ถ้าพูดถึงฟุตบอลต้องนึกถึงประเทศบราซิล
เพราะไม่เพียงแต่การเป็นแชมป์ฟุตบอลโลกมากที่สุดเท่านั้น
แต่ฟุตบอลเป็นมากกว่าเกมกีฬาในประเทศนี้ ฟุตบอลเป็นทั้งความหวัง สิ่งประโลมใจ
หรือหลายคนบอกว่ามันคือชีวิตของชาวบราซิล
เหตุผลหลักประการหนึ่งก็คือประเทศบราซิลตั้งแต่ปกครองโดยระบอบเผด็จการทหาร
แม้จะมีบางช่วงบางตอนที่สภาพเศรษฐกิจเติบโตแต่ก็เป็นเพียงช่วงเวลา
ประเทศที่มีทรัพยากรธรรมชาติมหาศาลกลับต้องตกอยู่ในสภาวะแร้นแค้น ยากจน
การต่อสู้ทางการเมือง ฟุตบอลจึงเป็นทางออกหนึ่งของประเทศนี้ จึงไม่แปลกที่จะเห็นเด็กๆ
หรือคนหนุ่มเตะฟุตบอลอยู่ทุกหนแห่งในบราซิลเพราะเป็นทางหลุดพ้นจากความทุกข์ชั่วคราวของพวกเขาและบางทียกระดับตัวเองเป็นนักฟุตบอลอาชีพได้ก็จะพลิกผันชะตาชีวิตของพวกเขาได้
The Year My Parents
went on Vacation
คือภาพยนตร์เรื่องหนึ่งที่สะท้อนวิถีชีวิตดังกล่าวในช่วงเวลาที่ประเทศอยู่ภายใต้การปกครองแบบเผด็จการในปี
1970 แต่ปีนั้นบราซิลก็คว้าแชมป์โลกครั้งประวัติศาสตร์ ![]() เมาโร เด็กชายวัย 12 ปี อาศัยอยู่ในเมืองเบโล ฮาริซอนเต้ ก็เหมือนเด็กบราซิลทั่วๆไป ฟุตบอลเป็นเหมือนเพื่อนของเขาที่เติบโตมาด้วยกัน ดังนั้นการหลงใหลในทีมชาติบราซิล ของเล่นที่เป็นเกมเตะฟุตบอลด้วยนิ้วดีด หรือการสะสมสติ๊กเกอร์ภาพนักฟุตบอลเพื่อแปะลงในอัลบั้มภาพให้ครบชุดจึงเป็นงานอดิเรกของเขา และที่สำคัญทัวร์นาเม้นท์ที่สำคัญที่สุดที่เขาเฝ้ารอพร้อมคนบราซิลทั้งประเทศกำลังมาถึงนั่นก็คือการแข่งขันฟุตบอลโลกปี 1970 ที่เม็กซิโก ที่เปเล่กำลังถูกกล่าวขานกันมากว่าควรจะเล่นคู่กับใครในแดนหน้า แต่ความสนุกก็กำลังถูกลดทอนเมื่อพ่อแม่ของเมาโรกำลังจะส่งเมาโรไปอยู่กับปู่ที่เมืองเซาเปาโล ด้วยเหตุผลที่ได้จากพ่อกับแม่คือพวกเขาจะไปพักร้อน แต่เมื่อเมาโรถูกส่งลงหน้าอพาร์ทเม้นท์ของปู่โดยพ่อแม่ของเขารีบขับรถออกไป เมาโรก็ต้องเผชิญกับเหตุการณ์ครั้งสำคัญในชีวิต เมื่อเขาพบว่าปู่ของเขาเสียชีวิตไปอย่างกะทันหันก่อนหน้าที่เขาจะมาถึงไม่นาน และเมื่อเมาโรไม่สามารถติดต่อพ่อแม่ของเขาได้ เขาก็ต้องอยู่กับชายชราเพื่อนบ้านของปู่ที่ชื่อเชอร์โม เป็นชาวยิวเคร่งศาสนา และเมาโรก็พบว่าที่เมืองเซาเปาโลเป็นศูนย์กลางของความหลากหลายทั้ง กลุ่มชาวยิวที่มีวิถีการดำเนินชีวิตที่แตกต่างไปจากเขา ชาวอิตาเลียนอพยพ คนผิวสีจากอัฟริกา กลุ่มนักศึกษาที่รวมกลุ่มแล้วหลบๆซ่อน และเด็กหญิงจอมแก่นที่ชื่อฮานนาและมีอายุรุ่นเดียวกับเขา และชีวิตของเมาโรก็ต้องปรับตัวกับสิ่งรอบข้างและเฝ้ารอพ่อแม่เพื่อกลับมาดูฟุตบอลโลกพร้อมกันทั้งครอบครัวตามที่เขาฝันไว้ ![]() ![]() ![]() ภาพยนตร์เรื่อง The Year My Parents went on Vacation
