สำหรับหลวงปู่ พระภิกษุดี ธมมธีโร ปาฏิหาริย์ในเรื่องของวัตถุมงคลท่านว่ามันไม่ใช่เรื่องจริง หากแต่ท่านก็ไม่ได้ปฏิเสธว่าปาฏิหาริย์นั้นจะไม่มีบังเกิดขึ้น เพียงแต่คำตอบนั้นมันยากจะพิสูจน์ บางครั้งลวง บางครั้งเท็จ คำถามมีอยู่ว่าแล้วปาฏิหาริย์ใดเล่าคือความจริงแน่แท้ .. อาจกล่าวได้ว่า จุดเริ่มต้นของความเป็นหลวงปู่ดี ธมมธีโรในวันนี้เกิดจากความไม่รู้ในเรื่องที่ควรรู้ ศาสนาเป็นเรื่องที่ไม่ค่อยมีใครพูดถึง และเรื่องที่พูดถึงคงเป็นเรื่องของการแสดงฤทธิ์ต่างๆ เช่นการเสกใบมะขามเป็นตัวต่อ การทำน้ำมนต์รดคนให้หมดทุกข์ ฯลฯ.....
หลวงปู่ดี ธมมธีโรองค์นี้ ผมรู้จักท่านมานานแล้วครับ รู้จักท่านในแง่มุมที่ว่าท่านเป็นพระเกจิอาจารย์ที่เชียวชาญในเรื่องของคาถาอาคม แต่ก็ยังไม่เคยได้เข้าไปกราบนมัสการท่านเลย ทั้งๆที่ท่านจำพรรษาอยู่ในเมืองหลวงของประเทศ จนเมื่อได้รับคำแนะนำจากลูกศิษย์ของท่าน นักวิทยาศาสตร์เขาบอกว่าแสงเดินทางเร็วกว่าเสียง นักกฎหมายเขาก็บอกอีกว่า มรดกตกทอดเร็วกว่าที่เราคิด แต่ผมว่าตอนนี้ต้องรวมคำว่าความอยากด้วยครับ พอความอยากเกิดขึ้นกลางใจ ความไวจากกิเลสก็ตอบสนองทันที วัดเทพากร บางพลัด กรุงเทพมหานคร คือสถานที่จำพรรษาของพระสุปฏิปันโนองค์นี้ครับ
ท่ามกลางความเจริญของถาวรวัตถุในเมืองกรุง หลวงปู่ดี ธมมธีโร ท่านกับแยกตัวมาพำนักอยู่ในป่าช้าของวัดเทพากรซึ่งอยู่ด้านหลังของพระอุโบสถ คติความเชื่อของชาวพุทธถือว่าพระอุโบสถใช้ประกอบพิธีกรรมอุปสมบท ไม่ว่าลูกชายคนไหนของครอบครัวถ้าได้อุปสมบท พ่อแม่ก็จะได้เกาะชายผ้าเหลืองขึ้นสวรรค์ ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นความจริงที่เกิดขึ้นในใจ ในขณะที่ป่าช้าถูกมองว่าเป็นสถานที่ที่น่ากลัว เป็นนรกของใครหลายคน แต่บางทีครับนรกที่เราพูดถึง มันก็เป็นสวรรค์ที่เราไม่เคยคาดคิดมาก่อนเช่นกัน...
