ท่านทั้งหลายอย่านึกว่าข้าพเจ้าจำเอาคำสอนของพระพุทธเจ้ามาแสดงแก่ท่านเลย แต่ข้าพเจ้านำคำสอนของพระพุทธเจ้าไปปฏิบัติตาม แล้วจึงนำมาแสดง...
ทุกๆช่วงเช้าและช่วงเย็นของแต่ละวัน บรรดาแม่ชีและอุบาสิกาที่พักอาศัยอยู่ในสถานปฏิบัติธรรมแห่งนี้ จะนัดหมายมารวมตัวกันที่ หอประชุมธรรมวิจัย เพื่อทำวัตรสวดมนต์และรับฟังการบรรยายธรรมจากอดีตเจ้าสำนักคนที่หนึ่ง หัวข้อการบรรยายมีมากมายหลายเรื่อง แต่ละเรื่องมักจะมุ่งตรงไปสู่จุดหมายเดียวกันทั้งนั้นคือ การปฏิบัติด้วยความเพียรเพื่อการหลุดพ้น ธรรมะไม่ใช่เรื่องแปลก หากแต่การบรรยายธรรมะในหอประชุมธรรมวิจัยหลังนี้กลับเป็นเรื่องที่แปลก โดยเฉพาะกับอาคันตุกะหน้าใหม่ที่ก้าวเข้ามาเยือนอย่างพวกเรา..
การกำหนดจิตให้มีสติตั้งมั่น ต้องเป็นการฝึกจริง ถ้าเป็นการฝึกอ่อนแอแล้วไม่ได้เรื่อง จะมีแต่ความพ่ายแพ้ เพราะการฝึกอบรมจิตนี้ต้องทำจริง เพียรจริง แต่ไม่ใช่เอาความอยากเข้ามาจัดจนเกินไป อุบาสิกาท่านหนึ่งที่ต้อนรับพวกเราได้อธิบายว่า เสียงการบรรยายธรรมที่พวกเราได้ยินอยู่นี้เป็นเสียงของ อุบาสิกากี นานายน หรือ ท่าน ก. เขาสวนหลวง ผู้ก่อตั้งสำนักปฏิบัติธรรมแห่งนี้ ปัจจุบันท่าน ก. เขาสวนหลวงได้ล่วงลับไปนานมากกว่าสามสิบปีแล้ว ดังนั้นเสียงที่พวกเราได้ยินจึงเป็นเสียงที่ได้บันทึกเอาไว้และนำมาเปิดทุกครั้งหลังจากการทำวัตรสวดมนต์สิ้นสุดลง
โดยส่วนตัวแล้วผมเคยผ่านตากับชื่อ ท่าน ก. เขาสวนหลวง แต่ไม่เคยทราบเลยว่าท่านเป็นใคร มาจากไหน ทำอะไร ความเข้าใจเบื้องต้นครั้งแรกผมคิดว่าท่านคือนักเขียนหนังสือมีชื่อเสียงคนหนึ่งเท่านั้น จึงไม่ได้สนใจที่จะสืบค้นต่อ จนเมื่อได้อ่านบทความตอนหนึ่งที่หลวงตามหาบัวกล่าวรับรองท่าน ก. เขาสวนหลวง ว่า ธรรมที่ท่านอาจารย์ได้แสดงให้พวกเราฟังนั้น สามารถยึดถือเป็นหลักประพฤติปฏิบัติได้ถูกต้องไม่มีผิดพลาด แม้เปอร์เซ็นต์เดียว ความสนใจครั้งนี้ จึงต่อยอดด้วยการที่ผมต้องพาตัวเองเข้าไปพึ่งบริการจากเพื่อนต่อ(มนุษย์ล่องหน) ก็ได้ทราบความว่าท่าน ก. เขาสวนหลวงเป็นสุภาพสตรี ที่มีจิตใจแน่วแน่และมุ่งมั่นอยู่ในการปฏิบัติธรรม ชนิดที่ว่าสุภาพบุรุษอย่างเราๆท่านๆต้องยอมคารวะในความเป็นตัวตนและคุณธรรมของท่าน..
