ไม่ว่า พระราหูจากตำนานเล่มใดจะกล่าวถึงกำเนิดของพระราหูไว้หลากหลายอย่างไร เช่นว่า พระราหูมีหางเป็นนาค หรือ ถูกสร้างจากผีโขมด ๑๒ ตนปั่นจนละเอียด เอาผ้าสีดำมาห่อ พรมด้วยน้ำอมฤต กลายเป็น อสูรเทพ คือเป็นเทพที่มีรูปกายเป็นยักษ์ กายสีดำสนิท ชวนให้สยอง และยังมีนิสัยชอบแกล้ง ไล่อมดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ไม่เลิกรา ที่ทำได้แค่อม ไม่กลืนสักที เป็นเพราะมีเพียงครึ่งร่าง ส่วนเหตุที่พระราหูร่างขาด สามารถหาอ่านได้ทั่วไป จะไม่ขอกล่าวถึง ในที่นี้ ผู้เขียนจะขอกล่าวถึงในแง่มุมของวิชาโหราศาสตร์ไทยในยุคที่คนมีความรู้ในทางดาราศาสตร์กว้างขวางขึ้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นต้นมา

รูปพระราหูในร่างเต็มตามจินตนาการ

รูปวาดพระราหู อม ดวงอาทิตย์และดวงจันทร์

หลักการทางโหราศาสตร์สมัยนั้นมีความเข้าใจในทางธรรมชาติวิทยา อันเกิดจากการโคจรหมุนเวียนของดวงดาวในจักรวาล ซึ่งมีความสัมพันธ์ต่อกันในทางแสง และแรงดึงดูด เมื่อนักดาราศาสตร์ได้พิสูจน์ให้เห็นว่า จันทรคราส สุริยคราส เป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติอันเกิดจาก ดวงจันทร์โคจรรอบโลก และโลกโคจรไปรอบดวงอาทิตย์ คราใดที่ดวงอาทิตย์ โลก และ ดวงจันทร์ โคจรมาอยู่ในแนวเดียวกัน กล่าวคือ ดวงจันทร์อยู่ตรงกลางระหว่างโลก กับดวงอาทิตย์ เงามืดของดวงจันทร์จะทอดยาวมาบังบางส่วนของโลก ก็จะเกิดสุริยุปราคาขึ้นในตอนกลางวัน ที่คนสมัยโบราณเข้าใจว่า พระราหูอมพระอาทิตย์ แต่ถ้าโลกอยู่ตรงกลาง แสงอาทิตย์ที่ส่องมายังโลกทำให้เกิดเงามืด ทอดยาวไปยังดวงจันทร์ทำให้เกิดเงามืดขึ้นบังแสงจันทร์ในเวลากลางคืน เรียกว่า จันทรุปราคา หรือ พระราหูอมจันทร์

ภาพต่อเนื่องแสดงดวงจันทร์ในคืนเพ็ญที่ค่อย ๆ ถูกเงาโลกกลืนระหว่างการเกิดจันทรุปราคา

นักดาราศาสตร์ สามารถคำนวณการเกิด สุริยุปราคา และจันทรุปราคา ได้อย่างถูกต้องแม่นยำ และนักโหราศาสตร์ที่เข้าใจในปรากฎการณ์นี้ จึงได้มีการบันทึกไว้ว่าจะเกิดเงามืด หรือ พระราหูผ่านราศีใด เมื่อไร ขณะที่ผ่านในราศีนั้นเกิดอะไรขึ้นบ้าง โดยจดเป็นสถิติไว้ ทั้งยังตีความอย่างแยบยลว่า มีเงามืด เงาดำ ณ ที่ใด หมายถึงความคลุมเครือไม่ชัดเจน สับสน เกิดการหลงผิด ไม่รู้จริง ลักษณะอาการต่าง ๆ เหล่านี้ ยังเกิดจากการเสพของมึนเมาด้วย อีกทั้งยังหมายถึงการเปลี่ยนแปลง จากสว่างเป็นมืด จากมืดก็สว่างขึ้น นอกจากนั้นยังหมายถึงการเสี่ยงโชค การพนันทุกชนิด เพราะไม่รู้ว่าสิ่งที่เราคาดหวังนั้นจะเป็นจริงหรือไม่

ดังนั้น เมื่อพระราหู หรือเงาดำ พาดผ่านราศีธนู ตั้งแต่วันที่ ๑๗ พฤศจิกายน ๒๕๕๒ เวลา ๑๓.๐๐ น. และจะอยู่ในราศีนี้เป็นเวลาปีครึ่ง หรือ ๑๘ เดือนโดยประมาณ พอสรุปได้ว่า จะมีการเปลี่ยนแปลงทางสรีระของชาวราศีธนู จากอ้วนจะผอมลง แต่ถ้าผอมอยู่แล้วก็จะอ้วนขึ้น สายตาจะเปลี่ยน มองอะไรไม่ชัด รวมไปถึงคนสายตาดี ก็มองอะไรไม่ชัด เห็นผิดเป็นชอบ เห็นชอบเป็นผิด ลุ่มหลงง่ายขึ้น ทำตัวลึกลับ แต่กลับเป็นเสน่ห์แก่ผู้รู้จักพบเห็นเพราะมีมุมมองที่ชวนค้นหา จะมีโชคจากการเสี่ยง มากบ้างน้อยมากอยู่ที่กรรมดีที่สร้างมา

ในความหมายของราศีธนู หมายถึง ศาสนา สวัสดิมงคล ชื่อเสียง เกียรติยศ ของบ้านเมืองของเรา เมื่อมีเงาดำ ทำให้เกิดความเสื่อม อัปมงคล อัปยศ ให้นานาประเทศสะใจ สมเพช เพราะไม่ต้องมีใครต้องออกแรงมาทำลาย เราทำของเราเอง ขอเพียงรามือ หยุดยั้ง หยุดคิดอย่างมีสติ ความเสียหายที่เกิดยังมีโอกาสซ่อมแซมได้ ไม่สายจนเกินไป.