เช้าวันอาทิตย์ตามเวลาเมืองไทยแต่เป็นวันเสาร์ที่อาร์เจนติน่า (6 กันยายน 2552) เป็นวันที่แฟนฟุตบอลทั่วโลกหันมาให้ความสำคัญกับฟุตบอลโลกรอบคัดเลือกที่เป็นไฮไลท์ในช่วงสุดสัปดาห์ที่เมืองโรซาริโอ เพราะที่นั่นเป็นการพบเจอของสุดยอด 2 ทีมลูกหนังโลกแห่งทวีปอเมริกาใต้ที่เป็นแชมป์โลกรวมกัน 7 สมัย บราซิล และอาร์เจนติน่า คู่แค้นแห่งทวีปทั้งในเชิงประวัติศาสตร์และการขับเขี้ยวในเชิงลูกหนัง บราซิลจ่าฝูงโซนอเมริกาใต้ที่แข่งแบบพบกันหมดมีทั้งหมด 27 คะแนนมากกว่าอาร์เจนติน่าที่ 4 ที่มีอยู่ 22 คะแนน ถ้าบราซิลบุกมาชนะนัดนี้ก็แทบจะเข้ารอบอย่างเป็นทางการ ส่วนอาร์เจนติน่าถ้าชนะก็เพิ่มโอกาสเข้ารอบในขณะที่เหลือหลังจากเกมนี้อีก 3 นัด การดวลในครั้งนี้เป็นครั้งแรกของการปะทะฝีมือของกุนซือมือใหม่อดีตกัปตันทีมชาติชุดแชมป์โลกทั้งคู่ ดุงก้าผู้พาบราซิลคว้าแชมป์ในปี 1994 เพิ่งมารับงานกุนซือทีมชาติเมื่อเริ่มรอบคัดเลือกบอลโลก แต่การที่ผ่านช่วงเวลาอุปสรรคในช่วงเริ่มต้นมาแล้ว ฟอร์มในนัดหลังในรอบคัดเลือกบอลโลกก็เปรี้ยงปร้างชนะรวด 3 นัดรวด แถมไปคว้าแชมป์คอนเฟดเดอเรชั่นแบบชนะรวด 5 เกม ย่อมทำให้ดุงก้าดูน่าเกรงขามมากขึ้น ส่วนทางฝั่งอาร์เจนติน่า ดีโก้ มาราโดน่า ไม่จำเป็นต้องบรรยายสรรพคุณยามเป็นนักเตะ อดีตกัปตันทีมชาติและเป็นเสมือนเทพเจ้าแห่งชาวฟ้าขาวเพิ่งมารับบมกุนซือแต่ก็มีผลงานย่ำแย่

อาร์เจนติน่าเจ้าถิ่นจัดตัวลงแบบพิการในแนวรับแต่ฟูลทีมในแนวหน้าเมื่อ เทพเมสซี่ และคาร์ลอส เตเวส สมบูรณ์ โดยมีเด็กใหม่เฆซุส ดาโตโล่ เสริมด้านซ้าย แถมมีตัวเก๋าอดีตเด็กเก่าปีศาจแดง ฮวน เซบาสเตียน เวรอน ยืนคู่กับนักเตะหงส์ ฮาเวียร์ มาสเซราโร่ ลงบัญชาการ ส่วนบราซิลยังคงใช้ตัวหลักจากคอนเฟดเดอเรชั่นคัพ มีโรบินโญ่ และ หลุยส์ ฟาเบียโน่ ค้ำหน้า กาก้า บัญชาเกมบุก และมี ฟิลลิเป้ เมโล่ ช่วยตัดเกมส์ ในขณะที่บราซิลดูดีกว่าเจ้าถิ่นในแนวรับที่อยู่กันครบ

แซมบ้าพลิกนำ 2-0 ในครึ่งแรก

เปิดเกมครึ่งแรกเป็นอาร์เจนติน่าที่ครองบอลมากกว่าแต่ก็ไม่สามารถทำอะไรบราซิลได้ โดยเฉพาะยังหาจังหวะิยิงประคูลำบาก เป็นบราซิลที่ใช้ประโยชน์จากการเตะลูกฟรีคิกทำประตูนำไปก่อน 1-0 จากลูกโหม่งของลุยเซา กองหลังของบราซิล ที่ไม่มีกองหลังของทีมฟ้าชาวประกบเลยในนาทีที่ 24 และอีก 6 นาทีต่อมา ลูกฟรีคิกที่สองของบราซิลก็นำมาสู่ประตูที่ 2 เมื่อกาก้าได้ลูกจากการฟรีคิกที่กระฉอกมาหา กาก้าปาดมาหน้าประตู ไมค่อนวิ่งมายิงติดผู้รักษาประตูและเป็นหลุยส์ ฟาเบียโน่ที่ซ้ำจ่อๆเป็นประตูให้บราซิลออกนำห่าง 2-0 อาร์เจนติน่ามีโอกาสตีไข่แตกเมื่อ มักซี่ โรดิเกวซ ปาดยิงจ่อๆถูก ฮูลิโอ ซีซ่าร์ ป้องกันเอาไว้ หมดครึ่งแรกบราซิลออกนำเจ้าถิ่น 2-0