เรื่องราวของ ท่าน ก. เขาสวนหลวง สำหรับคนบางคนแล้วอาจจะไม่มีความหมายหรือความน่าสนใจอะไรเป็นพิเศษ แต่สำหรับผมแล้วต้องยอมรับว่าเรื่องราวของท่านนับเป็นเรื่องวิเศษอันดับต้นๆของชีวิตน้อยๆของผมเลยทีเดียวครับ เรื่องวิเศษที่ผมว่าก็คือการที่สุภาพสตรีท่านหนึ่ง ได้นำพาตนเองเข้าไปสู่เส้นทางของพระพุทธศาสนา โดยเน้นการปฏิบัติอย่างหนักหน่วงพร้อมกับปฏิเสธเรื่องภูตผี วิญญาณ สิ่งเร้นลับต่างๆ ฯลฯ คงเหลือสิ่งที่ยอมรับอยู่อย่างเดียวคือพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าเท่านั้นที่เป็นเครื่องนำทางไปสู่จุดหมายในชีวิตของท่าน นั่นคือ นิพพาน
การปฏิบัติของท่านไม่ได้แหวกแนวหรือพิสดารอะไรเลย ตรงกันข้ามกับเป็นเรื่องที่ใครก็สามารถปฏิบัติได้ ดังนั้นความแตกต่างจึงอยู่ตรงที่ ใครล่ะสามารถปฏิบัติได้แข็งแรงกว่ากัน การปฏิเสธความสุขทางโลก รักษาพรหมจรรย์ชั่วชีวิต ทำให้ท่านได้ปลีกตัวออกไปหามุมสงบของชีวิตเพื่อเป็นการกำจัดกิเลส ตลอดจนสิ่งยั่วยุต่างๆในทางโลก เล่ากันว่าสถานปฏิบัติธรรมที่ท่านได้สร้างขึ้นมา เกิดจากการที่ท่านและครอบครัวของคุณลุง คุณป้าของท่านได้เข้ามาดำเนินการปรับปรุงและพัฒนาวัดร้างแห่งหนึ่งบริเวณเชิงเขา ซึ่งจากวันที่ท่านได้เริ่มเข้ามาปฏิบัติธรรมในสถานที่แห่งนี้ นับเป็นเวลานานกว่าสิบปีทีเดียวกว่าจะสร้างศรัทธาให้คนเข้ามาร่วมปฏิบัติธรรมกับท่าน
แล้วตลอดระยะเวลาสิบกว่าปีนั้นล่ะ ท่านทำอะไรอยู่.. แน่ละ...คงจะไม่ใช่การออกไปประโคมข่าวหรือออกโฆษณาตามสื่อต่างๆ... หากแต่ท่านใช้การวางตัว การประพฤติตัว การชี้แนะและการขนาบ จนสามารถเกี่ยวมัดจิตใจและสร้างความเชื่อถือให้กับบุคคลทั่วไป จะว่าไปแล้วมันก็เป็นเรื่องที่น่าแปลกใจกับการที่สุภาพสตรีท่านหนึ่งต้องเข้ามาอาศัยอยู่ท่ามกลางป่าเขา โดยไม่ถูกรบกวนจากเพศตรงข้ามหรือสัตว์ร้ายทั้งปวง อะไรล่ะ ที่เป็นเกราะคุ้มครองให้ท่านอยู่ได้อย่างปกติสุข.. ความปกติสุขที่ว่านี้ได้ยังผลสืบเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน
ไม่เคยปรากฏข่าวเลยว่าสุภาพสตรีที่เข้ามาบำเพ็ญศีลในสำนักปฏิบัติธรรมกลางป่าแห่งนี้ถูกข่มขืน ถูกงูกัด ถูกสัตว์ร้ายคาบไปกินหรือแม้แต่ถูกรบกวนจากโจรผู้ร้าย ฯลฯ แต่ขณะเดียวกันทุกคนกลับอยู่กันอย่างปกติสุขท่ามกลางป่าเขา ท่ามกลางธรรมะ ท่ามกลางความศรัทธา อยู่พักอาศัยกันแบบพึ่งพาและพอเพียง มีน้ำใช้สอยตามอัตภาพ เรื่องไฟฟ้าไม่ต้องพูดถึง ทั้งสำนักเปิดบริการพลังงานไฟฟ้าแค่สามจุดคือ โรงครัว เรือนพยาบาลและยามที่ต้องใช้เครื่องสูบน้ำ
นอกจากนั้นผู้ที่พักอาศัยตลอดจนสุภาพสตรีที่เข้ามาปฏิบัติธรรมจะมีเพียง แสงอาทิตย์นำทางในเวลากลางวัน แสงจันทร์นำพายามค่ำคืน แสงจากเปลวเทียนยามที่ต้องค้นหาของในที่พัก แต่สิ่งสำคัญที่ทุกคนต่างก็มีคือ แสงสว่างจากศรัทธาในพระธรรมนำทางไปสู่จุดหมายของชีวิต ซึ่งแสงสว่างที่ทุกคนได้รับถูกจุดประกายขึ้นจากประมุขของสำนักคนแรกที่มีนัยน์ตาค่อนข้างมืดสนิทและใช้แสงสว่างจากศรัทธาในพระธรรมนำทางไปสู่จุดหมายของชีวิตเช่นกัน.. ว่ากันว่าธรรมะของพระศาสดาเป็นแสงสว่าง เปรียบดั่งดวงประทีปที่ส่องให้เห็นความจริงและส่องให้เห็นได้ด้วยปัญญา จากกรุงเทพ พวกเรามุ่งหน้าเข้าตัวเมืองราชบุรี เลี้ยวไปทางอำเภอจอมบึง ผ่านหน้าเขางูไปพอสมควรเราก็จะถึงทางแยกเข้าสู่เขาสวนหลวง สามกิโลเมตรบริเวณปากทางเข้าเราก็จะถึงสถานที่แห่งนี้ครับ... อุศมสถาน สำนักปฏิบัติธรรม เขาสวนหลวง
