เชื่อกันว่า อานุภาพ ของ คุณพระพุทธ คุณพระธรรม คุณพระสงฆ์ มีอายุยืนนานยาวชั่วกัปชั่วกัลป์สุดที่จะพรรณนาได้จบสิ้น พระคุณของพระไม่มีวันเสื่อมเว้นเสียแต่ว่ามนุษย์นั้นจะเสื่อมจะลืมจากพระเพราะขาดธรรมะ... ใครบางคนเคยพูดไว้ว่า เฮงไม่เคยมาคู่ ซวยไม่เคยมาเดี่ยว เรื่องจริงมีอยู่ว่า ชายคนหนึ่งบังเอิญไปมีเรื่องทะเลาะวิวาท เขาได้ถูกปืนยิงเข้าไปหลายนัดแต่ปรากฏว่าไม่มีลูกปืนนัดไหนทำอันตรายเขาได้เลย คงเป็นเพียงอาการตกใจและจุกแน่น ทันทีที่คู่อริเห็นว่ายมฑูตยังเดินทางมาไม่ถึงโลกมนุษย์ จึงได้คว้าดาบด้ามยาวบรรจงฟันเข้าไปที่ศรีษะแล้วผละหนีไป ชายคนนี้จึงได้ลุกขึ้นมายืนสำรวจตนเอง เมื่อพบว่าตนเองยังมีจิตวิญญาณที่ยังไม่ได้แยกออกจากสังขาร จึงได้พาร่างอันบอบช้ำมากราบนมัสการหลวงปู่ เพื่อยืนยันว่าพระของหลวงปู่ที่ตนเองแขวนติดตัว และอักษรธรรมที่หลวงปู่ได้เมตตาจารลงบนหลังของเขา สามารถช่วยให้เขาพ้นจากการกวักมือเรียกของยมฑูตถึงสองครั้ง.. ผมเรียนถามหลวงปู่ด้วยความแปลกใจว่า จารบนหลังแต่ทำไมถึงยิงด้านหน้าไม่เข้า ท่านตอบผมเบาๆว่า... อ้าว...แล้วมันหนังผืนเดียวกันหรือเปล่าล่ะ
คำตอบแบบน่ารักๆของหลวงปู่ ทำให้พวกเราทราบว่านอกจากวาจาของท่านแล้ว แววตาของท่านก็บ่งบอกถึงการเป็นพระที่มีเมตตาและอารมณ์ดีอีกด้วยครับ หลวงปู่องค์นี้ท่านชื่อ หลวงปู่คำบุ คุตตจิตโต หรือสมณศักดิ์ที่คนทั่วไปไม่ค่อยคุ้นว่า พระครูวิบูลย์นวกิจ เจ้าอาวาสวัดกุดชมภู อำเภอพิบูลมังสาหาร จังหวัดอุบลราชธานี ครับ เพื่อนคอเดียวกันกับผมบอกว่า ปัจจุบันในเขตจังหวัดอุบลราชธานียังมีพระที่ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบและเชี่ยวชาญในเชิงคาถาอาคมอยู่อีกมาก หลวงปู่คำบุ คุตตจิตโต ก็เป็นหนึ่งในบรรดาพระผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ และที่พ่วงท้ายความเป็น พระสุปฏิปัณโณ คือความเก่งในคาถาอาคม เรียกว่าหลวงปู่คำบุองค์นี้เป็นพระที่ ทั้งเก่งและทั้งดี ครับ หลวงปู่คำบุ คุตตจิตโต เกิดเมื่อวันจันทร์ที่ ๑๕ กุมภาพันธ์ ๒๔๖๕ ณ บ้านกุดชมภู ซึ่งตรงกับวันจันทร์ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๓ ปีจอ โยมบิดาชื่อนายสา โยมมารดาชื่อนางหอม นามสกุล คำงาม หลวงปู่เป็นลูกชายคนสุดท้องของพี่น้องทั้งหมด ๖ คน ชื่อเดิมของหลวงปู่คือ คำบุ คำงาม ครับ
