บทที่ 1
ชายหนุ่มวัยไล่เลี่ยกันสามคนที่นั่งล้อมวงเล่นไพ่รัมมี่กันอยู่ ตรงโต๊ะอาหารเล็กๆในบ้านพักเก่าๆทึมๆ ในเขตกองกำกับการตำรวจตระเวนชายแดน ซึ่งเป็นบ้านพักประจำตำแหน่งฝอ.4 ของนายตำรวจรุ่นพี่ หรือที่เรียกเต็มว่าฝ่ายอำนวยการที่สี่ ซึ่งมีหน้าที่ในการจัดหาจัดส่งกำลังบำรุง เสบียงและอุปกรณ์ต่างๆประจำกองกำกับฯ เงยหน้าขึ้นทักทายเพื่อนที่เดินผ่านประตูที่เปิดกว้างเข้ามาสมทบ “อ้าว ไอ้คมน์ ทำไมเพิ่งมาวะ พวกกูมาถึงกันตั้งแต่ก่อนเที่ยงแล้ว” คนทักเป็นหนุ่มหน้าตาดี ผิวคล้ำ ร่างสันทัดแต่ต็มไปด้วยมัดกล้ามเหมือนนักเพาะกาย ฝ่ายที่ถูกทักยิ้มเผล่ เขาเป็นผู้ชายร่างสูง สูงกว่าเพื่อนทุกคนในที่นั้น หน้าตาของเขาดูเข้มด้วยหนวดเครา ตาแวววับมีประกายรื่นรมย์กับชีวิต โยนเป้ที่สพายอยู่บนบ่าลงไปตรงมุมห้องที่ปูด้วยเสื่อน้ำมันสีเขียวสดบนพื้นซีเมนต์หยาบๆ ก่อนจะเข้ามายืนท้าวสะเอวมองดูไพ่ในมือของเพื่อนแต่ละคน “กูเพิ่งลงรถไฟเมื่อกี้นี้เอง ตอนแรกว่าจะมารถเที่ยวเช้า แต่บังเอิญมีธุระนิดหน่อย”
“ธุระอะไรของมึงวะ” คนที่ชื่ออัสดาซึ่งมีรูปร่างค่อนข้างท้วม ผิวขาว ร้องถามหลังจากหงายไพ่ในมือลงบนโต๊ะพร้อมด้วยคำว่า ‘น็อคแล้วโว๊ย’
อีกฝ่ายยิ้มกริ่ม คว้าแก้วเหล้าของเพื่อนคนหนึ่งที่วางดายอยู่ข้างตัวขึ้นมาดื่ม “กูกำลังจะขึ้นรถไฟอยู่แล้ว พอดีเจอนายอำเภอ แกชวนกินเหล้า กูก็เลยติดแหงกอยู่ตรงร้านเหล้าแถวสถานีรถไฟนั่นแหละ นานๆเจอกันทีปลีกตัวลำบาก”
“นายอำเภอคนที่มึงบอกว่าลูกสาวสวยใช่ไหมวะ?” ปรีชา นายตำรวจหนุ่มร่างสูงใหญ่ดำมืดเหมือนนักรบโบราณถามบ้าง “เออ” “สงสัยมึงคิดจะจีบลูกสาวเขาล่ะสิ ไอ้เวร อย่าลืมนะเว้ยว่าคุณน้อยเขาขอให้กูคุมประพฤติมึงอยู่ ขืนทำทะเร่อทะร่าไปจีบใครก็อย่าหาว่ากูปากสว่างล่ะ” อัสดาเสริมขึ้นมาบ้าง สรคมน์หรือ “ไอ้คมน์” ของเพื่อนๆทำหน้ายิ้มกริ่ม “กูไม่เคยจีบใครโว๊ย แค่เหล่ๆตามประสาหนุ่มโสดหัวใจยังว่าง มึงก็รู้นี่หว่าว่ากูมันประเภทท่าดีทีเหลว เห็นผู้หญิงสวยๆก็ชอบมอง หรืออาจจะเย้าเล่นสองสามคำพอหอมปากหอมคอ ไม่ตามจีบให้เสียเวลาแดกเหล้าหรอกวะ” “หนอย หัวใจยังว่าง อย่ามาคุย มึงเอาคุณน้อยไปไว้ตรงไหนวะ เฮ้ย ไอ้คมน์ ไหนๆมึงก็ไม่คิดจะจีบใครใหม่อีกแล้ว ทำไมไม่แต่งงานเสียทีล่ะ คุณน้อยเขาก็คอยมึงมาหลายปีแล้วนี่หว่า” เพื่อนสนิทที่ชื่ออัสดายังมีข้อกังขาไม่เลิก อีกฝ่ายตอบแต่เพียงว่า “เรื่องของกู