้าธิดา ” ออกโรงมาเบรกแรมโบ้
ล่าสุด “พิพัฒนชัย ” ในฐานะผู้ประสานงาน นปช. 19 จังหวัดภาคเหนือ บอกว่า การกระทำของสุภรณ์ เป็นการจัดอีเวนต์มากกว่า คนที่มาก็ไม่กี่คน และก็ไม่รู้ว่าเป็นใคร แค่ทำป้ายชื่อจังหวัดแต่ละจังหวัดมา แล้วจัดคนมาถือป้ายเท่านั้น ไม่ได้มีน้ำหนักอะไร
พิพัฒน์ชัย ไพบูลย์ เป็นคนใต้ แต่มาสร้างฐานที่มั่นการเมืองที่เขตบางขุนเทียน เคยงสมัคร ส.ส.ในสีเสื้อเพื่อไทย แต่สอบตก
ปี 2562 นปช.แยกเป็น 2 สาย พิพัฒน์ชัยเลือกไปอยู่กับ นปช.สายป้าธิดา และเสี่ยเต้น
ว่ากันตามจริง สมัยแดงทั้งแผ่นดิน พิพัฒน์ชัยก็อยู่กันคนละสายกับแรมโบ้อีสาน
แรมโบ้อีสาน -สุภรณ์ จะอยู่ในกลุ่มสายฮาร์ดคอร์ ที่มี อริสมันต์ พงษ์เรืองรอง เป็นหัวหน้ามุ้ง โดยแกนนำแดงปีกนี้ ไม่ค่อยพอใจที่องค์กร นปช. ผูกขาดการนำโดยคนปักษ์ใต้ ไม่ว่าจะเป็นวีระกานต์, ธิดา, จตุพร และณัฐวุฒิ
วันนี้ แรมโบ้อีสาน รู้ดีว่า นปช.สายจตุพร ยังแอบให้กำลังใจ จึงเดินเกมรุกเต็มสูบ จนสายป้าธิดา ไม่พอใจ
ข่าวที่คุณอาจสนใจ
................................................................
12 กรกฎาคม 2563