เกิด หญิงจริงหนึ่งกล้า ผดุงธรรม มา ช่วยชี้ทางนำ เพื่อนพ้อง เพื่อ พ้นผ่านเรือนจำ ก้าวล้วง ทุกข์นา ธรรม ท่านที่ลั่นฆ้อง บ่รู้เลือนหาย... ท่าน ก. เขาสวนหลวง มีนามเต็มว่าอุบาสิกากี นานายน ท่านเกิดเมื่อวันที่ ๒๓ มิถุนายน ๒๔๔๔ ปีฉลู ณ ตำบลท่าแจ อำเภอเมือง จังหวัดราชบุรี บิดาของท่านชื่อ นายฮก นานายน มารดาของท่านชื่อ นางบุญมี นานายน และในจำนวนลูกทั้งหมดห้าคน ท่าน ก. เขาสวนหลวงคือบุตรสาวคนโตของครอบครัว
แท้จริงการเกิดมาเป็นมนุษย์นี้ เกิดมาเพื่อดับไฟกิเลส มิใช่เกิดมาเพื่อให้กิเลสเผาอยู่ทุกวันทุกคืน ถ้าเราเป็นฝ่ายเผากิเลส เราก็มีแต่ความสุขเย็น แต่ถ้ากิเลสเป็นฝ่ายเผาเรา เราก็สุกไหม้และเกรียมไปได้ในที่สุด ท่านเล่าว่าตอนที่ท่านอายุได้ประมาณ ๓-๔ ขวบ คุณแม่ของท่านได้สอนให้ท่านสวดมนต์ก่อนนอนทุกคืนและหากท่านเผลอนอนหลับโดยไม่ได้สวดมนต์ คุณแม่ของท่านก็จะปลุกท่านให้ลุกขึ้นมาสวดมนต์เสียก่อน จึงจะอนุญาตให้ท่านนอนต่อได้ ครั้นพอท่านอายุได้ ๖ ขวบ ท่านก็พบเห็นภาพคุณแม่ของท่านซึ่งขณะนั้นกำลังท้องแก่แต่ก็ยังคงทำงานอย่างหนัก เช่นการหาบน้ำจากแม่น้ำที่อยู่ใกล้ๆบ้าน ท่านจึงบอกคุณแม่ของท่านว่าท่านจะช่วยหาบน้ำบ้าง คุณแม่ของท่านจึงได้ตัดไม้กระบอกให้และท่านจึงได้หาบน้ำด้วยไม้กระบอกนั้นทุกวัน..
ในช่วงที่ท่านมีอายุ ๗ ขวบ ท่านได้มาอยู่กับญาติที่กรุงเทพ ได้รับค่าขนมวันละหนึ่งอัฐ ซึ่งท่านก็ไม่ได้นำเงินนั้นไปซื้อขนมกินเลย กลับเอาไปซื้อดอกไม้มาบูชาพระทุกวัน ต่อมาเมื่อท่านได้รับค่าขนมเพิ่มขึ้นเป็นวันละหนึ่งไพ ท่านจึงได้ซื้อข้าวที่เขาขายกระทงละหนึ่งไพ นำไปใส่บาตรทุกวัน จนเมื่อท่านได้กลับมาอยู่บ้านเดิมที่ราชบุรี คุณแม่ของท่านซึ่งปฏิบัติรักษาศีลอุโบสถอยู่เป็นประจำ ได้สอนท่านไม่ให้ทำบาปขณะเดียวกันคุณแม่ของท่านก็ไม่เคยพาท่านหรือลูกๆคนอื่นไปเที่ยวดูการละเล่นเลย
ว่ากันว่าความสุขในวัยเด็กก็มีไปอย่างหนึ่ง ความสุขในวัยหนุ่มสาวก็มีไปอย่างหนึ่ง วัยกลางคนก็มีไปอย่างหนึ่ง วัยแก่เฒ่าชราก็มีไปอีกอย่างหนึ่ง ไม่มีทางที่จะเหมือนกันหรือสับเปลี่ยนกันได้เลย... ท่าน ก. เขาสวนหลวงได้เริ่มรักษาศีลอุโบสถเมื่ออายุได้ ๒๔ ปี ท่านได้ศึกษาธรรมะด้วยตัวของท่านเองโดยการปฏิบัติธรรมควบคู่ไปกับการอ่านหนังสือธรรมะ ขณะเดียวกันท่านก็ยังหาโอกาสไปกราบขอความรู้ ความเข้าใจในธรรมจากครูบาอาจารย์หลายท่าน เช่น ท่านพุทธทาสภิกขุ ฯลฯ
เราบังคับโลกนอกตัวเราไม่ได้ก็จริง แต่เราสามารถควบคุม ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ให้สัมผัสโลกแต่ในลักษณะที่จะไม่เป็นพิษเป็นภัยแก่เราได้ โดยอาศัยธรรมะนั่นเอง ท่านเล่าว่าครั้งหนึ่งได้มีผู้ใหญ่มาชวนท่านไปเที่ยวงานประจำปี ท่านจึงได้ออกไปเที่ยว หลังจากที่ท่านได้ยืนดูอยู่ได้สักครู่ ท่านก็ได้นึกถึงศีลข้อที่ห้ามไม่ให้ดูการละเล่น การฟ้อนรำต่างๆ ทำให้ท่านเกิดความละอายใจ ท่านจึงได้ขออนุญาตผู้ใหญ่ท่านนั้นกลับบ้าน ท่านว่าหลังจากวันนั้นเป็นต้นมาท่านก็ไม่ได้ให้ความสนใจหรือออกไปดูการละเล่นอีกเลย มีเรื่องจริงที่ถูกบันทึกไว้ว่าเคยมีผู้มาบอกท่านว่า... เขามีอาจารย์เป็นสมเด็จและทำให้คนสำเร็จเป็นพระอรหันต์ได้ พร้อมกับคนผู้นั้นได้พยายามชักชวนให้ท่านไปดู ท่านจึงได้ตอบว่า...