ท่านเล่าว่าในสมัยท่านยังเป็นเด็กน้อย บิดามารดาของท่านได้ให้ท่านบรรพชาเป็นสามเณร ณ วัดกุดชมภู เมื่อปี ๒๔๘๒โดยมี ท่านพระครูญาณวิสุทธิคุณ (กอง) วัดตากโพธิ์ เป็นพระอุปัชฌาย์ ในยุคสมัยนั้นพระที่มีชื่อเสียงของจังหวัดอุบลราชธานีคือ เจ้าคณะจังหวัดอุบลราชธานี ที่ชื่อว่า ท่านพระครูวิโรจน์รัตโนบล หรือ หลวงปู่รอด นันตโร แห่งวัดทุ่งศรีเมือง ครับ
หลวงปู่เล่าให้พวกเราฟังว่า ด้วยความที่หลวงปู่รอดเป็นพระสงฆ์ในดวงใจของท่าน ดังนั้นหลังจากที่ท่านได้บรรพชาเป็นสามเณร ท่านจึงได้เดินทางไปกราบนมัสการหลวงปู่รอด ซึ่งเหตุการณ์ในครั้งนั้นท่านได้เก็บเป็นความประทับใจมาจนถึงทุกวันนี้ครับ กล่าวกันว่า ท่านพระครูวิโรจน์รัตโนบล องค์นี้แหละที่ เก่งทั้งทางโลกและทางธรรม... ท่านพระครูวิโรจน์รัตโนบล เป็นพระที่มีคุณธรรมอันประเสริฐ มีเมตตาต่อชนทุกชั้นว่าจะยากดีมีจน เล่ากันว่าท่านชอบสอนคนให้เป็นคนดีและมองโลกในแง่ดีเสมอ ไม่ว่าใครจะทำอะไรหรือพูดอะไรกับท่าน ท่านก็ว่าดีทั้งนั้น ประชาชนทั้งหลายจึงเรียกท่านว่า ท่านพระครูดีโลด สำหรับความมีคุณธรรมและความศักดิ์สิทธิ์ของหลวงปู่ดีโลด ที่เล่าขานกันมาจนถึงปัจจุบันคือเรื่องนี้ครับ การบูรณะพระธาตุพนม แม่น้ำโขง หรือ แม่ของ ชื่อที่เรียกกันตามภาษาลาวท้องถิ่น ด้วยความยาวของแม่น้ำโขงที่ไหลคดเคี้ยวผ่านสถานที่ต่างๆ ทำให้แม่น้ำโขงเป็นแม่น้ำที่เต็มไปด้วยเรื่องราวและตำนานอันลี้ลับมากมายหลายเรื่อง.. พระธาตุพนม ถือเป็นหลักฐานของความรุ่งเรืองและเรื่องราวอันลี้ลับของอารยธรรมลุ่มแม่น้ำโขง
พระธาตุพนม เป็นพระธาตุคู่บ้านคู่เมืองที่มีความศักดิ์สิทธิ์เป็นที่เคารพและเกรงกลัวของชาวนครพนม เพราะเชื่อว่าพระธาตุพนมมีเทพาอารักษ์คุ้มครองและพิทักษ์รักษา ดังนั้นไม่ว่าใครก็ตามที่เข้าใกล้องค์พระธาตุโดยขาดความเคารพยำเกรงมักจะประสบเหตุการณ์ไม่คาดฝันซึ่งนั่นก็คือบทลงโทษที่เกิดขึ้นแบบทันตาเห็น ...ว่ากันว่าแม้แต่ต้นไม้ต้นหญ้าที่เกิดขึ้นติดอยู่กับองค์พระธาตุก็ยังไม่มีใครกล้าเข้าไปแตะต้อง... กาลเวลาเดินทางมาจนถึง พ.ศ.