เลือกจำพรรษาอยู่ที่นี่เพราะป่าช้าเป็นที่สัปปายะ ไม่ค่อยมีคนมาวุ่นวาย เหมาะแก่การปฏิบัติธรรม ในกรุงเทพหาที่สัปปายะค่อนข้างยาก ไม่เหมือนอยู่ป่าอยู่เขา วัดเทพากร ถือได้ว่าอยู่ในย่านใจกลางกรุงเทพมหานครไม่ค่อยห่างไกลแสงสีเสียงเท่าไร นอกจากนี้บริเวณรอบๆวัดค่อนข้างจะหนาแน่นไปด้วยผู้คน แต่สำหรับบริเวณพื้นที่เขตของป่าช้ามักจะไร้ผู้มารบกวนโดยเฉพาะเวลากลางคืน ดังนั้นป่าช้าแห่งนี้จึงเป็นที่สัปปายะสำหรับการพักจำพรรษาของท่านในทุกวันนี้ ครับ นอกจากหลวงปู่ท่านจะอยู่กุฏิในป่าช้าแล้ว ข้าวของเครื่องใช้ในกุฏิหลวงปู่ดี ล้วนแล้วแต่ได้รับบริจาคมาจากญาติของผู้เสียชีวิตนำมาถวาย เช่นโต๊ะ เตียง ตู้เย็น ฯลฯ ไม่เว้นแม้แต่ไม้กระดานที่ทำเป็นหิ้งวางพระพุทธรูปไว้สำหรับปฏิบัติกรรมฐาน สรุปเอาง่ายๆว่าของเกือบจะทุกชิ้นล้วนแล้วแต่เกี่ยวพันกับผู้ตายเกือบจะทั้งหมด จากสายตาที่พวกเราเห็น หลวงปู่ดีท่านเป็นพระอารมณ์ดี พูดคุยสนุกแฝงไปด้วยธรรมะตลอดเวลา เสียดายก็แต่สุขภาพของท่านไม่ค่อยแข็งแรงดีนัก และต้องเข้ารับการตรวจสุขภาพจากโรงพยาบาลอยู่เป็นประจำ จะว่าไปแล้วถึงสังขารของท่านจะเสื่อมลงตามกาลเวลาแต่จิตใจและกระบวนความคิดของท่านหาได้เสื่อมลงไม่ ด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างแหบพร่าและรอยยิ้มสม่ำเสมอ คือที่มาของเรื่องราวดังต่อไปนี้ครับ
หลวงปู่ย้อนอดีตให้พวกเราฟังว่า ท่านเกิดเมื่อวันที่ ๗ กรกฏาคม ๒๔๖๔ ในรัชการที่ ๖ โยมพ่อชื่อ เป้า โยมแม่ชื่อ ไทย นามสกุล มณีเนียม เป็นคนจังหวัดอ่างทอง หลวงปู่เป็นลูกชายคนที่ ๒ ของพี่น้องทั้งหมด ๓ คน พอท่านเริ่มโตโยมพ่อโยมแม่ของท่านได้เอาท่านไปฝากไว้กับพระที่วัดเพื่อให้ได้เล่าเรียนหนังสือ แต่ก็ยังไม่ทันได้เรียนจบ พระก็สึกเสียก่อนทำให้ท่านต้องกลับมาอยู่บ้านช่วยพ่อแม่ทำนาและไม่ได้เรียนหนังสืออีกเลย หลวงปู่บรรพชาเป็นสามเณรเมื่ออายุ ๑๙ ปี ณ วัดศรีกุญชร อำเภอโพธิ์ทอง จังหวัดอ่างทอง ในสมัยนั้นหลวงตาพริ้ง ถือว่าเป็นพระเกจิอาจารย์ที่เรืองเวทย์ในด้านเมตตามหานิยม ท่านจึงได้อยู่ปรนนิบัติรับใช้และศึกษาวิชาอาคมจากหลวงตาพริ้งจนครบถ้วน
เมื่ออายุครบ ๒๐ ปีบริบูรณ์ท่านจึงได้อุปสมบท ณ วัดโพธิ์เกรียบ อำเภอโพธิ์ทอง จังหวัดอ่างทอง เมื่อวันที่ ๑๕ มีนาคม ๒๔๘๔ โดยมี พระครูโพธิสารสุนทร(รอด) วัดโพธิ์เกรียบ เป็นพระอุปัชฌาย์ พระครูจันทรโพธิคุณ(หยวก) วัดโพธิ์เกรียบ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และ พระปลัดชิต วัดโพธิ์เกรียบ เป็นพระอนุสาวนาจารย์ หลวงปู่ได้รับฉายาว่า ธมมธีโร ซึ่งแปลว่า ผู้เป็นปราชญ์ในทางธรรม ด้วยใจที่ฝักใฝ่ธรรมะและสนใจในเรื่องของคาถาอาคมเป็นทุนอยู่แล้ว เส้นทางชีวิตในพระพุทธศาสนา ณ ช่วงเวลานั้นจึงเต็มไปด้วยการขยันออกหาครูบาอาจารย์เพื่อขอถ่ายทอดวิชา หลวงปู่เล่าให้พวกเราฟังว่าท่านศึกษาวิชาอาคมกับครูบาอาจารย์หลายท่าน ซึ่งสมัยนั้นในจังหวัดอ่างทองก็อุดมไปด้วยพระเกจิอาจารย์มากมาย เช่น หลวงพ่อโปร่ง วัดท่าช้าง ซึ่งเป็นคุณอาแท้ๆของท่าน