ไม่ต้องเสือกมาถาม” ไม่ใช่วิสัยของคนอย่างเขาที่จะเปิดเผยความในใจบางอย่างให้ใครฟัง แล้วเขาก็เปลี่ยนเรื่อง “เฮียชาติไปไหนล่ะ? ป่านนี้แล้วยังไม่เลิกงานอีกหรือวะ” เขาหมายถึงร้อยตำรวจเอกอภิชาติ ขาวขำ ตำแหน่งฝอ.4 หรือฝ่ายอำนวยการที่สี่ ซึ่งเป็นเจ้าของบ้านหลังน้อยที่พวกเขามาอาศัยเป็นที่ซุกหัวนอน ทุกครั้งที่ออกจากที่ตั้งหมวดตำรวจตระเวนชายแดน ซึ่งส่วนใหญ่จะตั้งอยู่ในพื้นที่กันดารตามแนวเขตใกล้กับประเทศเพื่อนบ้านหรือเส้นกั้นพรมแดน เพื่อเข้ามาร่วมประชุมประจำเดือน สรุปสถานการณ์ในพื้นที่ความรับผิดชอบให้หน่วยเหนือรับทราบ รวมทั้งรับนโยบายไปปฏิบัติ และทุกครั้งเมื่อเข้ามาในเมืองหนุ่มๆพวกนี้ก็จะถือโอกาสใช้ชีวิตหนุ่มให้เต็มที่ ด้วยการดื่มเหล้าเคล้านารีกันเป็นที่สำราญให้คุ้มกับการที่ต้องใช้ชีวิตอยู่ในที่ตั้งซึ่งส่วนใหญ่แห้งแล้งกันดาร ห่างไกลแสงสี งานของพวกเขาเป็นงานที่เสี่ยงอันตราย ต้องเตรียมพร้อมรับสถานการณ์ทุกรูปแบบ เพื่อปกป้องรักษาเขตแดนของประเทศชาติให้พ้นจากการรุกรานของอริราชศัตรู ทั้งจากการรุกล้ำเขตแดน ปัญหาในพื้นที่ทับซ้อน ปัญหาชนกลุ่มน้อยที่สู้รบอยู่ตามแนวพรมแดน รวมทั้งการลักลอบขนยาเสพติด การค้าอาวุธสงคราม และปัญหาอื่นๆอีกมากมาย ทั้งจากนอกประเทศและในประเทศ งานดังกล่าวนี้นำความเครียดมาให้อยู่ตลอดเวลา จนต้องมาระบายความเครียดทุกครั้งที่ได้เข้าเมือง เงินเดือนส่วนใหญ่และเบี้ยเลี้ยงที่หนุ่มโสดพวกนี้ได้รับ จึงมักจะหมดไปกับการหาความสำราญทั้งจากสุรา นารี พาชีและกีฬาบัตรครบเครื่อง หลังจากเงินหมดแล้วก็กลับเข้าไปกบดานอยู่ในที่ตั้งจนกว่าจะถึงเวลาเข้ามาประชุมหรือรับการฝึกที่กองกำกับฯ “พาสาวไปกินข้าวละมัง” อัสดาเป็นคนตอบหลังจากทิ้งไพ่ในมือลงบนโต๊ะ “สาวที่ไหนวะ หรือยายณี?” สรคมน์หมายถึงสิณี นักร้องสาวสวยประเภทใช้หน้าอกร้องเพลง คู่ขาของผู้กองอภิชาติที่มักจะมานอนค้างที่บ้านหลังนี้เป็นประจำ และทำท่าเป็น ‘คุณนาย’ เต็มที่ “ไม่ใฃ่ยายณีหรอก เพื่อนพี่เป๋วน่ะ มาจากกรุงเทพฯ เห็นว่าจะมาเป็นเพื่อนเจ้าสาว มาหลายวันแล้วละ”
ดำรงค์ศักดิ์หมายถึงแสงดาว เลขาฯส่วนตัวของผู้กำกับฯ ซึ่งกำลังจะแต่งงานกับนายตำรวจตระเวนชายแดนคนหนึ่งซึ่งเป็นรุ่นพี่ของพวกเขา ทำให้พวกนายตำรวจรุ่นน้องรียกเธอว่า ‘พี่’ ทั้งๆที่เธออายุน้อยกว่าพวกเขาสองสามปี “พวกตำรวจมันลือกันว่าสวยฉิบหายเลยว่ะ นัยว่าพี่แป๋วอยากจะแนะนำให้พี่ชาติ พี่ชาติก็คงจะสนใจ ได้ข่าวว่าเทคแคร์น่าดู” อัสดาเสริมให้เพื่อนตื่นเต้น