๒๔๔๔ ท่านพระครูสีทา วัดบูรพา ท่านพระอาจารย์มั่นและท่านพระอาจารย์หนู พร้อมด้วยคณะได้เดินธุดงค์มาถึงพระธาตุพนม เมื่อท่านได้เห็นองค์พระธาตุมีความเสื่อมโทรม จึงได้แนะนำให้ทายกทายิกาไปนิมนต์ ท่านพระครูวิโรจน์รัตโนบลหรือหลวงปู่รอด แห่งวัดทุ่งศรีเมือง มาเป็นประธานดำเนินการบูรณะซ่อมแซมองค์พระธาตุ ซึ่งหลวงปู่รอดท่านก็ยินดีรับอาราธนาซึ่งเมื่อท่านเดินทางมาถึงก็ได้รับการคัดค้านจากชาวบ้าน แต่ด้วยบุญญาภินิหารอันสูงส่งของท่าน จึงทำให้เกิดเหตุการณ์อันมหัศจรรย์ขึ้นกับชาวบ้านกลุ่มที่คัดค้านท่าน พวกเขาเหล่านั้นจึงได้มากราบขอขมาลาโทษและอาราธนาให้ท่านดำเนินการซ่อมแซมองค์พระธาตุพนมจนเป็นที่สำเร็จเรียบร้อยทุกประการ
ครับ...ถึงหลวงปู่รอด แห่งวัดทุ่งศรีเมืองจะไม่สอนวิชาอาคมอะไรกับท่าน แต่ถ้าเรานับญาติธรรมกันแล้วหลวงปู่รอดท่านก็มีศักดิ์เป็นพระอาจารย์ปู่ของท่าน เพราะครูบาอาจารย์ที่สามเณรคำบุได้เล่าเรียนวิชาอาคมมีชื่อว่า หลวงปู่รอด วัดบ้านม่วง ลูกศิษย์สำคัญอีกองค์หนึ่งของ หลวงปู่รอด วัดทุ่งศรีเมือง หลวงปู่รอด วัดบ้านม่วง ท่านเป็นศิษย์ที่อุปัฏฐาก หลวงปู่รอด นันตโร และได้อยู่รับใช้ใกล้ชิดจวบจนหลวงปู่รอด นันตโร มรณภาพลง ท่านจึงได้กลับมาจำพรรษา ณ วัดบ้านม่วงตามเดิม...
ไม่ได้เรียนกับหลวงปู่รอด วัดทุ่งฯ เรียนกับหลวงปู่รอด วัดบ้านม่วง หลวงปู่คำบุเล่าให้พวกเราฟังว่า หลวงปู่รอดเป็นคนบ้านเดียวกับท่าน เห็นกันมาตั้งแต่เล็กๆ ท่านเองก็ได้เรียนวิชากับหลวงปู่รอดตั้งแต่ยังเป็นสามเณร ท่านว่าหลวงปู่รอดเป็นคนจริงและชอบลองของ ลองวิชา โดยเฉพาะวิชาการทำตะกรุดและวิชาการหุงสีผึ้งของท่านเด็ดขาดมาก ถ้าจะถามว่าเด็ดขาดมากขนาดไหนต้องตอบว่ามากขนาดต้องย้ายวัดหนีกันเลยทีเดียวครับ
หลวงปู่รอด หุงสีผึ้งเก่งมาก คนมาขอกันเต็มวัด กวนท่านจนไม่ได้สวดมนต์ ทำกิจ ท่านเลยหนีมาอยู่วัดกุดชมภู... หลวงปู่เล่าว่าท่านเรียนวิชากับหลวงปู่รอดตั้งแต่เป็นสามเณรจนบวชเป็นพระ ในช่วงที่เรียนมากๆคือตอนที่หลวงปู่รอดได้ย้ายหนีญาติโยมจากวัดบ้านม่วงมาอยู่ที่วัดกุดชมภู... ซึ่งหลังจากที่หลวงปู่รอดได้มาจำพรรษาระยะหนึ่งท่านก็ได้จัดทำตำราคาถาอาคมทิ้งไว้ให้หลวงปู่คำบุเพื่อเล่าเรียนด้วยตนเอง ก่อนที่ท่านจะออกเดินธุดงค์จากไป..... มีคำถามเกิดขึ้นพร้อมกันในกลุ่มครับว่า หลวงปู่รอดธุดงค์ไปที่ไหน... หลวงปู่ท่านยิ้มและตอบเบาๆเหมือนเดิมครับ ก็ถามอย่างนี้แหละ ถึงต้องออกธุดงค์... ครับ คำตอบที่ชวนฉงนสนเท่ห์ที่มาพร้อมกับแววตาของพระภิกษุชราอายุ ๘๗ สามารถสะกดมนุษย์ปุถุชนที่มีจิตใจพลุ่งพล่านอย่างพวกเราให้สงบนิ่งได้อย่างประหลาด ว่ากันว่าคำตอบแบบนี้แหละที่พวกเราควรจะ หมั่นตรวจสอบตนเองให้มีสติ