หลวงปู่เคยเป็นคนดื้อ ไม่ยอมรับอะไรง่ายๆ การจะขอเรียนวิชากับใคร ต้องพิสูจน์ให้ได้ว่าเก่งจริง ทำได้จริง... ครูบาอาจารย์องค์สำคัญที่หลวงปู่พูดถึงค่อนข้างบ่อยคือ หลวงปู่จัน จันทะโชติ วัดนางหนู หลวงปู่จันองค์นี้ เชื่อว่าหลายท่านคงจะรู้จักเป็นอย่างดี เพราะท่านเป็นพระเกจิอาจารย์รุ่นเก่าสมัยสงครามอินโดจีน กิตติคุณของท่านแผ่ออกไปยิ่งใหญ่ไพศาล ในยุคสมัยนั้นท่านเป็นพระที่มีชื่อเสียงโด่งดังพร้อมกับสโลแกนที่ว่า จาด จง คง จัน สโลแกนที่ไม่ได้มาจากการโปรโมทแต่เกิดจากประสบการณ์ที่เกิดขึ้นจริง จาด คือหลวงพ่อจาด วัดบางกระเบา จังหวัดปราจีนบุรี จง คือหลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอก จังหวัดพระนครศรีอยุธยา คง คือหลวงพ่อคง วัดบางกระพ้อม จังหวัดสมุทรสงคราม และจัน คือหลวงปู่จัน วัดนางหนู จังหวัดลพบุรี คำจำกัดความที่บอกความเป็นหลวงปู่จันมากที่สุดคือคำๆนี้ครับ เทพเจ้าของชาวลพบุรี
หลวงปู่เล่าว่าสมัยก่อนท่านได้ไปขอเรียนวิชากับหลวงพ่อผิว วัดคลองสายบัว จังหวัดลพบุรี หลวงพ่อผิว เป็นลูกศิษย์ของหลวงปู่จัน วัดนางหนู คงจะเป็นเพราะบุพเพสันนิวาสที่ต้องกันแหละครับ หลวงพ่อผิวท่านจึงให้ความเมตตากับหลวงปู่ดี พร้อมกับได้อนุญาตและนำหลวงปู่ดี ไปฝากเรียนวิชากับหลวงปู่จัน และด้วยความที่หลวงปู่ดีเป็นพระที่ทรงความสมถะอยู่เสมอ หลวงปู่จันจึงได้ถ่ายทอดวิชาอาคมให้กับหลวงปู่ดีมากมาย ตั้งแต่วิชาหมอดู เมตตา แคล้วคลาด คงกระพัน ฯลฯ ผมคิดว่าคนโบราณถือว่ามีความฉลาดเป็นเยี่ยม เพราะเมื่อหลวงปู่จัน ทราบว่าหลวงปู่ดีท่านไม่ค่อยแม่นหนังสือสักเท่าไร ท่านจึงได้ถ่ายทอดให้โดยการสอนแบบปฏิบัติ กล่าวคือเช่นเมื่อท่านจะสอนวิชาหมอดู ท่านจะแสดงความแม่นยำในการทำนายให้หลวงปู่ดีเห็นก่อน เมื่อท่านทำให้ดูแล้วท่านก็จะนำพาไปฝึกภาคสนาม ช่วงกลางคืนเป็นเวลาฝึกภาคปฏิบัติ โดยหลวงปู่จันท่านจะพาหลวงปู่ดีออกเดินไปในป่า สมัยนั้นคำว่า ป่า ก็คือ ป่า ป่าที่เต็มไปด้วยต้นไม้และสัตว์ป่าชุกชุม หลังจากออกเดินไปสักพักหนึ่ง ท่านจึงถามหลวงปู่ดีว่า อาจารย์ดี ยามนี้เป็นยามอะไร ยามนี้จะเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น หลวงปู่ดีท่านจึงเริ่มนับนิ้วจับยามสามตา คำนวณฤกษ์พานาทีแล้วจึงตอบว่าเป็นยามอะไร และจะมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น หลวงปู่เล่าว่าท่านกับหลวงปู่จันนั่งพักเพื่อรอดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมาจะตรงตามตำราว่าไว้หรือเปล่า รวบรัดสรุปความว่า ถูกต้องและแม่นยำ คำทำนายที่ตำราว่าไว้ไม่มีผิดเพี้ยนเลย
