เด้งฟ้าผ่านายอำเภอรือเสาะนราธิวาสดังไม่แพ้คดีปริญญ์ของประชาธิปัตย์ รวมทั้งไม่อยากให้จบแค่ย้าย “หากจะแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน”
อุสตาซอับดุชชะกูรฺ บินชาฟิอีย์ (อับดุลสุโก ดินอะ)
[email protected],

ด้วยพระนามของอัลลอฮฺผู้ทรงเมตตาปรานีเสมอ มวลการสรรเสริญมอบแด่อัลลอฮฺผู้ทรงอภิบาลแห่งสากลโลก ขอความสันติสุขแด่ศาสนทูตมุฮัมมัด และผู้เจริญรอยตามท่าน รวมทั้งผู้อ่านทุกท่าน

22 เมษายน 2565 หลังจากสื่อได้รายงานการย้ายนายอำเภอรือเสาะ เข้ากรุ หลังถูกร้องเรียน (https://www.csitereport.com/newsdetail?id=0000023739) ปรากฎว่าโลกโซเชี่ยลชายแดนภาคใต้ชายแดนใต้เห็นด้วยในคำสั่งนี้พร้อมเรียกร้อง ให้ตรวจสอบเคสนี้อย่างโปร่งใส เป็นธรรม ตรวจสอบได้ ให้เอาผิดทั้งวินัยและอาญาโดยเฉพาะประเด็นเรื่องชู้สาว นับว่าเป็นเรื่องดังเคียงข้างข่าวฉาว ปริญญ์ พานิชภักดิ์ อดีตรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ที่กำลังส่งผลกระทบต่อพรรคอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
#

#เปิดหนังสือร้องเรียนที่มานายอำเภอโดนเด้งฟ้าผ่า

ก่อนที่นายอำเภอรือเสาะ จังหวัดนราธิวาสจะโดนเด้งย้ายฟ้าผ่านั้น กลุ่มกำนันและผู้นำภาคประชาชน(รวมทั้งผู้นำศาสนา)ได้ทำหนังสือเปิดผนึกผ่านสื่อท้องถิ่นชายแดนใต้แต่อีกฉบับถึงปลัดกระทรวงมหาดไทย(6ข้อเพราะข้อ6และ7รวมกันเป็นหนึ่งข้อ)และถูกส่งต่ออย่างรวดเร็วในโลกโซเชี่ยล
เนื้อหาในหนังสือดังกล่าวกล่าวถึงพฤติกรรมเจ็ดข้อของนายวิชาญ ชัยเศรษฐสัมพันธ์ นายอำเภอรือเสาะ จว.นราธิวาสที่จะกระทบต่อความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง ประกอบกับวินัยข้าราชการพลเรือนอันไม่เหมาะสม มีดังนี้

ข้อ๑ มีพฤติกรรมปลุกปั่นปลุกระดมกำนันผู้ใหญ่บ้านชวนขับไล่ ผอ.สสจ.นราธิวาส และชักอาวุธปืนข่มขู่ต่อหน้าเพื่อนข้าราชการในขณะปฏิบัติหน้าที่

ข้อ๒ มีพฤติกรรมเชิงชู้สาวภายในที่ว่าการอำเภอ จนทำให้หญิงสาวรายหนึ่งต้องยื่นใบลาออกจากครูบัณฑิตอาสาเพื่อความปลอดภัยต่อชีวิตและทรัพย์สินของครอบครัว

ข้อ๓ ขาดการใส่ใจและตรวจสอบดูแลผู้ใต้บังคับบัญชา เช่น กรณีนายแมแย แซะเลาะ กำนันตำบลสมัคคี ได้ถูกคนร้ายลอบวางระเบิดจนบาดเจ็บสาหัสเกือบถึงแก่ชีวิต รวมถึงคดียิงผู้ใหญ่บ้านโคกสะตอ ไม่ได้รับการดูแลเยียวยาจากนายอำเภอรือเสาะจนกระทั่งถึงทุกวันนี้ เนื่องจากบุคคลดังกล่าวนับถือศาสนาอิสลาม จึงเป็นรังเกียจและเป็นปรปักษ์ จนทำให้ขวัญกำลังใจของผู้ปฏิบัติหน้าที่เสื่อมถอยลง