ผมได้รับคำบอกเล่าจากหลวงพี่ที่คอยอุปัฏฐากหลวงปู่คำบุว่า นอกจากหลวงปู่ท่านจะเป็นศิษย์สายหลวงปู่ดีโลดแล้ว ท่านยังเป็นศิษย์ในสายของสำเร็จลุน พระผู้ทรงอภิญญาแห่งวัดเวิ่นไชย นครจำปาศักดิ์อีกด้วย กล่าวคือในช่วงที่หลวงปู่คำบุท่านออกธุดงค์ ท่านได้ไปร่ำเรียนวิชามาจากพระเกจิอาจารย์ที่เป็นลูกศิษย์ของ ญาท่านกรรมฐานแพง แห่งวัดสะเพือ อำเภอพิบูลมังสาหาร วิชาที่ท่านชำนาญและเชี่ยวชาญเป็นอย่างมากคือ การจารอักขระ อักษรธรรมลาว จากข้อมูลเชิงวิชาการหลายแห่งให้ความเห็นที่สอดคล้องกันว่า ในสมัยโบราณการจารึกเรื่องราวที่เกิดขึ้นมักนิยมจารึกเป็นสองแบบครับ คือ อักษรสามัญ(ปกติ) จะใช้บันทึกเรื่องราวทั่วๆไป แต่ถ้าเป็นเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับความศักดิ์สิทธิ์ เช่นเรื่องของศาสนา วิชาอาคม มักจะใช้อักษรธรรมเขียนจารึกไว้และมีความเชื่อกันต่ออีกว่าอักษรธรรมคืออักษรที่มีความศักดิ์สิทธิ์ในตัวเอง อักษรธรรมลาว เป็นอักษรที่คนโบราณในภาคอีสานใช้จารึกหลักคำสอนในทางพระพุทธศาสนา จารึกสรรพวิชาตลอดจนจารึกขนมธรรมเนียมประเพณีมาเป็นเวลายาวนาน เราสามารถพบการจารึกอักษรธรรมลาวแบบนี้ได้ตามคัมภีร์ใบลานเก่าๆ ที่เรียกว่า หนังสือผูก จะว่าไปแล้วในเรื่องของอักษรโบราณแบบนี้ถือเป็นมรดกทางภูมิปัญญาและมรดกทางวัฒนธรรมที่สำคัญ ซึ่งองค์ความรู้เหล่านี้พัฒนามาจากเรื่องศาสนา
หลวงปู่คำบุเล่าว่าท่านทำพิธีลงเหล็กจารบนแผ่นหลังของผู้ที่ศรัทธาด้วยตัวคาถาอาคมเป็น อักขระ อักษรธรรมลาว สำหรับวิชาที่ท่านลงบ่อยๆ คือวิชาทางเมตตามหานิยมและวิชาทางคงกระพันชาตรี การลงเหล็กจารบนแผ่นหลังจะไม่เหมือนกับการสักยันต์ครับ เพราะการสักยันต์คือการนำเข็มสักจุ่มหมึกสักและสักลงบนพื้นที่ที่จะสักเป็นจุดๆต่อเนื่องกันไปจนเกิดเป็นตัวอักขระ แต่การลงเหล็กจารจะเป็นการนำเหล็กปลายแหลมเขียนลงไปในบริเวณที่ต้องการเขียน ผมเคยสอบถามจากเพื่อนในกลุ่มที่เคยไปลงเหล็กจารกับหลวงปู่ เขาว่ามันก็เจ็บเอาเรื่องแต่จะทำอย่างไรได้ในเมื่อใจมันรัก.. จะว่าไปแล้วเรื่องแบบนี้มันพูดลำบากครับเพราะในกลุ่มผู้นิยมความขลังแบบดิบๆ มักจะออกอาการเย็นชาสำหรับเรื่องเจ็บๆแบบนี้ อีกประการหนึ่งคือพวกเขาเชื่อกันว่า
