.....ทุกคนค่ะ เป็นอย่างที่ผึ้งพูดไหม เคยคิดไหมว่า เราหลงลืมอะไรไปหรือเปล่า คิดสิค่ะ นึกให้ออก ว่าในแต่ละวัน
เวลาที่ผ่านไป เราปล่อยให้อะไรมากมาย ที่ผ่านเข้ามา มาทำร้ายสิ่งสำคัญ ทำให้สิ่งสำคัญสิ่งนั้น ของเราเหนื่อยล้า
เราเคยไหม ที่จะใส่ใจ สิ่งสำคัญสิ่งนั้น คิดออกหรือยังค่ะ ว่าเราลืมอะไรไป ค่ะ สิ่งสำคัญสิ่งนั้นก็คือ ตัวเราเอง.....
.....นานแค่ไหนแล้วค่ะ ที่เราต้องใช้ชีวิตไปตามกระแสสังคมที่ เร่งรีบแสนวุ่นวาย นานแค่ไหนแล้วค่ะ ที่เราไม่เคยได้
นั้งคนเดียวเงียบ ฟังเสียงหัวใจของเราเต้น นานแค่ไหนแล้วค่ะ ที่เราไม่เคยได้เดินเท้าเปล่าสัมผัสผืนหญ้า สัมผัสแผ่นดิน
อย่างสงบๆ ไม่ต้องคิดวุ่นวาย นานแค่ไหนแล้วค่ะ ที่เราไม่ได้สูดหายใจลึกๆ แล้วบอกกับตัวเองว่า สบายใจที่สุดเลย.....
.....ขอบคุณท่านอธิการบดี ขอบคุณพี่จุ๋ม ขอบคุณพี่อ้วน ขอบคุณอาจารย์แม่ ขอบคุณต๋อมและหนิง ที่ทำให้ผึ้งได้มี
โอกาส เข้าร่วมกิจกรรมนี้ กิจกรรม "การเรียนรู้ด้วยใจอย่างใคร่ครวญ".....

.....กิจกรรมการเรียนรู้ด้วยใจอย่างใคร่ครวญ นี้ จัดขึ้นที่สวนสายน้ำ ซึ่งเป็นสถานที่สำหรับปลีกวิเวก ในอำเภอหาดใหญ่
โดยมีวิทยากร 3 ท่าน คือ อาจารย์ฌานเดช พ่วงจีน หรือว่าอาจารย์ฌาน อาจารย์ณัฐพัส วังวิญญา หรือว่าอาจารย์ณัฐ
และอาจารย์วิจักษณ์ พาณิช หรือว่าพี่ตั้ม มีคนแอบแซวด้วยค่ะว่า ทั้ง 3 ท่าน อ่ะ เหมือน ฮก ลก ซิ่ว 5555+++
แล้วก็ยังมี พี่อีก 2 คน คือ พี่เจ กับพี่เพนกวิน น่ารักมากมาย.....
.....ขอพูดถึงสถานที่ก่อนน่ะค่ะ สวนสายน้ำ เป็นสถานที่ปลีกวิเวก อยู่ใน ต.ทุ่งลุง อ.หาดใหญ่ อิอิ ผึ้งเองเป็นคนหาดใหญ่
นะค่ะ แต่ไม่เคยได้ยินสถานที่นี้เลย แต่ที่นี่มีชาวต่างชาติ มาก็ค่อนข้างเยอะ สงบมากๆ เลยค่ะ ไว้จะค่อยๆเล่าให้ฟังเรื่อยๆน่ะค่ะ.
..