ถูกกระทรวงวัฒนธรรมของบราซิลเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสก้าร์สาขาภาพยนตร์ต่างประเทศปี
2007 แบบพลิกความคาดหมาย
แต่ภาพยนตร์เรื่องนี้ก็ได้รับรางวัลภายในประเทศและต่างประเทศรวมทั้งเป็นหนึ่งในรายชื่อที่ถูกเสนอเข้าชิงรางวัลหมีทองคำของเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติของเบอร์ลิน
ภาพยนตร์กำกับโดย เคา แฮมเบอร์เกอร์ (Cao Hamburger) และคนเขียนบทคือ
Bráulio Mantovani ซึ่งฝากผลงานการเขียนบทมาแล้วจากภาพยนตร์ที่คว้ารางวัลมามากมายและเป็นที่ชื่นชอบของผู้ชมทั่วโลกเรื่อง
City of God โดยภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นที่กล่าวขานอีกเรื่องกับความเป็นภาพยนตร์แนว “ช่วงผ่านของวัย” (Coming of Age) เมื่อการนำเสนอผ่านมุมมองของเด็กชายที่เผชิญกับเหตุการณ์ที่เข้ามามีบทบาทในชีวิตของเขา
เช่น การสนใจต่อเพศตรงข้ามโดยเฉพาะหญิงสาวรุ่นพี่ที่ดึงดูดความสนใจเด็กๆทั้งหลายในวัยเดียวกับเขา
การสร้างมิตรภาพกับคนที่ต่างวัยกว่า ต่างศาสนาและวิถีชีวิต การได้เห็นการประท้วง
การต่อต้านรัฐบาลที่เขาไม่เข้าใจและเหตุการณ์เข้าปราบปรามของเจ้าหน้าที่บ้านเมือง รวมทั้งความรู้สึกที่มีต่อพ่อแม่ที่เขากำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงอย่างไม่คาดคิด
นอกจากนั้นภาพยนตร์ยังเป็นการผสมผสานหลายๆสิ่งหลายๆอย่างให้อยู่ในภาพยนตร์เรื่องเดียวอย่างไม่น่าเชื่อ ![]() ![]() ฟุตบอลเป็นสิ่งที่กล่าวในข้างต้นว่ามีบทบาทสำคัญอย่างไรกับคนบราซิล
ในภาพยนตร์ก็ใช้ภาพยนตร์เป็นเหมือนสัญลักษณ์ในการเชื่อมคนบราซิลผ่านมุมมองของเมาโร
กลุ่มคนชราชาวยิวที่เคร่งศาสนาแต่เมื่อบราซิลลงเตะพวกเขาก็พร้อมที่จะอ้าปากตะโกนดีใจและลืมตัวไปชั่วขณะ
กลุ่มนักศึกษาที่ต่อต้านรัฐบาลและมีแนวคิดสังคมนิยมเมื่อบราซิลลงเตะกับเชคโกฯประเทศหนึ่งที่ปกครองด้วยระบอบสังคมนิยม
ก่อนเตะพวกเขาก็เชียร์ประเทศสังคมนิยมและยกย่องเห็นดีเห็นงามกับแนวคิดสังคมนิยมแต่เมื่อบราซิลเริ่มทำประตูได้พวกนักศึกษาเหล่านั้นก็ลืมตัวพร้อมกับแหกปากตะโกนเชียร์ทีมชาติของเขาอย่างสนุกสนานเหมือนเป็นช่วงเวลาที่พวกเขาลืมการแบ่งแยกทางความคิดและกาต่อต้านไปชั่วขณะ
การเชื่อมฟุตบอลกับมิตรภาพยังปรากฏให้เห็นในเรื่องเล็กๆน้อยๆแต่เป็นมิตรภาพที่ยิ่งใหญ่
เมาโรกับเชอร์โมชายชราชาวยิวที่เขาเริ่มความสัมพันธ์ที่ค่อนข้างแย่ แต่เมื่อชายชรานำสิ่งของที่เขาลืมไว้ที่บ้านเป็นชิ้นส่วนชองเล่นเกมฟุตบอลที่เขาลืมไว้ที่บ้านที่เบโล
ฮอริซอนเต้ มาให้เขา มุมมองของเขากับชายชราเริ่มเปลี่ยนไปและกลายเป็นการเริ่มมิตรภาพต่างวัยที่เขาลืมไม่ลง
ในขณะเดียวกันความสัมพันธ์ของเมาโรกับฮานนาเด็กหญิงรุ่นเดียวกันก็สานสัมพันธ์ผ่านส่วนหนึ่งของฟุตบอล