กิเลสมันอยู่ที่ตัวเรา อาจารย์จะมาทำให้หมดกิเลสไม่ได้ เราต้องปฏิบัติละกิเลสด้วยตัวเองจึงจะได้ ฉันไม่ไปหรอก ถ้าอยากจะสำเร็จแบบนั้นก็ไปเถอะ หลังจากที่ท่านได้ปรนนิบัติสนองคุณบิดามารดาตามหน้าที่จนท่านทั้งสองถึงแก่กรรมแล้ว ในปี ๒๔๘๘ ขณะที่ท่านอายุได้ ๔๔ ปี ท่านจึงได้ปลีกตัวออกไปสู่ความสงบ ณ เขาสวนหลวง พร้อมกับอุบาสกเปลี่ยน รักแซ่และอุบาสิกาแดง รักแซ่
อุบาสิกาวัลย์ นานายน ได้บันทึกถึงเหตุการณ์ในช่วงนั้นไว้ว่า... .......หลังจากบิดาได้สิ้นชีวิตลง ดิฉันก็อยู่กับท่านเพียงสองคนเท่านั้น ไปไหนจึงต้องไปด้วยกันเสมอ ท่านปรารถอยู่เสมอว่า การอยู่บ้านเรือนและค้าขายเป็นภาระหนัก เราหาเงินได้สักก้อนหนึ่งแล้ว ไปหาที่สงบอยู่เพื่อปฏิบัติธรรมดีกว่า ท่านเทิดทูนบูชาชีวิตพรหมจรรย์อย่างเหลือเกิน ท่านชี้ให้เห็นว่า เรามีมือมีเท้ามีปัญญา ทำไมจะต้องไปเป็นทาสเขาทั้งกายและใจ คนอ่อนแอเท่านั้นที่ต้องพึ่งผู้อื่น ผลที่สุดก็ได้รับความทุกข์ตลอดชีวิต ต่อมาดิฉันก็ได้เปลี่ยนการค้าเล็กน้อยนั้น มาเช่าตึกทำการค้าอยู่ตลาดราชบุรี จนกระทั่งเกิดสงครามใน พ.ศ.๒๔๘๘ ตลาดราชบุรีได้ถูกระเบิด ดิฉันอพยพไปทำการค้าชั่วคราวอยู่ที่ปากน้ำ ท่านบอกว่าจะไม่ไปด้วยท่านจะไปอยู่เขาสวนหลวง ก่อนจะไป ด้วยความห่วงใยท่านได้ลงไปดูความเป็นอยู่ของดิฉันว่าจะอยู่กันเรียบร้อยหรือไม่ แล้วท่านก็ไปอยู่เขาสวนหลวงตั้งแต่นั้นมา
เขาสวนหลวงนี้ท่านเคยสนใจมาก่อนแล้ว เพราะว่ามีคุณลุงและคุณป้า ซึ่งเป็นพี่ชายคุณแม่อยู่ข้างหลังเขาคือคุณลุงเปลี่ยน รักแซ่และคุณป้าแดง รักแซ่ ภริยาของคุณลุงเปลี่ยน ทุกครั้งที่ท่านมาเยี่ยมคุณลุงและคุณป้า ท่านจะต้องมาที่เขาสวนหลวงเสมอ......... ตึกไสยาสน์ ว่างเปล่า เขาสวนหลวง ธรรมทั้งปวง อนัตตา อย่าหลงใหล กฎธรรมชาติ ธาตุขันธ์ มันเสื่อมไป เหตุปัจจัย ดับไม่เหลือ สิ้นเชื้อเอย...
อดีตที่ยิ่งใหญ่มักจะผ่านไปอย่างรวดเร็ว สิ่งที่คงเหลือไว้เป็นหลักฐานยืนยันความยิ่งใหญ่ของศรัทธา คือบริเวณนี้ครับ... อุบาสิกาใจดีคนเดิมพาพวกเรามาหยุดบริเวณไหล่เขาภายในสำนักปฏิบัติธรรมเขาสวนหลวง พร้อมกับถอดรองเท้าก่อนที่จะก้าวขึ้นไปกราบลงบนขั้นบันไดหินอ่อน และหันกลับมาแนะนำพวกเราว่า.. สถานที่แห่งนี้เป็นปูชนียสถานของตระกูลนานายนและบูรพาจารย์ของที่นี่
ตึกไสยาสน์ ที่บรรจุร่างของท่าน ก. เขาสวนหลวง (เจ้าสำนักคนแรก)
ตึกอนุสรณ์อุบาสิกาวัลย์ นานายน บรรจุร่างของอุบาสิกาวัลย์ นานายน (เจ้าสำนักคนที่สอง)
เจดีย์อุบาสกเปลี่ยน รักแซ่ ที่บรรจุอัฐิของอุบาสกเปลี่ยน รักแซ่ (ผู้ร่วมก่อตั้งสำนัก)
เจดีย์จาคธรรม ที่บรรจุอัฐิของแม่ชีสุมนา เฮงสวัสดิ์ (เจ้าสำนักคนที่สาม) จะว่าไปแล้วสิ่งก่อสร้างที่พวกเราเห็นในบริเวณดังกล่าวนอกจากจะเป็นการบ่งบอกให้เราพิจารณาเห็นถึงความไม่เที่ยงแล้ว สิ่งเหล่านี้ยังเป็นสัญลักษณ์บอกให้พวกเราทราบถึงความสุข.... ความสุขที่บรรดาลูกศิษย์ของสำนักปฏิบัติธรรมแห่งนี้ได้แสดง ความกตัญญู ต่อบูรพาจารย์ของพวกเขา หากว่าเราหันหน้าเข้าหาปูชนียสถาน ขวามือของพวกเราเมื่อเดินอ้อมกุฎิหลังน้อยจะเป็นเส้นทางสายหนึ่ง....