.....กิจกรรมการเรียนรู้อย่างใคร่ครวญ คืออะไรเหรอ ผึ้งเองก็สงสัยน่ะ ตั้งแต่ได้ยินชื่อกิจกรรมเลยแหละ พอกิจกรรมเสร็จสิ้นลง
ก็เข้าใจเลยว่า คืออะไร แต่กลั่นเป็นตัวอักษรไม่ถูกค่ะ ลองอ่านความหมาย ดูน่ะค่ะ "การเรียนรู้ด้วยใจอย่างใคร่ครวญ
มิใช่รูปแบบของการศึกษา หรือ ระบบการศึกษา แต่เน้นไปที่ กระบวนการ คำๆ นี้เหมือนเป็นการจุดประกายความหมายใหม่
ให้เราย้อนกลับไปหาราก คุณค่า และความหมายที่แท้จริงของการเรียนรู้ ที่มีผลระยะยาวต่อชีวิตของคนๆ หนึ่งทั้งชีวิต สะท้อนให้เห็น
กระบวนการ ความเป็นพลวัตไม่หยุดนิ่ง ความคิดสร้างสรรค์ จินตนาการ นำไปสู่การตั้งคำถามอย่างถึงราก ต่อการศึกษาในระบบ
ที่ได้จำกัดการเรียนรู้ให้แน่นิ่ง อยู่ในกรอบในขั้นตอน ที่ถูกจัดวางไว้แล้วอย่างตายตัว" ค้นหาใน google เอาค่ะ อิอิ ที่แสนจะ
ตกใจ คือ เมื่อหันไปดูว่า เป็นคำนิยามของท่านใด ตลกค่ะ เป็นคำอธิบายของ ท่าน วิจักขณ์ พานิช หมอเยียวยาสังคม
หรือว่าอาจารย์ พี่ตั้ม วิทยากรในครั้งนี้นั้นเองค่ะ http://www.openbase.in.th/node/4698 ตามลิงค์นี้เลยค่ะ.....
.....วันแรกไปถึง อาหารมื้อแรก บัวลอยไส้งาดำค่ะ ลืมบอกไว้ค่ะ พวกเราต้องกินมังสวิรัติ กันทั้ง 3 วัน เลยค่ะ


พวกเรา นักศึกษา ไปกัน 24 คน กับพี่จุ๋ม พี่ปาล์ม ที่เป็นผู้จัดกิจกรรมนี้ แล้วก็ดูแลพวกเราด้วย ก็เป็น 26 คน



กิจกรรมแรก ก็พูดคุยกัน ถึงการเรียนรู้ด้วยใจอย่างใคร่ครวญ หลังจากนั้น อาจารย์พี่ตั้มก็ให้ พวกเราจับคู่กัน แล้วก็
ให้คนหนึ่งปิดตา อีกคนหนึ่งพาเดิน ไปสัมผัสสิ่งต่างๆ ทั้งในห้องบรรยาย แล้วก็ในป่าด้านนอก ตอนที่โดนปิดตาก็เกร็ง
น่ะ แต่ก็เชื่อน้องซีอิ๋ว ที่เป็นคู่ด้วย ว่าเขาคงไม่ทำให้เราเจ็บหรอก คงไม่พาเราเดินไปชนต้นไม้หรอก ทีนี้ก็แลกกันบ้าง

ให้สลับกันปิดตา ผึ้งก็พาน้องซีอิ๋ว เดิน ก็เกร็งอีกนั้นแหละ กลัวน้องเค้าเดินไปชนต้นไม้ เดินตกบันได มีตอนนึง ผึ้งพา
น้องซีอิ๋ว จะให้เดินลงบันได แต่เมื่อน้องเค้าแหย่เท้า ไปปรากฏว่า น้องเค้ากลัวอ่ะ ไม่กล้าลงบันใด เพราะน้องเค้าว่ามันสูงมาก
น้องเค้ามองไม่เห็นด้วยแหละ ก็เลยกลัว เราก็ไม่รู้จะทำยังไง อาจารย์พี่ตั้ม ห้ามพูดกันอ่า เอาไงดีหว่า เอางี้แล้วกัน
ผึ้งก็เลย โอบไหล่น้องเค้า แล้วพากระโดดลงมาด้วยกัน บันไดมันไม่ได้ชันอ่ะ แต่เพราะไม่รู้ ไม่เห็นไง ก็เลยกลัว
ก็งี้แหละ คนเรา กลัวในสิ่งที่เราไม่รู้ ไม่เห็น แต่หากเรามีใครสักคน ที่เราเชื่อใจ คอยช่วยเราอย่างอบอุ่น (มันอบอุ่นจริงๆน่ะ
ตอนที่โดน พาเดิน แล้วเราปิดตาอ่ะ) เราก็จะคลายความกลัวลงไป แต่มันอยู่ที่ว่า เราจะวางใจใครบ้าง ก็แค่นั้น.....
.....อ่ะ อ่ะ มาถึงกิจกรรมช่วงบ่ายน่ะค่ะ คราวนี้อาจารย์พี่ณัฐ ให้พวกเราจับคู่เหมือนเดิม แต่ต้องให้อีกฝ่ายเล่าเรื่องราวของตนเอง
.....หลังจากนั้น ก็พักทานข้าว ทานข้าวเสร็จ พวกเราก็ไปเดินย่อยกันค่ะ ป้าประนอม ที่คอยทำอาหารให้พวกเรา บอกว่า
ลองเดินลงไปที่น้ำตกข้างล่างดู ก็ดีค่ะ ลองเดินเล่นๆดู ก็ปรากฏว่า มันเป็นบันได ลงไปข้างล่าง มองลงไปยังไม่เห็นธารน้ำตก