เมาโรสะสมสติ๊กเกอร์นักฟุตบอลและเป็นเรื่องปกติที่เขาขาดบางภาพและวันหนึ่งฮานนาก็ยื่นสิ่งหนึ่งมาให้เขาแล้วบอกว่าเป็นของขวัญวันเกิด
เมาโรเปิดดูเห็นเป็นภาพสติ๊กเกอร์นักฟุตบอลที่เขาขาดอยู่รูปหนึ่งพอดี
แต่เขาก็หันไปหาฮานนาและบอกว่าแต่วันเกิดของเขาไม่ใช่วันนี้ยังอีกนาน
ฮานนาหันมาแล้วยักไหล่พร้อมกับเอ่ยปากบอกพร้อมรอยยิ้มว่า “แล้วไง”
บางทีสัมพันธภาพที่ภาพยนตร์เจตนาบอกถึงการเติมเต็มแทนส่วนที่เมาโรหายไปจากการที่พ่อแม่เขาไม่อยู่และใช้ฟุตบอลเป็นตัวเชื่อมเข้าไว้ด้วยกันไม่ต่างกับชีวิตของชาวบราซิลส่วนใหญ่ ![]() ![]() คำกล่าวของเมาโรตอนต้นเรื่องที่อธิบายเหตุการณ์สำคัญของชีวิตเขาได้บอกความนัยบางอย่างของสภาวะสังคม
การเมือง ในประเทศบราซิล เมาโร อ้างคำพูดของปู่ที่ว่าพ่อของแกน่ะหัวรั้นและสายอยู่เป็นประจำ
แต่แม่บอกว่าหัวรั้นทั้งคู่แหล่ะ พวกเขาก็เลยเหลี่ยงที่จะไม่เจอกัน
แต่วันนั้นพ่อผมก็มาตรงเวลาแต่ก็สายไปอยู่ดี ปู่ไม่ได้ไปสายแต่จากไปอย่างสงบ
(พ่อมาส่งเมาโรที่บ้านปู่แต่ปู่ไม่มารับเพราะปู่เสียชีวิตไปก่อน)
บางทีมันอาจบอกว่าประเทศบราซิลในช่วงเวลาที่ความสุขมาตรงเวลาก็คือการเป็นแชมป์บอลโลกภายใต้การนำของเปเล่
แต่สภาพของประเทศกลับอยู่ในช่วงเวลาที่ไม่เหมาะสม รัฐบาลเผด็จการ
การปราบปรามนักศึกษาและพวกที่ไม่เห็นด้วยโดยกำลังเจ้าหน้าที่จับกุม
บางทีถ้าทุกอย่างมาในเวลาพอดีกันความสุขที่ได้รับก็คงมากกว่านี้ แม้ว่าหลายคนจะบอกว่าการคลั่งฟุตบอลเป็นสิ่งที่รัฐบาลเผด็จการชุดนั้นทำเพื่อปกปิดความเลวร้ายของพวกเขา แต่ผู้กำกับเรื่องนี้
เคา แฮมเบอร์เกอร์ ที่ผ่านข่วงเวลาก็เติบโตในยุค 70 และนำความมทรงจำของเขามาสร้างภาพยนตร์เคยให้สัมภาษณ์ว่า
"มีคนกล่าวว่าฟุตบอลเป็นเหมือนศาสนาหรือสิ่งเสพติดของชาวบราซิล
และก็มีหลายคนที่เชื่อว่ารัฐบาลเผด็จการในช่วงเวลานั้นใช้ฟุตบอลเป็นเครื่องมือในการบดบังความเลวร้ายของรัฐบาลเผด็จการในเวลานั้น
แต่เขา(เคา) ไม่เห็นด้วยกับแนวคิดนี้เพราะ เขาสามารถแยกระหว่างความทรงจำที่ดีของการเป็นแชมป์โลกในครั้งนั้นออกจากความเป็นเผด็จการอย่างสิ้นเชิง"
![]() ภาพความแตกต่างทางด้านการเมือง ศาสนา
และความหลากหลายของกลุ่มคนในเมืองเซาเปาโลสะท้อนออกมาให้เห็นอย่างชัดเจน
ท่ามกลางการปกครองโดยรัฐบาลเผด็จการทางทหาร
แต่ประชาขนต่างมีความหากหลายทางแนวคิดอยู่มาก และถ้าภาพยนตร์อย่าง
|
ถึง บล็อกเกอร์ ทุกท่าน โปรดอ่าน
ด้วยทาง บริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จำกัด (มหาชน) ได้ติดต่อขอความร่วมมือ มายังเว็บไซต์และเว็บบล็อกต่าง ๆ รวมไปถึงเว็บบล็อก OKnation