สรคมน์ยกแก้วเหล้าในมือขึ้นดื่ม ก่อนจะพูดด้วยเสียงกลั้วหัวเราะว่า “สงสัยพี่ชาติจะได้แต่งงานก็คราวนี้ละ”
“ยายณีได้อาละวาดตายสิวะ” ชายหนุ่มที่ชื่อปรีชาทำท่าสยอง
“ไม่ได้มีสิทธิอะไรนี่หว่า ก็แค่คู่นอนชั่วคราวเท่านั้น จะมาทำเป็นเจ้าเข้าเจ้าของได้ยังไง” เป็นเสียงของอัสดา ชายหนุ่มวัยระหว่าง 25-27 ปีทั้งสี่คนนี้เป็นนายตำรวจรุ่นเดียวกัน ที่จบจากโรงเรียนนายร้อยตำรวจสามพรานมาพร้อมๆกัน หลังจากเรียนจบต่างก็ถูกส่งแยกย้ายไปทำงานในสถานีตำรวจนครบาลในกรุงเทพฯคนละปีสองปี หลังจากนั้นก็ถูกย้ายมาทำงานในสังกัดกองกำกับการตำรวจตระเวนชายแดน ซึ่งตั้งอยู่ในเขตอำเภอเมืองตั้งแต่สามปีที่แล้ว แต่ละคนถูกส่งเข้าไปเป็นผู้บังคับหมวดตำรวจตระเวนชายแดนในอำเภอต่างๆตามแนวชายแดน ตอนนี้ทุกคนติดยศร้อยตำรวจโทกันโดยถ้วนหน้า “พี่ชาติติดภารกิจหัวใจไปแล้ว คืนนี้พวกเราจะไปแดกเหล้ากันที่ไหนดี” สรคมน์ถามเพื่อนๆ
“ที่ไหนก็ได้ว่ะ ขอให้มีเหล้ามีผู้หญิงสวยๆก็พอแล้ว” ดำรงค์ศักดิ์ซึ่งจัดว่าเป็นคนหน้าตาดีที่สุดในกลุ่มเป็นคนตอบ
“เฮ้ย ตามไปหาพี่ชาติไม่ดีกว่าหรือวะ กินเหล้าที่นี่แล้วไม่มีพี่ชาติเหมือนขาดอะไรไปอย่างนึง” ปรีชาเสนอ
“ไอ้บ้า” สรคมณ์ท้วง “จะไปเป็นกอขอคอทำไมวะ นานๆพี่ชาติจะหนียายณีได้เสียที ปล่อยแกไปเถอะ ไปกันแค่พวกเราสี่คนก็โอเคนี่หว่า”
“งั้นก็เลิกเล่นไพ่ได้แล้ว จบเกมพอดี ไปอาบน้ำอาบท่าเตรียมตัวไปท่องราตรีกันดีกว่า ใครได้ใครเสียเดี๋ยวกลับมาค่อยคิดเงิน” พูดจบปรีชาก็ลุกขึ้นยืน เตรียมตัวไปอาบน้ำ
หลังจากกร่ำเหล้ากันได้ที่ในร้านอาหารแห่งหนึ่ง คณะพรรคสี่สหายก็เคลื่อนขบวนเข้าไปที่บาร์ใหญ่ในตัวเมือง นั่งลงได้ก็สั่งเหล้าสั่งเบียร์มาดื่มกันต่อ โดยมีสาวสวยที่เป็นคู่ขาประจำทุกครั้งที่เข้าเมือง นั่งสะอิ้งอยู่เคียงข้าง คู่ใครคู่มัน เมื่อดื่มสุราเคล้านารีกันไปเรื่อยๆจนใกล้เวลาบาร์ปิด ชายหนุ่มทั้งสี่พร้อมคู่ขาที่จะหิ้วออกไปด้วยก็พากันเดินออกจากบาร์ อัสดา ดำรงคักดิ์ ปรีชาและหญิงสาวสามคนเดินผ่านประตุออกไปก่อน ส่วนสรคมน์หยุดคอยคู่ควงของเขาตรงใกล้ประตูด้านใน เพราะเจ้าหล่อนขอตัวไปเข้าห้องน้ำ ส่วนคนอื่นๆจะไปรอข้างนอกตรงลานจอดรถเพื่อจะไปกินข้าวต้มรอบดึก ก่อนที่จะแยกย้ายกันไปหาความสุขในโรงแรมแห่งหนึ่ง ระหว่างยืนรอสาวคู่ควงอยู่ใกล้ประตูทางออก ก็มีชายฉกรรจ์กลุ่มหนึ่งเดินผ่านมาเพื่อจะออกจากบาร์ แต่แล้วแทนที่จะเดินผ่านไปตามปกติ คนนำหน้าท่าทางนักเลงหยุดเดิน หันมาจ้องหน้าสรคมน์เขม็ง