มหานทีแห่งไสยศาสตร์กว้างขวางยิ่งนัก พระภิกษุดีผู้ไม่เคยละทิ้งความฝันและไม่เคยสิ้นศรัทธากับความจริงใช้เวลาในการเรียนวิชากับหลวงพ่อจันเป็นเวลาถึง ๔ ปี จึงได้กราบลาหลวงพ่อจันออกธุดงค์ต่อไปยังภาคเหนือ หลวงปู่เล่าว่าตลอดเส้นทางเต็มไปอันตรายและตัวท่านเองก็มักจะพบกับสิ่งประหลาดๆต่างๆมากมาย แต่มันก็ไม่ได้เป็นเหตุที่ทำให้ท่านต้องหยุดตามหาความฝันของท่าน จนครั้งหนึ่งท่านเกิดไม่สบายและออกอาการน่าเป็นห่วง หมอที่จะมารักษาหรือยาที่จะนำมาฉันก็ไม่มีเพราะในป่าที่ท่านอยู่ไม่มีโพลีคลินิกอย่างในเมือง ท่านว่าต้องใช้ ธรรมโอสถ เข้ามาระงับ ได้ผลครับสุขภาพร่างกายแข็งแรงดีขึ้นพร้อมกับความแข็งแกร่งของสมาธิที่ติดตามมา ท่านว่า ธรรมโอสถ นี่สำคัญนัก เพราะนอกจากท่านจะไม่สบายและหายป่วยได้จากไข้ป่าแล้ว ในชีวิตของท่านเคยป่วยเป็นโรคมะเร็งถึง ๒ ครั้งแต่เมื่อท่านนำคำสอนของพระพุทธเจ้ามาปฏิบัติ ระงับเวทนา พร้อมกับตั้งจิตอธิษฐานถึง ท่านหมอชีวกโกมารภัจจ์ ท่านก็สามารถหายได้ทั้งสองครั้ง
ให้นับถือคำสอนของพระพุทธเจ้าเป็นใหญ่ เพราะคำสอนของพระพุทธเจ้าเป็นสิ่งมหัศจรรย์ สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้จริง.. ถึงตอนนี้ลูกศิษย์ของท่านกระซิบบอกพวกเราว่า หลวงปู่เป็นพระที่ทำของขลัง ได้ขลังจริงสมชื่อ สมัยที่ท่านอยู่จังหวัดลำพูนเคยมีการทดสอบความขลังของท่านโดยการใช้เข็มฉีดยาแทงลงไปบนแขนของผู้ทดสอบ ปรากฏว่าแทงกันจนเข็มงอแต่ก็ไม่สามารถทำอันตรายได้นอกจากความเจ็บปวดจากการโดนแทง หลวงปู่ดีท่านยิ้มแทนคำตอบรับพร้อมกับบอกพวกเราด้วยน้ำเสียงแจ่มใสว่า อย่าได้ไปเชื่ออะไรง่ายๆ ฟังหูไว้หู เชื่อในสิ่งที่ควรเชื่อ คนเราตื่นตัวดีกว่าตื่นข่าว อิทธิฤทธิ์ ทางศาสนาของเราสอนให้เชื่อ แต่พวกเรื่องฤทธิ์เดชอย่าไปเชื่อเลย มันเสียเวลา สิ่งที่จะอำนวยประโยชน์สุขอย่างแท้จริงคือคำสอนของพระพุทธเจ้าเท่านั้น อันไหนเป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าเชื่อได้.... ได้ใจครับ คนกระซิบรีบหลบหน้า คนนั่งฟังแอบอมยิ้ม.... เป็นความจริงครับ พระพุทธเจ้าทรงค้นพบความจริงด้วยตัวของพระองค์เอง แต่ขณะเดียวกันท่านก็ทรงสั่งสอนว่าไม่ให้เชื่อใครแม้แต่ตัวของพระองค์เองที่ทรงค้นพบ แต่ถ้าเราย้อนกลับไปดูประวัติศาสตร์สมัยพุทธกาลของเรา เจ้าชายสิทธัตถะเสด็จออกบวช แล้วก็ออกเสาะแสวงหาครูบาอาจารย์ เป็นเวลานานมากครับกว่าที่พระองค์จะทรงนั่งลงที่โคนต้นไม้และใช้วิธี ทางสายกลาง จนสามารถค้นพบศาสนาพุทธด้วยตัวของพระองค์เอง จากนั้นพระองค์ทรงเสด็จออกโปรดสัตว์ สั่งสอนผู้คนให้ค้นพบความจริงด้วยตัวของตัวเอง แต่ระดับมันสมองอนุบาลอย่างพวกเรา เอาแค่ว่า ทฤษฏีหรือหลักการ อะไรสักอย่าง กว่ามันจะคลอดออกมาได้ มันต้องผ่านกระบวนการวิเคราะห์ พิสูจน์ ครั้งแล้วครั้งเล่าจนมันเป็นจริงขึ้นมา นี่ว่ากันตามหลักวิทยาศาสตร์ ศาสนาของเราก็เช่นกันครับ ที่ต้องผ่านการ ปุจฉา และ วิสัชชนา มานานขนาดไหนกว่าจะได้ข้อยุติที่ว่า พระธรรมคำสั่งสอนคือความจริง ถามใจตัวเองครับ อย่างนี้เรียกว่าศาสนาวิทยาศาสตร์ได้ไหม...