เลยอ่ะ เอาหน่า เดินก็เดิน คงไม่เหนื่อยหรอก เดินๆ ๆๆ ๆ ไป ลงบันไดไปเรื่อยๆ เอะ ทำไมบันไดมันเริ่มชัน เอ้ยชันมากไป
แล้วน่ะ ทำไมบันไดมันเยอะจัง เฮ่ออออ เหนื่อยแล้วอ่ะ ยังไม่ถึงอีกเหรอ . . . . . เย้ กว่าจะถึง เฮ่อ จากนั้นก็เดินกลับ


มันไม่ใช้การเดินเล่นแล้วน้า ตอนขึ้นอ่ะ ทรมานนนนนนนนนนนนน บันไดชันอีตาย.....

เล่าตำนานของตนเอง โดยให้อีกฝ่ายฟังอย่างรับฟัง เงียบๆ ไม่ซักถาม แล้วจากนั้น ก็ให้ฝ่ายที่รับฟัง ถ่ายทอดเรื่องที่ได้ฟังมา
เป็นนิทานที่แสนสวยงาม ถ่ายทอดกลับคืน หลังจากนั้นก็สลับให้อีกฝ่ายเป็นผู้เล่าเรื่องของตนเองบ้าง

เค้าเรียกว่าอะไร อ่ะ มันประทับใจน่ะ ที่มีคนๆ หนึ่งนั้งฟังเราอย่างซาบซึ้ง แล้วถ่ายทอดเรื่องราวของเรากลับได้อย่างสวยงาม
มหัศจรรย์ ลองคิดดูสิค่ะ ว่าในวันหนึ่งๆ จะมีไหมใครที่คอยนั้งฟังทุกเรื่องที่เราเล่า มันรู้สึกดีมากๆ เลยค่ะ.....
.....เมื่อเราผลัดกันถ่ายทอดเรื่องราว แล้ว อาจารย์พี่ตั้มก็ถามว่า พวกเรารู้ไหมว่า ที่พวกเราฟังตำนานจากเพื่อนอ่ะ อะไรคือความจริง
เอาล่ะสิ งานเข้า อะไรคือความจริง คำถามเดียวกันไหมกับ ความจริงคืออะไร แล้วคำตอบมันคืออะไร อิอิ เคยลองถามตัวเองไหมค่ะ
ทุกสิ่งที่ได้พบ ได้ประสบ ไม่ว่าคนที่ผ่านเข้ามา อะไรที่ทำให้เราว้าวุ่น ทุกอย่าง อะไรคือความจริง แล้ว ความจริง กับ ข้อเท็จจริง
มันเหมือนหรือแตกต่างกันยังไง เอา งง งง เข้าไปใหญ่.....
.....อิอิ ที่ผึ้งเข้าใจน่ะค่ะ เรื่องที่เพื่อนเล่า เขาเล่ามาจาก ความรู้สึก ที่มีพื้นฐานมาจากข้อเท็จจริง บางที ความจริงอาจจะเป็นข้อเท็จจริง
ที่แต่ล่ะคนเชื่อว่ามันเป็น "ฤาโลกนี้จะไม่มีความจริง มีเพียงสิ่งที่มองจากมุมใคร" ด้วยมุมมอง กระบวนทัศน์ที่แตกต่างกัน ทำให้เราเห็น
ความจริงที่แตกต่างกัน เราจึงเกิดข้อขัดแย้งมากมาย คงจะดีน่ะค่ะ ถ้าทุกคนเข้าใจว่า ความจริงของแต่ละคนมันแตกต่างกัน ถ้าเรายอมรับ
ในสิ่งที่แตกต่าง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า จะแตกแยก (ไม่เกี่ยวกับการเมืองเลยน่ะเนี้ยะ..) โลกคงจะสงบสุขจนน่าเบื่อเลยล่ะค่ะ.....