“เกลียดฉิบหายเลยว่ะไอ้คนไว้หนวดเนี่ย กวนตีนน่าเตะชะมัด” เขาพูดลอยๆ
สรคมน์ซึ่งดื่มเหล้าเข้าไปไม่น้อยเงยหน้าขึ้นมองผู้ชายท่าทางเมาคนนั้น “เอาสิวะ กูก็มีตีนเหมือนกันนี่หว่า” “มึงท้ากูหรือวะ?” อีกฝ่ายส่งเสียงคำรามออกมา “ไม่ได้ท้า แต่กูก็พร้อมที่จะเตะมึงเหมือนกัน เพราะมึงกวนกูก่อน” สรคมณ์ตอบโต้ “มึงแน่จริงก็ได้เลย” ฝ่ายนั้นย่างสามขุมเข้ามาใกล้ แต่สรคมณ์ยกมือขึ้นห้าม “ออกไปข้างนอกดีกว่า ขืนชกกันในนี้เข้าของเขาจะบรรลัยหมด” “ได้”
พูดขาดคำชายร่างใหญ่ท่าทางนักเลงผู้นั้นก้ควักปืนพกออกมาจากเอว พอเห็นเช่นนั้น สรคมน์ก็สะอึกเข้าใส่เพื่อแย่งอาวุธร้ายในมือของอีกฝ่าย แต่ก่อนที่จะถึงตัว ผู้ชายคนนั้นก็ยกมือขึ้นเป็นเชิงให้หยุด “ไม่ต้องห่วง กูไม่ใช้อาวุธหรอกวะ”
เขาส่งปืนพกกระบอกนั้นให้ชายฉกรรจ์อีกคนหนึ่งซึ่งคงเป็นพวกเดียวกัน แล้วทั้งหมดก็เดินออกจากบาร์ไปตรงลานจอดรถซึ่งค่อนข้างมืด
“พวกมึงไม่ต้องช่วย กูจะชกกับมันตัวต่อตัว”
ชายผู้นั้นร้องสั่งลูกน้องสี่ห้าคนที่กระจายตัวออกล้อมรอบเขา ทำให้ชายฉกรรจ์เหล่านั้นเดินออกไปตีวงอยู่ใกล้ๆ เมื่อเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น อัสดา ปรีชาและดำรงค์ศักดิ์ที่ยืนคอยสรคมณ์อยู่แถวนั้นก็เดินเข้ามาสมทบ ตั้งวงเตรียมพร้อมในกรณีที่อีกฝ่ายจะเข้ารุม โดยมีคู่กรณีทั้งสองยืนประจัญหน้ากันอยู่กลางวงล้อม
ทันทีที่โอกาสเปิดและโดยไม่พูดพล่ามทำเพลง ชายร่างใหญ่ก็กระโดดเข้าชกสรคมน์เต็มแรงจนเขาเซถลาไป พอตั้งตัวได้ชายหนุ่มก็ปราดเข้าหาอีกฝ่าย จ้วงหมัดเข้าไปที่บริเวณหน้าของฝ่ายนั้นหลายหมัดติดๆกัน โดยที่ชายผู้นั้นก็รัวหมัดเข้าใส่เขาเหมือนกัน ผลัดกันรุกผลัดกันรับอยู่ครู่ใหญ่ จนในสุดสรคมณ์ที่คงจะเมาน้อยกว่าเห็นท่าที่เซซวนไปมาของคู่กรณี ก็เผด็จศึกด้วยการใช้ขาที่ยาวกว่า ถีบเข้าไปเต็มแรงตรงหน้าท้องของอีกฝ่าย แรงที่ส่งออกไปเต็มเหนี่ยวทำให้คู่กรณีกระเด็นตัวลอย ก่อนจะตกกระแทกลงกับพื้นคอนกรีตและนอนหมอบนิ่งอยู่อย่างนั้น