คงไม่มีใครรับรู้ถึงความยิ่งใหญ่ที่เกิดจากเส้นทางเล็กๆได้มากไปกว่าผู้ที่นำเรามาในตอนนี้หรอกครับ เพราะจากคำแนะนำทำให้พวกเราทราบว่า ถ้ำอุดมสันติแห่งนี้เป็นสถานที่นั่งปฏิบัติธรรมของท่าน ก.เขาสวนหลวง และมีนักปฏิบัติธรรมหลายรายที่สำเร็จการศึกษาในถ้ำแห่งนี้ ปัจจุบันถ้ำอุดมสันติยังคงเปิดใช้ทำกิจกรรมรองรับนักปฏิบัติธรรมรุ่นใหม่ที่หมุนเวียนเข้ามาแสวงหาความหลุดพ้น
มีคำกล่าวว่า กาลเวลาเปลี่ยน ใจคนเปลี่ยน แต่คำสอนของพระพุทธองค์ไม่เคยเปลี่ยนไปตามกาลเวลาหรือย้ายไปตามกระแสกิเลสของคน ตราบใดก็ตามที่เราไม่ละทิ้งการปฏิบัติ..
การปฏิบัติธรรมมีความสำคัญอยู่ที่การพิจารณา ถ้าไม่พิจารณา ปัญญาก็ไม่เกิด พระพุทธเจ้าทรงสอนให้พิจารณาและพิสูจน์จนกระทั่งมีการรู้แจ้งด้วยตนเอง จึงจะได้ที่พึ่งอย่างถูกต้อง ไม่ได้สอนให้พึ่งสิ่งที่มองไม่เห็นหรือทำไม่ได้...
การที่พวกเราได้มายืนอยู่ในที่สูงอย่างนี้ก็ดีไปอย่างครับ ทำให้พวกเราสามารถมองเห็นภาพรวมของสถานที่แห่งนี้ได้ชัดเจนขึ้น แต่เพื่อนๆเชื่อไหมครับว่าภาพของความชัดเจนในวันนี้ มันมีผลสืบเนื่องมาจากความยากลำบากของผู้ที่ได้ลงมือลงแรงในสมัยก่อน สำคัญคือแรงงานในสมัยนั้น มันคือแรงงานสตรีเสียเป็นส่วนใหญ่ เหตุผลใดเล่าครับที่เป็นมูลเหตุปัจจัยให้เกิดความร่วมมือร่วมใจในกิจกรรมครั้งนี้ แม่ชีสุนันทา ธนานันท์ จดบันทึกไว้ดังนี้ การทำงาน ทำด้วยใจจริงๆ ถ้อยทีถ้อยอาศัย ไม่ถือสากัน รู้เล็กรู้ใหญ่ การพูดก็ค่อยๆพูดจา แม้แต่งานส่วนตัวถ้าจำเป็นก็จะไปช่วยกัน ไม่ต้องจ้างคนงาน เป็นบรรยากาศของความอบอุ่นด้วยธรรมะอย่างเรียบง่ายแท้ๆ... ในสมัยรุ่นที่ท่าน ก. ยังอยู่ ยิ่งต้องบุกเบิกสร้างสำนัก สร้างกุฏิ สร้างศาลา ถนน ทำหน้าน้ำกันดินพัง คุณยายเกลื้อเล่าว่าต้องไปกลิ้งหิน หาหินบนเขาและมาตีให้ได้ขนาด แล้วนำมาเรียงทำหน้าน้ำกันดินพัง
สมัยก่อนยากจน นอกจากต้องทำกันเองแล้ว ยังไม่มีปูนที่จะใช้ยาหน้าน้ำอีกด้วย พอฝนหลากมา หน้าน้ำก็พังลงตามน้ำลงมา คุณยายบอกว่าใจแห้งหมดเลยและก็ตั้งหน้าตั้งตาซ่อมแซมกันใหม่ ทุ่มเททั้งกายและใจเพื่อให้ได้พ้นทุกข์ ให้ได้รู้ธรรม เห็นธรรม... ถามว่าเอาเวลาที่ไหนไปปฏิบัติ ปรากฏว่าทุกคนยังพร้อมเพรียงตรงต่อหน้าที่ ตรงต่อเวลาเป็นอย่างดี ขึ้นทำวัตรสวดมนต์เป็นเรื่องธรรมดา แต่การนอนกลางวันเป็นของแปลกจะถูกมองว่าไม่เหมาะสม เพราะเป็นเวลาที่กำหนดให้ทำความสงบในที่พักสวนตัว... ถ้าถึงเวลาสัญญาณระฆังแล้วยังมีเสียงหรือพูดคุยกัน หรือทำงาน คุณยายเล็ก สิทธิกิจ จะคอยถามไถ่ให้ได้ความ รวมถึงถ้าใครขาดทำวัตร ก็จะถูกถามด้วยเช่นกัน คนที่เกเรก็ไม่กล้า เด็กๆพากันกลัวและคอยระมัดระวัง ก็ทำให้เรียบร้อยดี..