.....ตอนค่ำ ได้ดู หนังค่ะ เรื่อง "Big fish" ชื่อภาษาไทยวว่า ปลาใหญ่หัวใจโต๊ โต รึเปล่าไม่แน่ใจ เป็นเรื่องราวของ พ่อที่ชอบเล่า
เรื่องเล่าต่างๆ มากมาย ให้ลูกชายฟัง หลายเรื่องล้วนเป็นเรื่องที่เหลือเชื่อ เด็กน้อยเชื่อพ่อมาตลอด จนถึงวันหนึ่งที่เขาโดน กระแสสังคม
โดนข้อเท็จจริง ครอบงำ ชีวิตเต็มไปด้วยข้อเท็จจริง ตัวเลข ไร้แล้วซึ่งจินตนาการ เขาเริ่มสงสัยว่า สิ่งที่พ่อเล่ามันไม่จริงน่ะ
เขาพยายามค้นหา ข้อเท็จจริงต่างๆ มากมาย เพื่อมาพิสูจน์เรื่องเล่าของพ่อ.....
.....ค่ะ ทุกคนค่ะ เคยไหม ที่หลงลืมความรู้สึกไป เรามองเพียงสิ่งที่ผ่านเข้ามาว่า มันเป็นข้อเท็จจริงไหม มันวัดด้วยตัวเลขได้เท่าไหร่
บางทีน่ะค่ะ ความจริง ก็ไม่ต้องการข้อเท็จจริงน่ะ เพียงแค่ความรู้สึกว่า มันจริง ก็น่าจะเพียงพอแล้วน่ะ สวยงามกว่ากันเยอะ.....
.....มีอีกค่ะ ค่ะที่ประทับใจมาก คือ หนังเรื่องนี้ บอกว่า "ปลาทองที่อยู่ในโหลที่ใหญ่กว่า จะตัวโตกว่าปลาทองที่อยู่
ในโหลที่เล็กกว่า" นั้นก็คือพี้นที่ในการเรียนรู้ของแต่ละคน คนเรามีพื้นที่ มากมายที่จะเรียนรู้ ไม่ได้จำกัดแค่ ฟังบรรยาย
ในห้องเรียน ศักยภาพของคนเรานั้น มีมากมายค่ะ มากมายเกินกว่า การเรียนในระบบน่ะ เราต้องหามันให้เจอ แล้วใช้ให้ได้อย่างเต็มที่
ไม่งั้นทำไม่ คนอื่นจึงทำได้ คนที่เราเห็นว่าเขายิ่งใหญ่ทำได้ เราก็ทำได้ค่ะ เพียงแค่เราคิดว่าเราทำไม่ได้ แค่นั้นเอง เราจึงไม่ลงมือพยายามทำ.....
.....อีกคำพูดหนึ่งจากหนังเรื่องนี้ คือ "คุณจะไปต่อยังไง ในเมื่อหนูเอารองเท้าคุณไปซ่อนแล้ว" ถ้าเราคิดจะไป ถ้าเราคิดจะทำ ไม่มีคำว่า
อุปสรรค ค่ะ.....
.....เช้าวันที่ 2 น่ะค่ะ เมื่อคืนฝนตกทั้งคืนเลย ตอนเช้ากะจะมาดูพระอาทิตย์ เฮ่อไม่เห็นพระอาทิตย์ขึ้นค่ะ เห็นแต่... ทะเลหมอก สวยมากๆ



ไม่ต้องไปถึงปายหรอก ก่อนเริ่มกิจกรรม อาจารย์ฌานก็ สอนพวกเรา รำไท่ฉีฉวน มันสงบมากๆเลยค่ะ แล้วท่านก็ให้ พวกเราฟังเสียงหัวใจ
ขอบคุณหัวใจที่คอยสูบฉีดเลือด ขอบคุณไต ที่ช่วยกรองของเสีย ขอบคุณปอด ที่ช่วยแลกเปลี่ยนออกซิเจน เคยคิดถึงเขาไหมค่ะ.....
.....กิจกรรมในช่วงสาย ก็เป็นกิจกรรมค้นหาตัวตน ว่าเรานั้นเป็นคนแบบไหน มีตัวตนเป็นเช่นไร ก็แบ่งได้ เป็น 4 ชนิดสัตว์น่ะค่ะ