ใครก็ตามที่ลงจารอักขระธรรมได้ครบ ๗ ครั้ง จะส่งผลให้อักขระธรรมที่ลงไปนั้นฝังลึกไปจนถึงกระดูก และถ้าสามารถประพฤติปฏิบัติตามคำสั่งของครูบาอาจารย์อย่างเคร่งครัดแล้วละก็ จะทำให้ผู้นั้นอยู่ยงคงกระพันต่อศาสตราวุธทั้งปวงตลอดจนเป็นเมตตามหานิยมแก่ผู้ที่ได้พบเห็น.... เท่าที่พวกเราสอบถามจากพระอุปัฏฐากหลวงปู่ทำให้ทราบว่าทุกวันนี้หากหลวงปู่ไม่มีกิจนิมนต์นอกวัด จะมีบรรดาผู้ศรัทธาในความขลังแวะเวียนเข้าไปให้ท่านลงเหล็กจารบนหลังมากมาย ในบางวันก็ต้องว่ากันตั้งแต่หลังเพลไปจนถึงสามสี่ทุ่มจนกว่าจะหมดคน หลายต่อหลายคนเป็นผู้ที่มาลงครั้งแรกและอีกหลายต่อหลายคนที่วนเวียนมาลงโดยตั้งใจว่าจะต้องครบ ๗ ครั้งตามตำรา
ครูบาอาจารย์สอนไว้อย่างนั้น หลวงปู่ทำให้แล้วให้เขาไปพิจารณากันเอง ใครจะว่าดีหรือไม่ดีก็แล้วแต่เขา เขาอยากได้ก็เอาไปเพราะเขาตั้งใจมาแล้ว หลวงปู่จะเลิกลงก็เมื่อไม่มีคนมาหา.... คนเรามันไม่ถึงคราวตาย มันก็ไม่ตาย ถึงคราวตายมันก็ตายเหมือนกันแหละ.... มีคำกล่าวว่า มนุษย์เราไม่เพียงเป็นส่วนหนึ่งในกระแสธรรมชาติอันไม่สิ้นสุดเท่านั้น แต่มนุษย์นั้นยังเป็นอันเดียวกับธรรมชาติอีกด้วย
คนทุกคนมักจะมีทั้งเรื่องที่ดีและไม่ดี เราจะต้องมีสติ อะไรในโลกย่อมเกิดขึ้นได้เสมอ ไม่มีอะไรจริงแท้แน่นอน ทุกสิ่งทุกอย่างมีเกิดมีดับ เมื่อเราคิดได้แบบนี้ใจเราก็จะนิ่งและเป็นสุข จะว่าไปแล้วก็จริงอย่างที่หลวงปู่ท่านสอนแหละครับ ชีวิตคนเราไม่ได้โรยไปด้วยกลีบกุหลาบเสมอไป คนทุกคนย่อมแตกต่างกันหากแต่สิ่งที่คนเรามีเท่าเทียมกันคือ การเลือกคิด ดังนั้นการเลือกคิดแต่ในสิ่งที่ดีและมีคุณค่ากับตัวเอง กับสังคมและไม่ทำให้คนอื่นเดือดร้อน น่าจะเป็นแนวทางการคิดที่เหมาะกับการนำไปปฏิบัติที่สุด ว่ากันว่า ความสุขที่แท้จริงอยู่ที่ใจเรานั่นเอง.....
ความสุขของคนเรามีเยอะแยะ แต่ความสุขที่สร้างยากคือความสุขจากใจ แต่ถ้ามันเกิดแล้วมันจะเป็นความสุขที่ยั่งยืน.. ครั้งหนึ่ง...ไอน์สไตน์เคยบอกความในใจกับผมไว้ว่า เราไม่ควรจะตั้งเป้าว่าเราจะต้องเป็นคนที่ประสบความสำเร็จในชีวิต แต่เราควรตั้งเป้าว่าเราจะต้องเป็นคนที่มีคุณภาพ.....