กับเรื่องแนวคิดการร่วมมือร่วมใจและเคารพในระเบียบวินัย ไม่ได้มีแค่อุบาสิกาวัลย์ นานายน หรือแม่ชีสุนันทา ธนานันท์ หรือคุณยายเกลื้อ หรือคุณยายเล็ก สิทธิกิจ ฯลฯ ที่จะมีแนวคิดเช่นนั้น หากแต่แนวคิดในเรื่องเหล่านี้ล้วนเติบโตและขยายรากพันธุ์ลงในหัวใจของทุกคนในสำนักปฏิบัติธรรมเขาสวนหลวง จนกลายมาเป็นสิ่งที่นักวิชาการมักจะเรียกว่า วัฒนธรรม ใช่แล้วครับ วัฒนธรรมชุมชนของชาวเขาสวนหลวง ดวงตานอก ไม่มี มิเป็นไร ดวงตาใน สำคัญ นั้นมีอยู่ มองให้เห็น เกิดดับ จับตาดู จักรอบรู้ เท็จจริง ทุกสิ่งเอย...
มีนักปฏิบัติธรรมท่านหนึ่งได้กล่าวถึงลักษณะของท่าน ก. เขาสวนหลวง ไว้ว่า.. ท่าน ก. เขาสวนหลวง เป็นผู้หญิงผิวขาว ใส่แว่นดำ ใส่เสื้อขาว นุ่งผ้าถุงดำ ปลงผม หน้าท่านงาม ผิวละเอียด ถึงแม้ท่านจะมีอายุแล้วแต่ก็ยังดูเหมือนคนอายุประมาณ ๔๐-๔๐ เท่านั้น ท่านมักนั่งตัวตรง พูดจาเรียบๆสม่ำเสมอ พบเห็นครั้งแรกก็เลื่อมใส อัศจรรย์ที่ตาท่านมองไม่เห็นแต่สามารถจะให้ธรรมได้ทุกแง่ทุกมุม ถ้าตาดีจะได้ว่าก่อนที่ท่านจะขึ้นพูด ก็คงค้นคว้าอ่านตำรับตำราสำหรับจะขึ้นเทศน์ในแต่ละวัน นี่ท่านไม่ต้องเตรียมเลย เวลาขึ้นเทศน์ท่านก็เทศน์ไปเรื่อยๆติดต่อกันโดยไม่ติดอ่าง ตะกุกตะกักหรือต้องคิดเลย... ลูกศิษย์หรือเจ้าหน้าที่จะอัดเทปไว้ เพราะฉะนั้นเมื่อท่านสิ้นแล้ว ชาวเขาสวนหลวงจึงไม่เดือดร้อนเลย ไม่ต้องขวนขวายหาอาจารย์ที่ไหนมาแทน เพราะเทปที่ท่านเทศน์ไว้มีมากมายพอที่จะสั่งสอนไปได้ตลอด....
ผมได้สอบถามจากแม่ชีท่านหนึ่งซึ่งอยู่ทันในช่วงชีวิตของท่าน ก. เขาสวนหลวง ได้ความว่าท่าน ก. เขาสวนหลวงเป็นคนที่มีความเมตตา ท่านมักจะคอยชี้แนะและให้ความสนับสนุนในเรื่องของการปฏิบัติธรรม โดยธรรมะที่ท่านมักจะเน้นคือเรื่องของการ มีสติดูจิต ให้ทุกคนรู้จิตของตนเองอยู่เสมอและความประทับใจที่ทำให้แม่ชีท่านนี้เฝ้าเพียรปฏิบัติตามคำสอนของท่าน ก. เขาสวนหลวง คือการปฏิบัติธรรมอย่างไม่ยอมแพ้แม้สังขารของท่านจะเสื่อมลง...
เกิด ปัญญาสว่างแจ้ง ภายใน มา ทราบทุกข์สมุทัย โลกนี้ ดับ ความอยากจากใจ เป็นนิ-โรธแฮ ทุกข์ สุขดับลับลี้ โลกร้างว่างไป..