1.นกอินทรีย์ ทิศตะวันออก ธาตุลม เป็นคนที่ รักอิสระ ชอบคิดนอกกรอบ เต็มไปด้วยความคิดสร้างสรรค์ ไม่ชอบความจำเจ
ไม่ชอบอยู่กับที่ ชีวิตเต็มไปด้วยความท้าทาย
2. กระทิง ทิศเหนือ ธาตุไฟ เป็นประเภทนักรบ มุ่งมั่น ชอบเสี่ยง ลุยๆ ไม่กล้วความล้มเหลว แต่กลัวว่าจะไม่ได้ทำมากกว่า รักศักดิ์ศรี
รักเพื่อน ไม่ชอบให้ใครมาดูถูกหรือมองว่าอ่อนแอ จริงใจ พูดตรงๆ
3. หมี ทิศตะวันตก ธาตุดิน ชีวิตต้องวางแผน ปลอดภัยไว้ก่อน ทำอะไรเป็นระบบ ไม่ชอบการเสี่ยง ชอบความชัดเจนหนักแน่น
ใช้ข้อเท็จจริงในการวิเคราะห์ มากกว่าใช้อารมณ์
4. หนู ทิศใต้ ธาตุน้ำ อะไรก็ได้ แล้วแต่ ไม่ชอบการโต้แย้ง รักความสงบ ตามใจเพื่อน แคร์คนอื่น ขี้ใจน้อย ต้องการความรักจากคนอื่น
ไม่ชอบพูดตรงๆ มักจะเป็นที่ปรึกษาให้กับคนอื่น
ค่ะ ใครเป็นสัตว์อะไรกันบ้างค่ะ ผึ้งเป็นกระทิงค่ะ แล้วทีนี้ อาจารย์ ก็ให้สัตว์แต่ละประเภทนั้งคุยกันในพวกเดียวกัน ที่สังเกต มีหนูเยอะน่ะ
ถ้าสังคมข้างนอก มีหนูเยอะๆ อย่างนี้ สังคมจะสงบสุขอย่างร้ายแรงเลยล่ะค่ะ การคุยกันในกลุ่มกระทิงเหรอคะ ดุเดือดค่ะ นินทาชาวบ้านแหลกราญ
ตั้งแต่ เด็กคณะข้างๆ ยันนายกบางประเทศเลยล่ะค่ะ (ประเทศไหนหว่า).....
.....มาถึงกิจกรรมในช่วงบ่ายค่ะ เคยเล่นเกมส์ "แม่น้ำพิษ" ไหมค่ะ แบ่งพวกเราเป็น 2 ทีมแต่ละทีมต้องมีสัตว์แต่ละประเภทคละๆ กันไป ทีมละ 24 คน
พวกเรามีเวลา 30 นาที กับก้อนหิน (กระดาษ เอ4) 7 ก้อน พวกเราต้องข้ามแม่น้ำให้ผ่านไปให้ได้ทุกคน โดยห้ามมือหลุดจากกัน แม่น้ำที่พวกเรา
ต้องข้ามนั้น กว้างประมาณ 6 เมตร น้ำในแม่น้ำเป็นกรด ซัลฟิวริกซ์ เข้มข้น ถ้าโดนเนื้อส่วนไหนส่วนนั้นจะเน่าเปื่อย ข้างหน้านั้น เขื่อนกำลังจะแตก
ในอีก 30 นาที ถ้าเขื่อนแตกพวกเราจะตายกันหมด ไม่พอ ในแม่น้ำยังมีจระเข้ (พี่เพนกวิน กับ พี่เจ) คอยแย่งก้อนหินอีกต่ะหาก.....
.....อิอิ ไม่ยากเลยค่ะ 7 ก้อน กับ แม่น้ำกว้าง 6 เมตร สบายๆ.....
...."เอาล่ะค่ะ ที่นี้ ใช้กติกาเดิมน่ะ แต่ให้เหลือก้อนหินแค่ 5 ก้อน" แม่เจ้า โหดร้ายอ่ะ แล้วพวกหนูจะทำเยี่ยงไรล่ะค่ะ พี่ปาล์ม เศร้า(T.T)
ไม่เป็นไรค่ะ ทุกอย่างมีทางออก มีหนทาง พวกเราทั้ง 12 คน ก็ช่วยกันหาหนทาง ช่วยกันลองผิด ลองถูก ทั้งยืนเป็นสะพาน บนก้อนหิน 5 ก้อน
ให้เพื่อนปีน (ปากแตกเลยค่ะ โดนศอกเพื่อน) จนผ่านไป 30 นาที ลองไปมากมาย ไม่ได้สักที แต่พี่ปาล์มก็ต่อเวลาให้อีก 15 นาที
เอาล่ะ มันต้องมีสิหนทางอ่ะ จนท้อมากๆ ก็เลยหันไปบอกอีกกลุ่มว่า เรามารวมกันเหอะ ก้อนหิน 10 ก้อน กับ 24 คน สบายๆ
ไม่ต้องมุ่งจะเอาชนะกัน เรามาสามัคคีกันดีกว่า จะได้รอดด้วยกัน ถ้าเรามัวแต่แข่งกัน เขื่อนแตก เราตายกันหมดแน่ๆ 5555++
แต่จระเข้ ใจร้ายอ่ะ ไม่ยอม ชิ ไม่ส่งเสริมความสามัคคี ของเยาวชนซ่ะเลย ไม่ไหวๆ (อิอิ หนูล้อเล่นน้า พี่เจ พี่เพนกวิน).....