เมื่อเห็นลูกพี่ลงไปนอนหมอบอยู่บนพื้น ชายฉกรรจ์กลุ่มนั้นที่ยืนคุมเชิงอยู่ก็กระโดดเข้ารุมสรคมณ์ทันที เสียงผลัวะผละดังลั่นขึ้นมา โดยที่ชายหนุ่มก็ต่อสู้ป้องกันตัวอย่างสุดฤทธิ์ ดำรงศักดิ์ ปรีชาและอัสดาซึ่งยืนเตรียมพร้อมอยู่แล้วกระโดดเข้าไปร่วมวง ตะลุมบอนกันอย่างดุเดือดไม่รู้ว่าใครเป็นใครอยู่ครู่หนึ่ง จนกระทั่งผู้ชายที่หมอบอยู่พื้นยันตัวลุกขึ้นได้
“พอโว๊ย เลิกแล้วต่อกัน” เขาร้องสั่งลูกสมุน “กูบอกให้เลิกไง ไปโว๊ย กลับบ้าน”
ในที่สุดการต่อสู้ก็จบลง โดยหนุ่มใหญ่คนนั้นซึ่งสรคมณ์มารู้ภายหลังว่าเป็นนายทหารบกยศร้อยเอก ต้อนลูกน้องซึ่งคงเป็นทหารด้วยกัน ขึ้นรถจิ๊ปตรากงจักรขับหายไป “ไอ้บ้าพวกนี้เป็นยังไงวะ เที่ยวอย่างเดียวไม่มันพอหรือไง ต้องมีเรื่องทุกครั้งสิน่า”
สี่หนุ่มหันไปตามเสียงก็เห็นรุ่นพี่ที่ชื่ออภิชาติยืนจังก้าหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่ข้างหลัง “อ้าว พี่ชาติ มาตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ” สรคมณ์ทักเก้อๆ
“กูกำลังจะกลับ ขึ้นรถแล้วด้วย พอดีเห็นพวกมึงกำลังชกต่อยกับไอ้พวกนั้นอยู่เลยลงมาดู ใครก่อเรื่องวะ มึงใช่ไหมไอ้คมณ์ กูรู้ว่าต้องเป็นมึงแน่ ซ่าตลอดเลยนี่มึงน่ะ”
“โธ่ พี่ชาติ มันมาหาเรื่องผมก่อนนา มันบอกว่าอยากเตะผม แล้วพี่ชาติคิดว่าผมควรจะลงนอนยอมให้มันเตะดีดีหรือไง?” อีกฝ่ายอ้อมแอ้มแก้ตัว
“มึงก็อ้างยังงี้ทุกทีแหละว้า” อภิชาติทำเสียงเอือมระอาก่อนจะถามว่า “พวกมึงจะกลับเลยหรือเปล่า?” “ว่าจะแวะไปกินข้าวต้มที่ตลาดโต้รุ่งก่อนฮะ” อัสดาตอบแทนคนอื่นๆแล้วชวนว่า “พี่ชาติไปด้วยกันไหม?”
พอเห็นท่าทางอึกอักของรุ่นพี่ สรคมณ์ก็ถามว่า “หรือเฮียมากับใคร ถ้างั้นก็เชิญเฮียตามสบาย” “เฮ่ย ไม่เป้นไร ไปด้วยกันก้ได้ ตั้งใจว่าจะพาแป๋วกับเพื่อนเขาไปกินข้าวต้มอยู่แล้ว”
ชายหนุ่มทั้งสี่เหลียวมองไปรอบๆ เพื่อหาหญิงสาวสองคนที่อภิชาติพูดถึง แต่ก็ไม่เห็นใคร
“เขารอกันอยู่ในรถ พวกมึงขับรถตามไปแล้วกัน เจอกันที่ร้านข้าวต้มเจ้าเก่า” สรคมณ์ถามอ่อยๆว่า “จะดีหรือพี่ชาติ” “ไม่ดียังไงวะ?”
“อ้าว ก็พวกผมมีผู้หญิงไปด้วย พี่แป๋วกับเพื่อนเขาอาจจะไม่สะดวกใจก็ได้ไม่ใช่หรือ” ความหมายของเขาคือคิดว่าผู้หญิงสองคนที่มากับอภิชาติอาจจะนึกรังเกียจ เพราะคงดูออกว่าพวกเจ้าหล่อนเป้นผู้หญิงนั่งชั่วโมงที่ถูกหิ้วออกมาเพื่อกิจเฉพาะตัวบางอย่าง
นายร้อยตำรวจเอกหนุ่มหยุดคิดอยู่แว่บหนึ่งก่อนจะบอกด้วยเสียงเรียบๆตามปกติว่า “ไม่เห็นเป็นไรนี่หว่า กะอีแค่ไปกินข้าวด้วยกัน มึงอย่าเรื่องมากไปหน่อยเลยวะ ตามกูมาก็แล้วกัน”
.
|