ต้นเดือนกันยายน ๒๕๒๑ ท่าน ก. เขาสวนหลวง เข้ารับการรักษาตาที่จังหวัดปทุมธานีและได้ละสังขารที่นั่น เมื่อวันที่ ๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๒๑ รวมสิริอายุได้ ๗๗ ปี จากประวัติของท่าน ก. เขาสวนหลวง ที่ผมเล่ามาทั้งหมด เราจะพบว่าตั้งแต่ท่านเติบโตและจำความได้ จนกระทั่งท่านถึงแก่กรรม ไม่เคยมีวันไหนเลยที่ท่านจะละเว้นการคิดในเรื่องของธรรมหรือการปฎิบัติธรรม แม้ยามที่ท่านมีสายตาที่เสื่อมลง ท่านก็ยังสู้โดยการหมั่นภาวนาและเดินจงกลม ทางเดินจงกลมเล็กๆบริเวณด้านหน้าของกุฎิจาคาภินิเวสน์ ถือเป็นพยานวัตถุชิ้นสำคัญ
มีบทความตอนหนึ่งในหนังสือ ๑๐๐ ปี ท่าน ก. เขาสวนหลวง ได้จำกัดความตัวตนของท่านไว้อย่างชัดเจน ท่าน ก. เขาสวนหลวง เป็นผู้เกิดมาเพื่อธรรมโดยแท้ เป็นผู้สว่างมาและสว่างไป สิ่งที่ท่านมอบไว้เป็นมรดกแก่อนุชนรุ่นหลังโดยเฉพาะผู้ปฏิบัติธรรมสตรีทั้งหลาย ก็คือ... การเป็นแบบอย่างของสตรีผู้เข้มแข็ง เด็ดขาด และมั่นคงในพระธรรม เป็นผู้ยืนยันถึงศักยภาพของสตรีที่สามารถเป็นผู้เข้าถึงธรรมได้ไม่ด้อยไปกว่าบุรุษเลย ขอเพียงมีความตั้งใจและพากเพียรไม่ย่อท้อ...
ปัจจุบันสำนักปฏิบัติธรรมเขาสวนหลวง ยังคงเดินตามรอยของท่าน ก. เขาสวนหลวง ที่ท่านได้ทิ้งคำสอนเป็นมรดกธรรมเอาไว้ บริเวณสถานที่ สงบ สะอาดและร่มรื่นไม่แพ้วัดป่า สุภาพสตรีท่านใดต้องการจะเข้าไปปฏิบัติธรรม คงจะต้องเตรียมตัวให้พร้อมครับ ด้วยว่าสถานที่แห่งนี้ไม่มีการสอนอบรมเบื้องต้น ดังนั้นผู้ที่จะเข้ามาปฏิบัติธรรมจึงควรที่จะมีความรู้พอสมควร เพราะธรรมเป็นเรื่องที่ท่านจะต้องศึกษาและปฏิบัติเอง แต่คงไม่ต้องกังวลใจให้มากมายหรอกครับ เพราะคำว่าธรรมถึงจะมาจากต่างสถานที่กันแต่ก็สามารถรวมกันเป็นหนึ่งได้อย่างน่าอัศจรรย์ใจ สำหรับท่านสุภาพบุรุษก็อย่าน้อยใจ สำนักปฏิบัติธรรมเขาสวนหลวงยินดีต้อนรับการมาเยือนของท่านเสมอ ท่านสามารถติดต่อขอรับหนังสือหรือเทปเสียงคำสอนปฏิบัติของท่าน ก. เขาสวนหลวงได้ที่ หอประชุมธรรมวิจัย ครับ
นี่ก็ใกล้เวลาที่เทวดาจะลากพระอาทิตย์ลับขอบฟ้า ประตูสำนักปฏิบัติธรรมแห่งนี้ก็จะปิดลงในเวลา ๑๘.๐๐ น. สมควรแก่เวลาแล้วครับสำหรับพวกเรา... ในชีวิตจริงเราอาจจะพบหมอ พบวิศวะ พบนักวิทยาศาสตร์ ที่เก่งๆและมีชื่อเสียงได้เสมอ เพราะว่าท่านเหล่านั้นสามารถสร้างกันขึ้นมาได้หากว่าสังคมมีความต้องการ แต่การค้นพบนักปฏิบัติธรรมที่มีคุณภาพอย่างแท้จริง เป็นเนื้อนาบุญของพระพุทธองค์ นั่นแหละครับต่อให้สังคมมีความต้องการก็ยังหายากกว่าหลายเท่า ความมืดที่เข้าปกคลุมสถานที่ทำให้พวกเราทราบโดยทันทีว่า แม่ชีและอุบาสิกาในสำนักปฏิบัติธรรมแห่งนี้กำลังจะเริ่มชีวิตใหม่อีกครั้ง ชีวิตที่มุ่งปฏิบัติค้นหาทางหลุดพ้น.. ว่ากันว่า การเกิดมาเพื่อศึกษาให้ถึงที่สุดแห่งทุกข์ ถือเป็นสิ่งสำคัญของชีวิตเป็นอย่างยิ่ง ทุกวันนี้พวกเรายังคงปฏิบัติตามแนวทางของท่าน ก. อย่างมั่นคง คำชี้แนะและคำขนาบของท่านยังคงมีให้พวกเราฟังทุกวัน อุบาสิกาใจดีคนเดิมพูดด้วยน้ำเสียงมั่นใจ ขณะเดินมาส่งพวกเรากลับออกจากสำนักปฏิบัติธรรมเขาสวนหลวง.... ครับ...ธรรมไม่เคยแบ่งชนชั้น ไม่เคยแบ่งภาษา ไม่เคยแบ่งเพศวัย และเรื่องแบบนี้ใครทำก็ได้ไว้กับตัว....สวัสดีครับ