“คิลเลอร์พาส”ของกาก้าสยบฟอร์มนักเตะฟ้าขาว

ครึ่งหลังอาร์เจนติน่ายังเปิดเกมใส่บราซิลแต่ยังสะเปะสะปะ เมสซี่ไม่สามารถประสานงานกับแดนหน้าได้จนคลายพิษสงไม่ออก แต่เป็นเด็กใหม่ที่จุดประกายความหวังให้เจ้าถิ่น ดาโตโล่ ได้โอกาสลองส่องไกลด้วยเท้าซ้ายกว่า 30 หลา ลูกพุ่งวาบผ่านฮูลิโอ ซีซ่าร์นายทวารบราซิลเข้าประตูไปในนาทีที่ 65 แต่พลังฮึกเหิมของเจ้าถิ่นก็อยู่ได้ไม่นานเมื่อกาก้า เพลย์เม็กเกอร์ของแซมบ้า ที่วันนี้ที่โดดเด่นอย่างมาก โชว์ “คิลเลอร์พาส” จ่ายบอลให้หลุยส์ ฟาเบียโน่ เข้าไปชิพข้ามตัวผู้รักษาประตูเจ้าถิ่น บราซิลสะกดกองเชียร์เจ้าถิ่นให้นิ่งเงียบอีกคร้งในนาทีที่ 67 อาร์เจนติน่าแม้จะบุกใส่แต่ก็เกือบเสียประตูอีกเช่นกันยามเมื่อบราซิลโต้กลับมา ดีโก้ มิลิโต้ กองหน้าตัวสำรองของฟ้าขาวมีโอกาสจะๆ 2 ครั้งแต่ก็เป็นฮูลิโอ ซีซ่าร์อีกที่ปฎิเสธการได้ประตูจบเกม บราซิลบุกมาเก็บ 3 แต้มด้วยชัยชนะสำคัญต่อทีมอาร์เจนติน่า 3-1 เป็นทีมแรกของโซนอเมริกาใต้ที่ผ่านเข้ารอบบอลโลกปี 2010 ที่อัฟริกาใต้ และเป็นทีมที่ 7 ตามหลังทีมเจ้าภาพ 4 ทีมจากเอเชียและฮอลแลนด์หนึ่งเดียวจากยุโรปในขณะนี้

ข่าวดีและข่าวร้ายของอาร์เจนติน่า

อาร์เจนติน่าของดีโก้ มาราโดน่าหลังจากปราชัยในศึกแห่งศักดิ์ศรีแล้ว ยังพบทั้งข่าวดีและข่าวร้ายในเวลาเดียวกัน ข่าวดีคือทีมอันดับ 5 และ 6 อย่าง อุรุกวัยและเอกวาดอร์ ต่างพบกับการพ่ายแพ้ทั้งคู่ เมื่อเอกวาดอร์ออกไปแพ้โคลอมเบีย 0-2 และอุกรุกวัยโดนทีมบ๊วยเปรูสอย 0-1 ทำให้อาร์เจนติน่ายังรักษาอันดับที่ 4 ของโซนได้ซึ่งเป็นอันดับที่จะเข้ารอบแบบอัตโนมัติ แ่ต่ข่าวร้ายก็คือมีทีมที่จะมาแย่งอันดับที่ 4 มากขึ้น นั่นก็คือสถานการณ์ขณะนี้มีอีก 4 ทีมที่มีโอกาสแย่งพื้นที่คือ โคลอมเบีย, เอกวาดอร์, อุรุกวัยและเวเนซูเอล่า ในขณะที่การแข่งขันเหลืออีก 3 นัด ที่สำคัญ 2 ใน 3 นัดของอาร์เจนติน่าเป็นการออกไปเยือนทีมแกร่งอย่างปรากวัยและอุรุกวัย โดนเฉพาะนัดสุดท้ายการเจอกับอุรุกวัยอาจจะเป็นแมทช์ที่สำคัญในประวัติศาสตร์บอลโลกอีกครั้งหนึ่งก็เป็นได้ เพราอาจจะมีแชมป์โลกทีมใดทีมหนึ่งไม่สามารถผ่านเข้าไปเล่นรอบสุดท้ายและหวังว่าทีมนั้นคงไม่ใช่ทีมฟ้าขาวของเทพเมสซี่ และเป็นการบ้านที่สำคัญของมาราโดน่า

Brazil have got some great players. They beat us comfortably.

But let's make one thing clear: the responsibility is all mine.