สำหรับพวกเราตามหลักการ ปากก็ต้องบอกว่าไม่เชื่อ เพราะนี่คือคำสั่งสอนของพระองค์ แต่ถ้ามองลึกไปในร่างกาย หัวใจมันบอกว่าเชื่อสุดใจครับ เพราะว่ากว่าพระพุทธเจ้าของเราจะทรงค้นพบ พระองค์ทรงผ่านการพิจารณาเรื่องราว ผู้คนและตนเองมาไม่รู้เท่าไรต่อเท่าไร มีคำกล่าวว่า... การมีเรือแข่งที่ดีและนำชัยชนะมาให้นั้นจะต้องประกอบไปด้วยทีมฝีพายที่ลงแรงพร้อมกันเป็นหนึ่ง... เช่นเดียวกันครับ การจะเป็นผู้ที่มีสมาธิจิตดี ต้องใช้เวลาการฝึกอยู่มิใช่น้อย แต่การที่จะฝึกให้ได้ดีต้องมีความรู้ที่หนักแน่นพอมารองรับ.... หลวงปู่เล่าว่าด้วยความที่ท่านมีอุปนิสสัยชอบความสันโดษ ท่านจึงได้ออกธุดงค์แสวงหาความสงบ ฝึกสมาธิภาวนาไปเรื่อยๆ จนเข้าไปสู่ประเทศพม่า สำนักที่ท่านไปขอเรียนกรรมฐาน ใช้หลักปฏิบัติให้รู้สึกตัวใน อิริยาบถสี่ คือ ยืน นั่ง นอน เดิน ฝึกอย่างหยาบ อย่างกลางและอย่างละเอียดขึ้นไปจนถึงขั้นการ สร้างสติ คือ ความระลึกได้รู้เอง
คุณธรรมหรือความดีที่คนเราควรประพฤตินั้น สติ เป็นสิ่งสำคัญที่สุด.... กล่าวคือ สติ หมายถึงความระลึกได้และความรู้สึกตัวอยู่เสมอ ดังนั้นการมีสติจะเป็นการช่วยทำให้เรามีการพูด คิดและดำเนินชีวิตอย่างรอบคอบ ท่านว่าเรื่องพวกนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เพราะเวลาฝึกปฏิบัติ กิเลสมักจะมาจับ พอตั้งกรรมฐานเข้าต่อสู้ เจ้าตัวกิเลสมันก็จะหายไป อุปมาดั่งการทิ้งก้อนหินลงในน้ำ พอเราขว้างก้อนหินลงไป...น้ำก็จะแหวกออกจากกัน สักพักน้อยเดียวน้ำนั้นก็จะกลับเข้ามาเต็มแบบเดิม...เพราะเหตุนี้สติจึงมีความสำคัญ คนเรานะครับไม่ว่าจะนั่ง นอน ยืน เดิน ล้วนแล้วแต่ต้องมีสติ เช่นถ้าเราขาดสติในการนั่ง เราอาจจะเผอเรอไปนั่งบนเก้าอี้ที่ยังไม่ได้ทำความสะอาดก็ได้ หรือเราขาดสติในการนอน ก็ต้องทนทุกข์ทรมานกับอาการนอนไม่หลับ เป็นต้น
เมื่อเรากำลังจะนอนก็ต้องกำหนดว่าเรากำลังจะนอน ใช้สติสัมปชัญญะเข้าดูแลตัวเองในการนอน เมื่อมีสติในการนอน ก็จะนอนไม่ตกเตียง ไม่ตกหมอน การทำทุกอย่างด้วยความมีสตินี่แหละ มันเป็นสิ่งที่มีประโยชน์ พระพุทธเจ้าท่านทรงสอนให้พวกเราศึกษาในเรื่องการมีสติเพื่อพัฒนาตนเอง ให้มีสติสัมปชัญญะในอิริบยาบถสี่ ชีวิตจึงจะไม่มีอันตราย... ว่ากันว่า ความโกรธ ละได้ด้วย การเจริญเมตตา ความอยาก ละได้ด้วย การบริจาค โมหะ ละได้ด้วย ปัญญา...