ขอขอบพระคุณ อุบาสิกาละมัย จุลคำภา ที่เมตตาให้ข้อมูลและบอกเส้นทางเข้าสู่สำนัก บทความบางตอนอ้างอิงจากหนังสือหลายๆเล่มของ ท่าน ก. เขาสวนหลวง คุณพรชนก สุขพงษ์ไทย สำหรับภาพถ่าย เพื่อนต่อ(มนุษย์ล่องหน)ที่ให้คำชี้แนะและคำขนาบ คุณสมบูรณ์ ร้านนายฮ้อ สระบุรี กับกำลังใจที่มีให้เสมอมาครับ
|
ถึง บล็อกเกอร์ ทุกท่าน โปรดอ่าน
ด้วยทาง บริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จำกัด (มหาชน) ได้ติดต่อขอความร่วมมือ มายังเว็บไซต์และเว็บบล็อกต่าง ๆ รวมไปถึงเว็บบล็อก OKnation
ห้ามให้มีการเผยแพร่ผลงานอันมีลิขสิทธิ์ ของบริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ฯ บนเว็บ blog โดยกำหนดขอบเขตของสิ่งที่ห้ามทำ และสามารถทำได้ ดังนี้
ห้ามทำ - การใส่ผลงานเพลงต้นฉบับให้ฟัง ทั้งแบบควบคุมเพลงได้ หรือซ่อนเป็นพื้นหลัง และทั้งที่อยู่ใน server ของคุณเอง หรือ copy code คนอื่นมาใช้ - การเผยแพร่ file ให้ download ทั้งที่อยู่ใน server ของคุณเอง หรือฝากไว้ server คนอื่น สามารถทำได้ - เผยแพร่เนื้อเพลง ต้องระบุชื่อเพลงและชื่อผู้ร้องให้ชัดเจน - การใส่เพลงที่ร้องไว้เอง ต้องระบุชื่อผู้ร้องต้นฉบับให้ชัดเจน จึงเรียนมาเพื่อโปรดปฎิบัติตาม มิเช่นนั้นทางบริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ฯ จะให้ฝ่ายดูแลลิขสิทธิ์ ดำเนินการเอาผิดกับท่านตามกฎหมายละเมิดลิขสิทธิ์
OKNATION
กฎกติกาการเขียนเรื่องและแสดงความคิดเห็น
1 การเขียน หรือแสดงความคิดเห็นใด ๆ ต้องไม่หมิ่นเหม่ หรือกระทบต่อสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ หรือกระทบต่อความมั่นคงของชาติ
2. ไม่ใช้ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่นในทางเสียหาย หรือสร้างความแตกแยกในสังคม กับทั้งไม่มีภาพ วิดีโอคลิป หรือถ้อยคำลามก อนาจาร 3. ความขัดแย้งส่วนตัวที่เกิดจากการเขียนเรื่อง แสดงความคิดเห็น หรือในกล่องรับส่งข้อความ (หลังไมค์) ต้องไม่นำมาโพสหรือขยายความต่อในบล็อก และการโพสเรื่องส่วนตัว และการแสดงความคิดเห็น ต้องใช้ภาษาที่สุภาพเท่านั้น 4. พิจารณาเนื้อหาที่จะโพสก่อนเผยแพร่ให้รอบคอบ ว่าจะไม่เป็นการละเมิดกฎหมายใดใด และปิดคอมเมนต์หากจำเป็นโดยเฉพาะเรื่องที่มีเนื้อหาพาดพิงสถาบัน 5.การนำเรื่อง ภาพ หรือคลิปวิดีโอ ที่มิใช่ของตนเองมาลงในบล็อก ควรอ้างอิงแหล่งที่มา และ หลีกเลี่ยงการเผยแพร่สิ่งที่ละเมิดลิขสิทธิ์ ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบหรือวิธีการใดก็ตาม 6. เนื้อหาและความคิดเห็นในบล็อก ไม่เกี่ยวข้องกับทีมงานผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซต์ โดยถือเป็นความรับผิดชอบทางกฎหมายเป็นการส่วนตัวของสมาชิก คลิ้กอ่านเงื่อนไขทั้งหมดที่นี่"
OKnation ขอสงวนสิทธิ์ในการปิดบล็อก ลบเนื้อหาและความคิดเห็น ที่ขัดต่อความดังกล่าวข้างต้น โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ต่อเจ้าของบล็อกและเจ้าของความคิดเห็นนั้นๆ
|
||
![]() ![]() |
<< | มีนาคม 2009 | >> | ||||
อา | จ | อ | พ | พฤ | ศ | ส |
1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 |
8 | 9 | 10 | 11 | 12 | 13 | 14 |
15 | 16 | 17 | 18 | 19 | 20 | 21 |
22 | 23 | 24 | 25 | 26 | 27 | 28 |
29 | 30 | 31 |