คนเราชอบที่จะขอพระให้ตัวเองรวย ไม่เคยเห็นคนไหนขอพระให้ตัวเองรู้จักพอเลย พวกเราฟังแล้วก็ต้องก้มหน้าลงพื้นครับ เพราะว่าด้วยใจจริงแล้วพวกเราก็อยากจะรวยกันทุกคนแต่คำพูดของหลวงปู่ทำให้คิดได้ว่าความสุขของชีวิตที่แท้จริงอยู่ที่ความรวยหรือความพอ ในความเป็นคนรวยมันเจือปนไปด้วยความเป็นทุกข์อยู่เกือบทุกขณะหรือเปล่า ความสุขที่เกิดจากการมีทรัพย์สินมันก็แค่ผลักความทุกข์ให้หายไปได้ชั่วขณะ.. แล้วเมื่อเราใช้ทรัพย์สินเหล่านั้นหมดไปแล้ว ความเป็นทุกข์ก็คงจะกลับเข้ามาอยู่ในใจเราเหมือนเดิม....จะว่าไปแล้วทั้งความรวย ความทุกข์มันก็ไม่ได้อยู่ที่ไหนเลยนอกจากในใจของเราเอง การรู้จักพอหรือเปล่าที่เราควรจะรู้จักมันให้ดีกว่านี้
ครับสำหรับวินาทีตรงหน้านี้เรื่องของความรวยยังคงพอกันได้ แต่เรื่องของความขลังสิครับมันต้องเล่าต่อ เพราะพรายกระซิบบอกพวกเราว่า นอกจากหลวงปู่คำบุท่านจะเก่งในเรื่องของการจารอักขระลงบนหลังของผู้ที่ศรัทธาแล้ว ตะกรุดที่ท่านสร้างขึ้นมาเช่นตะกรุดปืนแตก ก็เด่นทางด้านมหาอำนาจ ตะกรุดรกแมว ก็เด่นทางด้านเมตตา แต่ทีเด็ดอีกอย่างหนึ่งของท่านคือวัตถุมงคลชิ้นนี้ครับ....ชานหมาก ท่านเล่าว่าด้วยเหตุผลของวัฒนธรรมพื้นบ้านที่คนอีสานชายขอบนิยมกินหมากกันแล้ว ท่านยังได้ใช้ชานหมากที่เคี้ยวขึ้นนี้ในการรักษาโรค เช่นโรคงูสวัส โรคตาแดง ฯลฯ ท่านว่าวิชาพวกนี้มันต้องเคี้ยวไป พ่นไป...
ชานหมากก็ใช่พ่นรักษาโรคได้ แต่ต้องรู้จักคาถาปลุกให้มันตื่น... ครับถึงแม้ว่าจะไม่มีเอกสารทางด้านสมุนไพรมารับรองแต่วิธีการรักษาของท่านก็สามารถรักษาชาวบ้านในละแวกนั้นให้หายจากโรคภัยได้ เรื่องแบบนี้ไม่เชื่ออย่าลบหลู่ครับเพราะหลวงปู่เล่าว่า.. เรื่องแบบนี้มันเกี่ยวกับคนเก่าคนแก่ที่เป็นเจ้าของวิชาความรู้และถ่ายทอดวิชาต่อๆกันมา ดังนั้นในการรักษาทุกครั้งท่านจะต้องระลึกถึงครูบาอาจารย์และอัญเชิญครูบาอาจารย์เหล่านั้นให้มาช่วยกันรักษา.. น่าสนใจนะครับกับการรักษาโดยปราศจากเครื่องมือที่ทันสมัย ไม่มีใบประกอบทางการแพทย์ แต่เกือบจะทุกวันกลับมีชาวบ้านพากันมาให้ท่านรักษาทั้งโรคทางกายและโรคทางใจมิได้ขาด อะไรกันแน่ที่มันซ่อนลึกอยู่ในจิตวิญญาณของการรักษา ถ้าไม่ใช่ ความเชื่อและความศรัทธา ไม่น่าเชื่อครับว่ายิ่งเราแสวงหาคุณภาพของชีวิตมากเท่าไร เราก็มักจะค้นพบว่า แท้จริงแล้วคุณภาพของชีวิตเหล่านั้นบางทีมันก็ซ่อนอยู่ในวิถีชีวิตที่เรียบง่ายของคนสมัยก่อนนั่นเอง... ปัจจุบันเรื่องของชานหมากกับการรักษาโรคของหลวงปู่ได้ถูกลืมเลือนไปตามกาลเวลา เพราะทุกวันนี้ชานหมากของหลวงปู่ได้กลายไปเป็นเครื่องรางของขลังแขวนอยู่บนคอของผู้ที่เคารพศรัทธาในตัวท่าน ซึ่งเหตุผลที่ชานหมากของหลวงปู่ที่คายออกจากปากและย้ายไปอยู่ในสร้อยของลูกศิษย์ก็ไม่มีอะไรมากหรอกครับ เพราะ การแคล้วคลาด จากอุบัติเหตุ หรือ ความสำเร็จ ของการอธิษฐานบอกกล่าวนั่นแหละครับคือสาเหตุสำคัญ...