สมัยก่อนหลวงปู่ติดบุหรี่ ก็ละบุหรี่ได้ ชอบดูมวย ก็มาละไม่ดูมวย พอเลิกได้ก็ยกโทรทัศน์ให้เขาไปเลย เหลือแต่วิทยุไว้ฟังข่าว... เวลามีเรื่องราวมากระทบใจเราหนักๆ เราจะต้องหัดนิ่ง ไม่ด่า ไม่โกรธ การที่เรานิ่งได้มันก็ไม่ใช่ว่าจะดับได้ การจะดับเรื่องพวกนี้ได้ต้องใช้ปัญญาเข้าไปตัด เคยได้ยินคำนี้ไหมครับ ปัญหามา ปัญญาเกิด แต่สำหรับหลวงปู่ดี ท่านว่าบางทีปัญหามาเล่นเอาปัญญาเกือบดับ....เรื่องนี้มีความเป็นมาครับ เรื่องนี้เกิดขึ้นมาหลายสิบปีแล้ว..... สมัยก่อนตอนที่ท่านยังมีสุขภาพแข็งแรง ท่านชอบรับนิมนต์ไปเทศนาสั่งสอนนักโทษในเรือนจำ ท่านว่านักโทษพวกนี้เป็นคนฉลาดในทางโลก เราจะประมาทพวกเขาไม่ได้ เพราะตัวของหลวงปู่เองยังโดนนักโทษพวกนี้สอยกลับมาแล้ว เหตุเกิดจากมีนักโทษคนหนึ่งถามท่านว่า โลกของเรานี้มีความทุกข์กี่แบบ ท่านตอบว่ามีหลายแบบ แต่เราสามารถเรียกรวมกันว่า ทุกข์เวทนา ครั้นพอท่านย้อนถามเขาว่า แล้วทุกข์ของโยมล่ะมีกี่แบบ คำตอบที่ท่านได้รับ เล่นเอาท่านนั่งงงไปพักใหญ่ เพราะนักโทษคนนั้นตอบว่ามีสามแบบคือ ทุกข์แขน ทุกข์ขาและทุกข์ขัง คำอธิบายความของนักโทษในวันนั้น ทำให้ท่านต้องจดจำมาถึงทุกวันนี้ ทุกข์แขน เพราะแขนโดนใส่กุญแจมือ ทุกข์ขา เพราะขาโดนใส่โซ่ตรวน ส่วนทุกข์ขัง เพราะเขาโดนขังลืม
ท่านว่าได้ฟังคำตอบของนักโทษแล้วต้องยิ้ม คิดในใจว่าใครหนอว่าคนเหล่านี้ไม่มีความคิด ความจริงแล้วความคิดของเขามีอยู่มากมายเพียงแต่ขาดสิ่งที่จะเข้ามานำแนวทางของความคิดให้เดินไปในเส้นทางที่ถูกต้องเท่านั้น นี่แหละครับคือจุดพบกันระหว่างโลกสองใบ ใบหนึ่งคือโลกของมนุษย์ในเรือนจำ กับอีกโลกหนึ่งคือโลกแห่งพระธรรม ถึงทั้งสองโลกนี้จะแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง แต่มันก็สามารถกอดคอเดินร่วมทางกันไปสู่จุดหมายได้ เพราะสุดท้ายของการเทศนาจบลงด้วย ความศรัทธาของนักโทษที่เคยบวชเป็นพระ และ การรู้จักละโมหะของพระที่ไม่เคยเป็นนักโทษ... พวกเรานึกสนุกเลยถามหลวงปู่ว่าแล้วโลกเราที่ร้อนอยู่ทุกวันนี้จะแก้ไขได้อย่างไร
โลกเราที่ร้อนอยู่ทุกวันนี้เกิดจากกิเลส รัก โลภ โกรธ หลง หากเราตัดพวกนี้ได้ ชีวิตก็จะดีขึ้น หลวงปู่ครับ เพื่อนผมคนนี้มันอกหัก...