ห้ามให้มีการเผยแพร่ผลงานอันมีลิขสิทธิ์ ของบริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ฯ บนเว็บ blog โดยกำหนดขอบเขตของสิ่งที่ห้ามทำ และสามารถทำได้ ดังนี้
ห้ามทำ - การใส่ผลงานเพลงต้นฉบับให้ฟัง ทั้งแบบควบคุมเพลงได้ หรือซ่อนเป็นพื้นหลัง และทั้งที่อยู่ใน server ของคุณเอง หรือ copy code คนอื่นมาใช้ - การเผยแพร่ file ให้ download ทั้งที่อยู่ใน server ของคุณเอง หรือฝากไว้ server คนอื่น สามารถทำได้ - เผยแพร่เนื้อเพลง ต้องระบุชื่อเพลงและชื่อผู้ร้องให้ชัดเจน - การใส่เพลงที่ร้องไว้เอง ต้องระบุชื่อผู้ร้องต้นฉบับให้ชัดเจน จึงเรียนมาเพื่อโปรดปฎิบัติตาม มิเช่นนั้นทางบริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ฯ จะให้ฝ่ายดูแลลิขสิทธิ์ ดำเนินการเอาผิดกับท่านตามกฎหมายละเมิดลิขสิทธิ์
OKNATION
กฎกติกาการเขียนเรื่องและแสดงความคิดเห็น
1 การเขียน หรือแสดงความคิดเห็นใด ๆ ต้องไม่หมิ่นเหม่ หรือกระทบต่อสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ หรือกระทบต่อความมั่นคงของชาติ
2. ไม่ใช้ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่นในทางเสียหาย หรือสร้างความแตกแยกในสังคม กับทั้งไม่มีภาพ วิดีโอคลิป หรือถ้อยคำลามก อนาจาร 3. ความขัดแย้งส่วนตัวที่เกิดจากการเขียนเรื่อง แสดงความคิดเห็น หรือในกล่องรับส่งข้อความ (หลังไมค์) ต้องไม่นำมาโพสหรือขยายความต่อในบล็อก และการโพสเรื่องส่วนตัว และการแสดงความคิดเห็น ต้องใช้ภาษาที่สุภาพเท่านั้น 4. พิจารณาเนื้อหาที่จะโพสก่อนเผยแพร่ให้รอบคอบ ว่าจะไม่เป็นการละเมิดกฎหมายใดใด และปิดคอมเมนต์หากจำเป็นโดยเฉพาะเรื่องที่มีเนื้อหาพาดพิงสถาบัน 5.การนำเรื่อง ภาพ หรือคลิปวิดีโอ ที่มิใช่ของตนเองมาลงในบล็อก ควรอ้างอิงแหล่งที่มา และ หลีกเลี่ยงการเผยแพร่สิ่งที่ละเมิดลิขสิทธิ์ ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบหรือวิธีการใดก็ตาม 6. เนื้อหาและความคิดเห็นในบล็อก ไม่เกี่ยวข้องกับทีมงานผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซต์ โดยถือเป็นความรับผิดชอบทางกฎหมายเป็นการส่วนตัวของสมาชิก คลิ้กอ่านเงื่อนไขทั้งหมดที่นี่"
OKnation ขอสงวนสิทธิ์ในการปิดบล็อก ลบเนื้อหาและความคิดเห็น ที่ขัดต่อความดังกล่าวข้างต้น โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ต่อเจ้าของบล็อกและเจ้าของความคิดเห็นนั้นๆ
|
||
![]() ![]() |
<< | มกราคม 2010 | >> | ||||
อา | จ | อ | พ | พฤ | ศ | ส |
1 | 2 | |||||
3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8 | 9 |
10 | 11 | 12 | 13 | 14 | 15 | 16 |
17 | 18 | 19 | 20 | 21 | 22 | 23 |
24 | 25 | 26 | 27 | 28 | 29 | 30 |
31 |