Argentina coach Diego Maradona

บราซิลกับการแข่งรอบสุดท้ายครั้งที่ 19

ก่อนแข่งคงไม่มีใครคาดคิดว่าบราซิลจะไม่ผ่านรอบคัดเลือก แต่การเข้ามาทำทีมของคาร์ลอส ดุงก้า ที่ไม่เคยมีประสบการณ์นำทีมใดๆมาก่อนก็ไม่มีใครคาดคิดว่าจะพาบราซิลเข้ารอบเร็วขนาดนี้ รวมทั้งพาทีมเซเลเซาขึ้นเป็นเบอร์หนึ่งของโลกอีกครั้ง ดุงก้าเริ่มต้นรอบคัดเลือกได้แย่มากเกาะที่ 2-3 ตลอด มีหลายแมทช์ที่ควรจะเก็บ 3 แต้มก็พลาดเหลือ 1 แต้มในการเสมอกับทีมอย่าง โบลิเวีย และโคลอมเบียในบ้าน บางช่วงถึงกับหล่นไปที่ 5 และเป็นจุดวิกฤติของดุงก้าและบราซิลของเขาเลยทีเดียว และยิ่งแนวทางการทำทีมของเขาเหมือนกับรูปแบบที่เขาเล่นในตอนเป็นนักเตะคือเน้นความแน่นอนในแดนกลางและเกมรับทำให้ยิ่งไม่เป็นที่ชื่นชอบของแฟนบราซิลอยู่แล้ว แต่การได้หลุยส์ ฟาเบียโน่ เป็นตัวหลักในแดนหน้าทำให้ปัญหาปีนฝืดเริ่มหมดไปและการค้นพบฟิลิเป้ เมโล่ มิดฟิลด์ตัวตัดเกมในลักษณะเดียวกับเขาเป็นจิ๊กซอว์ตัวสุดท้ายที่ทำให้ทีมของเขาสมบูรณ์แบบในแง่แทกติคที่เขาต้องการพอดี ฟิลิเป้ เมโล่ เป็นผึ้งงานที่ทำให้งานของกาก้าสบายขึ้น โดดเด่นในเกมรับ แถมยังมีพลังพอที่จะเติมเกมรุกอีกด้วย บราซิลโชว์ฟอร์มได้ดีตั้งแต่มีเมโล่ปรากฏกายเป็นครั้งแรกในทีมชาติเมื่อสอนบอลอิตาลีในแมทช์อุ่นเครื่องที่อังกฤษ 2-0 แถมการแข่งขันในรอบคัดเลือกก็ดีขึ้นผิดตาเมื่อตลุยชนะเปรู 3-0 บุกไปเยือนอุรุกวัยและเก็บชัยได้ 4-0 ก่อนเปิดบ้านชนะจ่าฝูงในช่วงนั้นอย่างปรากวัยอีก 2-1 และเมื่อมีรายการแชมป์แห่งทวีปมาคั่นกลางบราซิลก็เดินหน้าชนะรวด 5 นัดในทัวร์นาเม้นที่คนส่วนใหญ่เชื่อว่าแชมป์ยุโรปอย่างสเปนจะเป็นแชมป์ และล่าสุดก็ทำเรื่องยากให้เป็นเรื่องง่ายเมื่อเข้าถ้ำเสือเก็บ 3 แต้มจากถิ่นอาร์เจนติน่าเป็นทีมแรกของโซนอเมริกาใต้และทำสถิติเป็นทีมเดียวที่แข่งรอบสุดท้ายฟุตบอลโลก 

ดุงก้ายังต้องผ่านด่านกับการเป็นยอดนักเตะและเทียบชั้นการเป็นโค้ชผู้จะพาทีมชาติเป็นแชมป์ฟุตบอลโลก เหมือนที่ฟร็านซ์ แบ็คเคนบาวน์ คือมนุษย์คนแรกที่คว้าแชมป์ในฐานะนักเตะที่อยู่ในฐานะกัปตันทีมของเยอรมันในปี 1974 และเป็นโค้ชมาคว้าแชมป์อีกในปี 1990 และถ้าดูสมการตัวเลขจะเห็นว่าดุงก้าก็คือนักเตะที่ชูถ้วยในฐานะกัปตันทีมบราซิลในปี 1994 ปีที่ลงท้ายด้วยเลข 4 เหมือนกัน และกำลังจะพาบราซิลไปลุ้นแชมป์ในฐานะกุนซือหลังจากนั้น 16 ปีพอดิบพอดีเช่นกันกับปีที่ลงท้ายด้วยเลข 0 คือปี 2010 แต่นั่นก็เป็นแค่ความบังเอิญที่เหมือนกันเพราะดุงก้ายังต้องพิสูจน์ฝีมืออีกครั้งใน 7 แมทช์สำคัญกลางปีหน้าว่าเขาจะพาบราซิลเป็นเจ้าลูกหนังโลกอีกครั้งได้หรือเปล่า แต่ตอนนี้ถ้าดูจากสถิติหลายๆอย่างบราซิลก็คือราชาลูกหนังโลกตัวจริงอย่างไม่ต้องสงสัย

Clip Video อาร์เจนติน่า 1 – 3 บราซิล