วิธีการแก้อกหัก คือการหักอก หักอกหักใจจากสิ่งที่ทำให้เกิดทุกข์ ทุกข์ของความรักเกิดจากความไม่สมหวัง เราไม่ควรมองว่าความรักคือการสมหวัง แต่ควรมองว่าเราวางความสมหวังของความรักไว้ตรงไหน ครับ ถึงคำตอบจะไม่ตรงใจคนเจ็บ แต่มันก็เป็นคำสอนที่น่ารักจริงๆ ฟังแล้วเห็นสัจธรรมของคำว่าความรัก พวกเราได้แต่ปลอบใจเพื่อนว่า เอาน่า..เสียน้ำตาบูชาครู คงไม่ทำให้ชีวิตติดลบสักเท่าไร ปัจจุบันหลวงปู่ดี ธมมธีโร ท่านจะมีสิริอายุถึง ๘๘ ปีแล้วครับ ตลอดชีวิตของท่านผ่านการเดินธุดงค์มานานกว่า ๓๖ ปี กิตติคุณในด้านวิทยาคมของท่านเป็นที่นับถือของศิษยานุศิษย์และบรรดาพระเกจิอาจารย์ในจังหวัดอ่างทอง ถึงวัตถุมงคลของท่านจะมีประสบการณ์มากมายแต่ท่านก็ไม่เคยสอนให้พวกเรายึดติดกับสิ่งเหล่านั้น
ตลอดเวลาพวกเราพยายามชวนคุยให้ท่านเล่าถึงเรื่องของวัตถุมงคล แต่ท่านก็สามารถหาช่องโหว่และนำพาเราไปสู่คำสอนของพระพุทธเจ้าได้ตลอดเวลา คำเตือนย้ำที่ท่านบอกเสมอๆ คืออย่าไปเชื่อในเรื่องของ อิทธิฤทธิ์ปาฎิหาริย์ของวัตถุมงคล หากแต่ท่านให้เราเชื่อในเรื่องของ อนุสาสนีปาฏิหาริย์ คือ คำสอนที่เป็นจริง สอนให้เห็นจริง และนำไปปฏิบัติได้ผลสมจริง หลวงปู่บอกพวกเราว่าบั้นปลายสุดท้ายของท่าน ท่านอยากจะกลับไปอยู่กับธรรมชาติ อยู่กับป่าเขา ในเขตจังหวัดตาก ที่ซึ่งท่านเคยพำนักอยู่ เพียงแต่ว่าตอนนี้ท่านรับภาระในการหาทุนสร้างพระอุโบสถ จึงจำเป็นต้องพำนักอยู่ในกรุงเทพ
ตามหลักของพระพุทธศาสนากำหนดว่า สัปปายะ คือสถานที่อยู่ซึ่งเหมาะกัน เช่น ไม่พลุกพล่านจอแจช่วยสนับสนุนในการบำเพ็ญภาวนาให้ได้ผลดี ช่วยให้สมาธิตั้งมั่น ไม่เสื่อมถอย ซึ่งป่าช้าหรือสถานที่เก็บศพก็เหมาะสมกับนัยยะนั้น มีบางท่านจะรู้จักหลวงปู่ดีในนิยามของคำว่า พระดีที่ซ่อนตัวอยู่ในป่าช้า อาจจะต้องทำความเข้าใจกันใหม่ว่า....ท่านไม่ได้ซ่อนตัวป่าช้า หากแต่ท่านอยู่ในสถานที่ชัดเจนตามหลักของพระพุทธศาสนาต่างหาก คำถามจึงมีต่อมาว่า เมื่อถึงวันที่ทุกอย่างพร้อม ท่านจะยังคงอยู่ในสถานที่ซึ่งเหมาะสมในเมืองหลวงแห่งนี้หรือไม่ เหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นข้างหน้าเราเรียกว่า อนาคต ไม่มีใครล่วงรู้ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร ดังนั้นอนาคตจึงเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน เมื่อถึงวันนั้นหลวงปู่ดีท่านอาจจะกลับไปพักจำพรรษาอยู่ที่จังหวัดตาก หรืออาจจะพักจำพรรษาในสถานที่แห่งนี้ต่อไป เร่งรีบเข้าเถอะครับ มีพระดีให้กราบอยู่ในเมืองกรุงแล้ว อย่ารอช้า.....สวัสดีครับ
ขอขอบคุณ คุณพรชนก สุขพงษ์ไทย สำหรับภาพถ่าย เพื่อนต่อกับคำแนะนำ คุณสมบูรณ์ ร้านนายฮ้อ สระบุรี สำหรับกำลังใจที่มีให้เสมอมาครับ
|
ถึง บล็อกเกอร์ ทุกท่าน โปรดอ่าน