.....พวกเราก็ลองกันไปเรื่อยๆ คิดกันไปเรื่อยๆ ในที่สุดพวกเราก็ทำสำเร็จค่ะ เห็นไหมล่ะค่ะ ทุกอย่างมีหนทางค่ะ เพียงแต่เราอาจมีข้อจำกัดก็เท่านั้น
อย่างเกมส์นี้ ถ้าพี่ปาล์มไม่ต่อเวลาให้อีก 15 นาที พวกเราก็จะทำไม่สำเร็จใช่ไหม ล่ะค่ะ เอ!! แต่ว่า.. ถ้าเหลือก้อนหิน 3 ก้อน ยังจะมีทางออก
มีหนทางไหมหวา 555+++.....
.....ทีนี้ก็ชอบที่ พี่เจ กับ พี่เพน พูดถึงพวกเราตอนเล่นเกมส์ ใช่ป่ะ ประทับใจ อิอิ ก็พี่เพนก่อนน่ะ พี่เพนเป็นจระเข้ ของกลุ่มผึ้งช่ายป่ะ
พี่เพนบอกว่า ตอนแรก ก็ต้องคอยแกล้งน้องๆ แต่พอเห็นความมุ่งมั่น ความซื่อสัตย์ ตอนตกน้ำกรด พี่เพนไม่เห็น แต่พวกเราก็ไม่ลักไก่ ก็กลับไปเริ่มใหม่
เอง พี่เพนก็คอยช่วย คอยลุ้นพวกเราอยู่ลึกๆ อิอิ....
.....พี่เจบ้าง พี่เจเป็นจระเข้ ของอีกกลุ่ม พี่เจบอกว่า กลุ่มนั้นมุ่งมั่นกันมากๆ มีตอนที่คิดไม่ออก ลองมาจนตัน ก็เลยนั่ง เฉยๆ แล้วก็คิดออกมาแล้วก็ทำสำเร็จ
ด้วย พี่เจบอกว่า พวกเรามุ่งมั่น ทั้งๆ ที่ไม่รู้จะเหนื่อยไปทำไม นั่งรอให้จบๆดีกว่า ถ้านั่งเฉยๆ เขื่อนก็แตก จมน้ำตายกันพอดีสิพี่ (อิอิ อะไรคือความจริง)....
....แล้วก็อาจารย์ พี่ตั้ม ชอบที่พวกเราไม่ลอกกัน ไม่ยอมทิ้งศักดิ์ศรี ยอมตายดีกว่า ยอมลอก ยอมเสียความเป็นตัวตน....
....กิจกรรมตอนค่ำก็ พวกเรามานั่งฟังตำนาน ของอาจารย์พี่ตั้ม แล้วก็อาจารย์ณัฐ กันค่ะ ประทับใจน่ะค่ะ ทำไมคนรุ่นใหม่ ถึงต้องแสวงหา ความเป็นตัวตน