ข้อ๔ มีการข่มขู่ผู้นำศาสนาในพื้นที่ กรณีบุคคลที่ไม่เข้ารับวัคซีนโควิด๑๙ โดยวิธีการที่รุนแรง และกระทบต่อความรู้สึกซึ่งไม่เคยปรากฎในพื้นที่ ตลอดจนประชาชนเกิดความหวาดกลัวในพฤติกรรมที่ปรากฎ

ข้อ๕ มีพฤติกรรมส่วนได้ส่วนเสียในโครงการต่างๆในพื้นที่ อันผิดระเบียบว่าด้วยพัสดุสำนักนายกรัฐมนตรี

ข้อ๖ แสดงพฤติกรรมอันไม่เหมาะสมต่อวินัยราชการโดยการวาจาหยาบคายไม่สุภาพต่อประชาชนผู้ใช้บริการของรัฐ

ข้อ๗ มีการสั่งผู้ใต้บังคับชาทำการล๊อคประตูมัสยิดกลางรือเสาะ ในขณะที่ผู้นำศาสนาและบุคคลในศาสนิกกำลังประกอบกิจทางศาสนาโดยไม่มีการแจ้ง จนเกิดการขัดแย้งระหว่างผู้นำศาสนาและประชาชนกับนายอำเภอรือเสาะ
นอกจากเจ็ดประเด็นนี้แล้วยังมีคดีดัง (ที่ทั้งวงน้ำชาและโลกโซเชี่ยลเชิงลึก โจษขาน)การวางระเบิดลอบสังหารกำนันสามัคคีหลังจากกล้องวงจรปิดบริเวณที่จอดรถหน้าบ้าน สามารถบันทึกภาพได้ในเวลา ๐๐:๒๖:๔๐ น. ของกลางดึกวันที่ ๒๘ ส.ค.๖๔ พบภาพชายต้องสงสัยแต่งกายใส่เสื้อแขนยาว สวมกางเกงขายาว สวมไอ้โม่งปิดบังใบหน้า ได้ถือระเบิดเดินเข้ามาด้านขวาของตัวรถแล้วหลบเข้าไปใต้ท้องรถติดตั้งระเบิดซีโฟร์จุดชนวนระเบิดแบบไฟฟ้าหรือรีโมทคอนโทลควบคุมไปติดเอาไว้ใกล้กับถังน้ำมันแล้วออกมาในเวลา ๐๐:๓๓:๔๕ น. ต่อมานายแมแย แซะเลาะ กำนันตำบลสามัคคี ได้ขับรถออกจากที่พักถึงเส้นทาง ต.สะเตงนอก อ.เมืองยะลา ได้เกิดระเบิดขึ้นในช่วงสาย เมื่อเวลาประมาณ ๑๐.๔๒ น.นั้น https://www.dailynews.co.th/news/212409/

ตำรวจ สภ.เมืองยะลาและชุดร่วม ได้เข้าไปสืบสวนคดี ปรากฎว่า สามารถควบคุมผู้ต้องสงสัยได้จำนวน ๒ ราย คือจ่าชิน และ หมู่อ้อย สังกัด ร้อย ร. ๔๖๐๓

หลังจากที่นายทหารสองนายถูกออกหมายจับเรื่องระเบิดใต้ท้องรถของกำนันสามัคคีนั้น ต่อมานายชาคริต รองสวัสดิ์ หรือนายช่างปืน ผ.อ ชลประทานคุมทั้งสามจังหวัด ได้เข้าขอยื่นประกันตัวออกมา”(อ้างอิง https://www.facebook.com/1032938323508946/posts/2499006726902091/?d=n)