ด้วยทาง บริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จำกัด (มหาชน) ได้ติดต่อขอความร่วมมือ มายังเว็บไซต์และเว็บบล็อกต่าง ๆ รวมไปถึงเว็บบล็อก OKnation
ห้ามให้มีการเผยแพร่ผลงานอันมีลิขสิทธิ์ ของบริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ฯ บนเว็บ blog โดยกำหนดขอบเขตของสิ่งที่ห้ามทำ และสามารถทำได้ ดังนี้
ห้ามทำ - การใส่ผลงานเพลงต้นฉบับให้ฟัง ทั้งแบบควบคุมเพลงได้ หรือซ่อนเป็นพื้นหลัง และทั้งที่อยู่ใน server ของคุณเอง หรือ copy code คนอื่นมาใช้ - การเผยแพร่ file ให้ download ทั้งที่อยู่ใน server ของคุณเอง หรือฝากไว้ server คนอื่น สามารถทำได้ - เผยแพร่เนื้อเพลง ต้องระบุชื่อเพลงและชื่อผู้ร้องให้ชัดเจน - การใส่เพลงที่ร้องไว้เอง ต้องระบุชื่อผู้ร้องต้นฉบับให้ชัดเจน จึงเรียนมาเพื่อโปรดปฎิบัติตาม มิเช่นนั้นทางบริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ฯ จะให้ฝ่ายดูแลลิขสิทธิ์ ดำเนินการเอาผิดกับท่านตามกฎหมายละเมิดลิขสิทธิ์
OKNATION
กฎกติกาการเขียนเรื่องและแสดงความคิดเห็น
1 การเขียน หรือแสดงความคิดเห็นใด ๆ ต้องไม่หมิ่นเหม่ หรือกระทบต่อสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ หรือกระทบต่อความมั่นคงของชาติ
2. ไม่ใช้ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่นในทางเสียหาย หรือสร้างความแตกแยกในสังคม กับทั้งไม่มีภาพ วิดีโอคลิป หรือถ้อยคำลามก อนาจาร 3. ความขัดแย้งส่วนตัวที่เกิดจากการเขียนเรื่อง แสดงความคิดเห็น หรือในกล่องรับส่งข้อความ (หลังไมค์) ต้องไม่นำมาโพสหรือขยายความต่อในบล็อก และการโพสเรื่องส่วนตัว และการแสดงความคิดเห็น ต้องใช้ภาษาที่สุภาพเท่านั้น 4. พิจารณาเนื้อหาที่จะโพสก่อนเผยแพร่ให้รอบคอบ ว่าจะไม่เป็นการละเมิดกฎหมายใดใด และปิดคอมเมนต์หากจำเป็นโดยเฉพาะเรื่องที่มีเนื้อหาพาดพิงสถาบัน 5.การนำเรื่อง ภาพ หรือคลิปวิดีโอ ที่มิใช่ของตนเองมาลงในบล็อก ควรอ้างอิงแหล่งที่มา และ หลีกเลี่ยงการเผยแพร่สิ่งที่ละเมิดลิขสิทธิ์ ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบหรือวิธีการใดก็ตาม 6. เนื้อหาและความคิดเห็นในบล็อก ไม่เกี่ยวข้องกับทีมงานผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซต์ โดยถือเป็นความรับผิดชอบทางกฎหมายเป็นการส่วนตัวของสมาชิก คลิ้กอ่านเงื่อนไขทั้งหมดที่นี่"
OKnation ขอสงวนสิทธิ์ในการปิดบล็อก ลบเนื้อหาและความคิดเห็น ที่ขัดต่อความดังกล่าวข้างต้น โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ต่อเจ้าของบล็อกและเจ้าของความคิดเห็นนั้นๆ
|
||
![]() ![]() |
<< | มิถุนายน 2009 | >> | ||||
อา | จ | อ | พ | พฤ | ศ | ส |
1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 | |
7 | 8 | 9 | 10 | 11 | 12 | 13 |
14 | 15 | 16 | 17 | 18 | 19 | 20 |
21 | 22 | 23 | 24 | 25 | 26 | 27 |
28 | 29 | 30 |