แสวงหา ความแท้จริงของชีวิต หลังจากนั้น ก็แบ่งกลุ่มให้พวกเรา กลุ่มล่ะ 5 คน นั่งคุยกัน ผลัดกันพูดถึงชีวิตของเรา ตัวตนของเรา โดยมีคนคอยรับฟัง
ที่น่ารัก ประทับใจค่ะ (อีกแล้ว) ลืมไปแล้วน่ะเนี้ยะ ว่าตอนเด็กๆ อยากเป็นอะไร.....
....เช้าวันสุดท้าย อาจารย์ทุกท่าน ให้เราเขียนจดหมายถึงตัวเอง อยากบอกอะไรกับตัวเอง ตอนเขียนไม่เท่าไหร่ค่ะ แต่พอมาถึงตอนที่ อาจารย์ณัฐ

ให้อ่านจดหมายของทุกคนให้คนอื่นฟัง ซึ้งมากมายค่ะ ร้องไห้ เลย เพื่อนหลายคนที่ หลงลืมการดูแลตัวเองไปแล้ว มัวแต่วิ่งตามกระแสสังคมให้ทัน
ถ้าล้มจะโดนเหยียบ หลายคนมีแผลเป็น กลัวการที่จะเปิดแผลเป็นให้คนอื่นดู สังคมเลยเต็มไปด้วยการใส่หน้ากากเข้าหากัน เพราะเราต้องไม่มีแผลเลยเหรอ
ถึงจะได้รับการยอมรับ เราต้องเรียนจบปริญญาเหรอ เราต้องรวยเหรอ เราต้องบุคคลิกดีเหรอ เราต้องมีหน้าที่การงานที่ดีเหรอ เราถึงจะภาคภูมิใจได้ในสังคม
เราลืมอะไรกันไปแล้ว สังคมทุกวันนี้ ต้องการอะไร ข้อเท็จจริง หรือ คุณค่าที่แท้จริง....

.....การมาที่นี้ กิจกรรมทุกกิจกรรม ล้วนทำให้เรา หันกลับไปดูตัวเอง อย่างใคร่ครวญ กลับไปดูแลตนเอง ดูแลคนรอบข้าง
ไม่ยึดกับ ข้อเท็จจริง หาศักยภาพของเราให้เจอ ทุกสิ่งมีทางออก และอะไรที่เราต้องการ....

.....ขอบคุณอีกครั้ง จากใจจริง.....
ขอบคุณ ท่านอธิการ ที่อยากจัดให้มีโครงการดีดีอย่างนี้
ขอบคุณ พี่จุ๋ม ที่รับทำ ประสานงานโครงการนี้
ขอบคุณ อาจารย์แม่ ที่แนะนำให้มาโครงการนี้
ขอบคุณ ต๋อม ที่มาด้วยกัน
ขอบคุณ พี่อ้วน ที่ยังส่งผึ้งกับต๋อม สมัครเข้าโครงการ ทั้งๆที่หมดเขตแล้ว
ขอบคุณ หนิงกับบอย ที่คอยช่วยเก็บเอกสาร ให้ตอนที่โดดเรียน มาร่วมโครงการ
ขอบคุณ ป้าประนอม แล้วก็พี่ๆที่สวนสายน้ำ ที่คอยดูแล ทำอาหารมังสวิรัต อร่อยๆ ให้พวกเรา
ขอบคุณ เพื่อนร่วมโครงการทุกคน ผูกพันธ์จริงๆ มากมายด้วย
ขอบคุณ พี่เจ พี่เพนกวิน พี่ปาล์ม ที่ยิ้มให้ทุกครั้งที่หันไปสบตาด้วย
ขอบคุณ อาจารย์พี่ตั้ม อาจารย์ณัฐ อาจารย์ฌาน ที่ทำให้พวกเราได้มีประสบการณ์ดีดี
*****ขอบคุณมากมายค่ะ ขอบคุณจากใจจริง สำหรับประสบการณ์ และความทรงจำที่สวยงามในครั้งนี้*****