โดยส่วนตัวแล้วจากการที่ผมได้ศึกษาในเรื่องของพระพุทธศาสนา ผมพบว่าพระพุทธเจ้าของเราท่านได้ตรัสสั่งสอนไว้ว่า คนเราต้อง เกิด แก่ เจ็บ และตาย ไม่มีใครสามารถหลีกหนีพ้นไปได้ คำถามในใจจึงมีต่อมาว่าเราจะหลีกเลี่ยงเรื่องเหล่านี้ได้อย่างไร คำตอบมันก็มีง่ายๆว่า เราต้องไม่เกิด แต่ถ้าถามต่อไปว่า ไม่ต้องเกิดเราจะต้องทำอย่างไร แน่นอนครับมันก็ต้องตอบว่า ต้องหมั่นปฏิบัติธรรม คำถามในเรื่องเหล่านี้ได้ถูกลำเลียงขึ้นไปถามหลวงปู่
ความละเอียดอ่อนของธรรมะอยู่ที่การปฏิบัติ เราต้องฝึกฝนและขัดเกลาตัวเองให้มากที่สุด ทุกวันนี้หลวงปู่ก็ภาวนาพุทโธอยู่ทุกขณะจิต... ทุกวันนี้คนเราหย่อนยานในการปฏิบัติ คิดกันว่าศาสนาเสื่อม ศาสนาไม่เสื่อมหรอก ศาสนาขาวสะอาด เรื่องไม่ดีที่เกิดขึ้นในทุกวันนี้เพราะใจคนมันเสื่อมลง เสื่อมลงจากศีล เสื่อมลงจากธรรม... ครับ ศาสนาไม่เคยเสื่อม ใจของคนเราต่างหากครับที่เสื่อมจากศาสนา
จะว่าไปแล้วถ้าเราไม่ลืมกันนัก เราคงจำกันได้ว่าพระพุทธเจ้าของเราท่านสละซึ่งความสุขทางโลกโดยการเสด็จออกจากพระราชวังและแสวงหาสัจธรรม การเดินเท้าออกเทศนาของท่านเป็นข้อพิสูจน์ได้อย่างหนึ่งว่า "ชีวิตของมนุษย์ที่มีคุณค่านั้นไม่จำเป็นต้องขึ้นอยู่กับทรัพย์สมบัติหรือเกียรติยศ..." คติความเชื่อของคนโบราณในอดีต....ที่เจริญรุ่งเรืองด้วยความรู้แจ้งทางปัญญาที่สอดคล้องกับความเป็นไปของธรรมชาติทั้งมวล จึงเป็นเรื่องที่บอกเราได้ว่า ภูมิปัญญา ความเชื่อ ความศรัทธา มันเป็นสิ่งที่มีคุณค่าในตัวเอง ข้อขัดแย้งในทางทฤษฏีระหว่าง การพัฒนาในปัจจุบัน กับ ความรู้แจ้งของคนโบราณ มีอยู่มากมายให้เราเห็นในทุกวันนี้ และถ้าเราไม่หลงทางออกไปจากหลักคำสอนของพระพุทธองค์แล้ว เราก็จะพบว่า ความรู้แจ้งของคนโบราณนั่นแหละคือ ความพอ ของชีวิต ส่วนการพัฒนานั่นแหละ...(บางที)...มันก็คือ ปัญหา ที่แท้จริง
ก่อนที่พวกเราจะกราบนมัสการลาหลวงปู่คำบุ ผมยังคงเห็นเพื่อนๆร่วมอุดมคติอีกหลายคนยังคงรอกราบหลวงปู่... ไม่มีข้อห้ามครับว่าการรอนั้นต้องมีวัตถุประสงค์อย่างไร แต่ก็เชื่อว่าทุกคนที่รอต้องมีหลวงปู่คำบุอยู่ในดวงใจ นึกขึ้นได้ว่าสมควรแก่เวลาแล้วพวกผมจึงได้ก้มลงกราบท่าน ถึงแม้พวกผมจะก้มลงกราบหลวงปู่ไม่พร้อมกันหรือพวกเราจะมีจำนวนการกราบที่ไม่เท่ากัน แต่ในช่วงนั้นผมเชื่อว่า ความศรัทธา ของพวกเราก็มีไม่ต่างกัน.....สวัสดีครับ
ขอขอบคุณ ภาพถ่ายของคุณพรชนก สุขพงษ์ไทย เพื่อนต่อกับคำแนะนำ และคุณสมบูรณ์ ร้านนายอ้อ สระบุรี สำหรับกำลังใจที่มีให้เสมอครับ....