#ประเด็นนายอำเภอรือเสาะ:ไม่อยากให้จบแค่ย้าย “หากจะแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน”รวมทั้งเรียกร้องสื่อให้เกาะติดอย่างใกล้ชิด
ซึ่งเป็นเรื่องละเอียดอ่อนนอกจากนี้ยังเรียกร้องอีกหลายๆเคสก่อนหน้านี้และปัจจุบันซึ่งเป็นปัญหาใต้พรมมานาน “ที่มีพูดและนินทาแค่วงน้ำชา” หนึ่งในปัจจัยปัญหาชายแดนภาคใต้ นายสายัณห์ สุขจันทร์ ให้ทัศนะว่า “ต้นตอปัญหาภาคใต้ เริ่มจากในอดีต มีข้าราชการประเภทนี้เเหละ ที่ไปสร้างผลกระทบต่อการเป็นอยู่เเละความรู้สึกของประชาชนในพื้นที่ จนเป็นเหตุให้ปัญหาลุกลามมาถึงปัจจุบัน ชื่นชมกำลังผู้ใหญ่ เเละผู้นำศาสนาในพื้นที่ ที่กล้าหาญขับไล่ข้าราชการประเภทนี้ให้ออกไปให้พ้นพื้นที่ เเละฝากถึงหน่วยงานรัฐ การจะส่งใครไปปฎิบัตหน้าที่ในพื้นที่ สังคมพหุวัฒนธรรม อย่าง3จังหวัดชายแดนภาคใต้ ควรกลั่นกรองคนที่มีวุฒิภาวะ ในการเข้าใจ เข้าถึง เเละพัฒนา ตามเเนวทางที่ ในหลวง ร.9 เคยให้ไว้ด้วยนะครับเเละไม่ควรทำเเค่ย้ายเข้ากรม ควรมีบทลงโทษทางวินัยร้ายเเรงตามไปด้วยครับ” ในขณะที่อีกท่านหนึ่ง(ขอสงวนนาม)ให้ทัศนะว่า “ ภัยคุกคามที่มีมาช้านานควรเอากรณีนี้เป็นต้นแบบในการเชือดไก่ให้ลิงดู” ส่วน ผศ.ดร.อรุณี กาสยานนท์รองเลขาธิการพรรคเพื่อไทยเสนอ “รื้อถอนวัฒนธรรมข่มขืน”โดยกล่าวว่า เราต้องทำทุกวิธีเพื่อรื้อถอนวัฒนธรรมนี้ทิ้งไป เพื่อยุติการข่มขืน เพื่อให้ความเป็นธรรมกับเหยื่อ เพื่อประกาศสร้างสังคมที่ปลอดภัย ที่ไม่ว่าผู้กระทำผิดจะเป็นใคร จะเป็นผู้มีอำนาจวาสนาเพียงไหน ไม่ว่าจะ “ยิ่งใหญ่คับฟ้า” หรือ “คนธรรมดาเดินดิน” ไม่ว่าจะเป็นนักการเมืองหรือคนทั่วไป ไม่ว่าใครหน้าไหน “จะต้องไม่มีใครได้รับใบอนุญาตให้ข่มขืนอย่างชอบธรรมอีกต่อไป”มาร่วมรื้อถอนวัฒนธรรมข่มขืนให้หมดไปจากสังคมมาร่วมคืนความยุติธรรม เสริมพลังและกำลังใจให้กับเหยื่อทุกรายมาร่วมสร้างสังคมที่ปราศจากการข่มขืน การลวนลาม และการคุกคามทางเพศทุกกรณีและ มาร่วมรื้อฟื้นสังคมที่ปลอดภัยสำหรับพวกเราและลูกหลานของเราทุกคน . #ใครจะเป็นฮีโร่สามารถตรวจสอบอย่างเป็นธรรมและตรวจสอบได้ พร้อมทั้งมิใช่ทำเพื่อเกมส์การเมืองนอกจากนี้ได้เรียกร้องสื่อให้เกาะติดเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด