รักจา ชอบจา ต้องลืมคำว่าเสียใจ จริงๆต้องเป็นรักจา ชอบจา ต้องลืมเรื่องอื่นไปนอกจากต่อย เตะ แล้วก็ต่อยเตะ และคงเป็นเช่นนี้อีกนานถ้าภาพยนตร์แนวนี้ของจา พนม หรืออินเตอร์หน่อยก็โทนี่ จา กลายเป็นภาพยนตร์ที่ทั่วทั้งโลกเฝ้าคอยเหมือนคำโฆษณา(ชวนเชื่อ)ของค่ายหนัง ถ้าจะลองนึกดูว่าภาพยนตร์เรื่องไหนที่ผู้ชมคิดว่าดีที่สุดก็คงไม่พ้น องค์บากฉบับออริจินัล ที่นอกจากจะตื่นตาตื่นใจกับเพลงมวยยังมีเนื้อเรื่องที่มีมิติตั้งแต่การขโมยเศียรพระ การเข้ากรุงฯของจา พนม จนต้องผชิญกับวายร้ายที่มีสีสันคนหนึ่งของภาพยนตร์ไทยที่แสดงโดยคุณสุเชาว์ พงษ์วิไล หรือแม้แต่ฉากชกมวยใต้ดินก็เป็นฉากที่สร้างความทรงจำได้เป็นอย่างดี แต่สำหรับเรื่องถัดๆมาผู้ชมคงจำได้แต่คำว่า “ช้างกูอยู่ไหน” บางทีการเป็นตัวประกอบในภาพยนตร์ของหม่ำหลายๆเรื่องยังมีอะไรน่าจดจำยิ่งกว่า เมื่อองค์บาก 2 ออกสู่สายตาประชาชนหลังจากมีปัญหามานาน ไม่นานนักก็ส่งองค์บาก 3 เพื่อปิดไตรภาคในขณะที่กระแสยังมึนงงไม่หาย

องค์บาก 3 เป็นตอนต่อจากองค์บาก 2 และคนละเรื่องจากองคฺ์บาก 1 ที่ผู้ชมคงจะคาดเดาเนื้อเรื่องได้ไม่ยากจากหนังภาค 2 และตัวอย่างหนังภาค 3 ที่กระตุ้นแฟนๆทั่วโลกที่เฝ้ารอคอยใจจะขาด ภาพลักษณ์ของพระเอกของที่มีนามว่า “เทียน” ยังคงเหมือนเดิม ถอดเสื้อ มอมแมม ดุดัน รวดเร็ว และตายยากเหมือนเดิม นี่ถ้าบรูซ วิลลิส เลิกเล่น Die Hard เมื่อใด จา พนมจองภาคต่อได้ทันที เพราะตั้งแต่ดูภาพยนตร์มานี่น่าจะเป็นพระเอกที่ตายยากที่สุด ส่วนที่ลดลงไปเยอะจากภาคนี้ก็คือการสู้ประเภท 1 ต่อ ร้อย หรือกี่ร้อยก็ไม่รู้ แต่ไปเพิ่มการถูกทุบมากขึ้นดั่งที่เห็นในตัวอย่างนั่นแหล่ะ ในด้านบทบู๊เหมือนตั้งใจจะหาความแตกต่างจากภาคก่อนๆ ภาคนี้จึงผสมผสานไปตั้งแต่คัมภีร์เปลี่ยนเส้นเอ็นของวัดเส้าหลิน เพลงมวยไทเก็กของจางซันฟง แถมที่ออกข่าวมาเพิ่มก็คือการผสมผสานมวยกับนาฏศิลป์ แต่ก็ดูเหมือนกล้าๆกลัวในการใช้เพลงมวยเหล่านั้น ส่วนใหญ่จึงเป็นรูปลักษณ์การต่อสู้ที่คุ้นตาของจา พนม คนเดิมเพราะจะไปใช้เพลงมวยคนอื่นมากก็คงกลัวจะขาดจุดยืนไป

สมมติว่าไม่ได้ชมภาค 2 มาจะชมภาคนี้รู้เรื่องหรือเปล่าก็คงบอกว่าไม่น่าจะมีปัญหา ถ้าเป็นแฟนหนังจีนสมัยดั้งเดิมก็คงจะชินตากับพล็อตเรื่องและการต่อสู้แนวนี้มาค่อนข้างมากเพียงแต่เปลี่ยนฉากมาอยู่ในป่าและไม่ใช่หน้าตาแบบชาวจีน สิ่งที่ต่างจากภาคก่อนก็คือเรื่องนี้เริ่มมีอิทธิฤทธิ์ ปาฏิหาริย์ ประเภท ชกต่อยไม่พอมีเปลี่ยนดิน ฟ้า อากาศ แถมยังมีตัวร้ายที่เข้าขั้นเรียกว่าโจ๊กเกอร์แห่งกรุงอโยธยาก็ว่าได้ เพราะมีฝีมือไม่พอแต่เข้าขั้นโรคจิตอย่างแรงที่ชื่อว่าสงกาแสดงโดยเดี่ยวหรือเรียกง่ายๆว่าอีกาแมนก็ดูเหมาะดี เพราะดูมีเอกลักษณ์ดีเมื่อตอนเปิดตัว แต่น่าเสียดายส่วนที่คนดูน่าจะได้ประโยชน์จากการนำนักแสดง 2 คนที่น่าจะโชว์เพลงมวยได้ดีที่สุดของเมืองไทยเวลานี้มาเจอกันกลับมีน้อยมากแถมแทบจะผิดคาดเลยก็ว่าได้ เหมือนที่จั่วหัวไว้ตามชื่อเรื่องเนื่องจากลักษณะของจา พนม ในบทชื่อเทียน มีพลังวิเศษ เหมือนหนังซูเปอร์ฮีโร่ทั่วๆไปนั่นคือฆ่าไม่ตาย แถมยังมีพลังในการเรียนเพลงมวยต่างๆได้มากมายแทบจะเพลงยุทธ์ที่มีในพื้นพิภพนี้ แถมยังถูกกำหนดให้มาเป็นผู้เดียวที่จะกำจัดอวิชชา (ฟังดูคุ้นๆ) ดังนั้นจึงไม่แปลกเลยที่องค์บาก 3 จะเป็นเรื่องราวของซูเปอร์ฮีโร่ที่มีพลังวิเศษและออกปราบเหล่าร้ายเฉกเช่น แบทแมน ซูเปอร์แมน หรือสไปเดอร์แมน เพียงแต่ยุคอโยธยาคงหาเครื่องมือวิทยาศาสตร์มาช่วยคงยังไม่มี หรือจะหาชุดเท่ๆมาสวมใส่พรางตัวคงจะหายาก เพราะภาพลักษณ์มอมแมม ผมเผ้ารุงรัง เสื้อขาด คงจะเป็น “ไพร่” ตัวจริงแน่นอน(ไม่เกี่ยวกับสถานการณ์ทางการเมืองใดๆทั้งสิ้น) ก็คงยากจะหาอัฐจากไหนไปซื้อหรือตัดชุดได้แน่นอน ดังนั้นบทสรุปของภาพยนตร์เรื่องนี้ก็คงไม่เกินเลยที่จะกล่าวว่าเป็น ซูเปอร์ฮีโร่ฉบับ “ไพร่” ดีๆนี่เอง