|
ถึง บล็อกเกอร์ ทุกท่าน โปรดอ่าน
ด้วยทาง บริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จำกัด (มหาชน) ได้ติดต่อขอความร่วมมือ มายังเว็บไซต์และเว็บบล็อกต่าง ๆ รวมไปถึงเว็บบล็อก OKnation
ห้ามให้มีการเผยแพร่ผลงานอันมีลิขสิทธิ์ ของบริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ฯ บนเว็บ blog โดยกำหนดขอบเขตของสิ่งที่ห้ามทำ และสามารถทำได้ ดังนี้
ห้ามทำ - การใส่ผลงานเพลงต้นฉบับให้ฟัง ทั้งแบบควบคุมเพลงได้ หรือซ่อนเป็นพื้นหลัง และทั้งที่อยู่ใน server ของคุณเอง หรือ copy code คนอื่นมาใช้ - การเผยแพร่ file ให้ download ทั้งที่อยู่ใน server ของคุณเอง หรือฝากไว้ server คนอื่น สามารถทำได้ - เผยแพร่เนื้อเพลง ต้องระบุชื่อเพลงและชื่อผู้ร้องให้ชัดเจน - การใส่เพลงที่ร้องไว้เอง ต้องระบุชื่อผู้ร้องต้นฉบับให้ชัดเจน จึงเรียนมาเพื่อโปรดปฎิบัติตาม มิเช่นนั้นทางบริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ฯ จะให้ฝ่ายดูแลลิขสิทธิ์ ดำเนินการเอาผิดกับท่านตามกฎหมายละเมิดลิขสิทธิ์
OKNATION
กฎกติกาการเขียนเรื่องและแสดงความคิดเห็น
1 การเขียน หรือแสดงความคิดเห็นใด ๆ ต้องไม่หมิ่นเหม่ หรือกระทบต่อสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ หรือกระทบต่อความมั่นคงของชาติ
2. ไม่ใช้ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่นในทางเสียหาย หรือสร้างความแตกแยกในสังคม กับทั้งไม่มีภาพ วิดีโอคลิป หรือถ้อยคำลามก อนาจาร 3. ความขัดแย้งส่วนตัวที่เกิดจากการเขียนเรื่อง แสดงความคิดเห็น หรือในกล่องรับส่งข้อความ (หลังไมค์) ต้องไม่นำมาโพสหรือขยายความต่อในบล็อก และการโพสเรื่องส่วนตัว และการแสดงความคิดเห็น ต้องใช้ภาษาที่สุภาพเท่านั้น 4. พิจารณาเนื้อหาที่จะโพสก่อนเผยแพร่ให้รอบคอบ ว่าจะไม่เป็นการละเมิดกฎหมายใดใด และปิดคอมเมนต์หากจำเป็นโดยเฉพาะเรื่องที่มีเนื้อหาพาดพิงสถาบัน 5.การนำเรื่อง ภาพ หรือคลิปวิดีโอ ที่มิใช่ของตนเองมาลงในบล็อก ควรอ้างอิงแหล่งที่มา และ หลีกเลี่ยงการเผยแพร่สิ่งที่ละเมิดลิขสิทธิ์ ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบหรือวิธีการใดก็ตาม 6. เนื้อหาและความคิดเห็นในบล็อก ไม่เกี่ยวข้องกับทีมงานผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซต์ โดยถือเป็นความรับผิดชอบทางกฎหมายเป็นการส่วนตัวของสมาชิก คลิ้กอ่านเงื่อนไขทั้งหมดที่นี่"
OKnation ขอสงวนสิทธิ์ในการปิดบล็อก ลบเนื้อหาและความคิดเห็น ที่ขัดต่อความดังกล่าวข้างต้น โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ต่อเจ้าของบล็อกและเจ้าของความคิดเห็นนั้นๆ
|
||
![]() ![]() |
<< | กันยายน 2009 | >> | ||||
อา | จ | อ | พ | พฤ | ศ | ส |
1 | 2 | 3 | 4 | 5 | ||
6 | 7 | 8 | 9 | 10 | 11 | 12 |
13 | 14 | 15 | 16 | 17 | 18 | 19 |
20 | 21 | 22 | 23 | 24 | 25 | 26 |
27 | 28 | 29 | 30 |