ในหนังสือปกิณกสารธรรม อนุสรณ์ ๑๐ ปี แห่งการมรณภาพของหลวงพ่อ ภายในหนังสือเล่มดังกล่าวมีบทความที่กล่าวถึงความประทับใจสมัยเมื่อหลวงพ่อยังมีชีวิตอยู่ หลายบทความเป็นเรื่องที่กล่าวถึงอภินิหาริย์ที่ตนเองเคยพบเห็น และก็อีกหลายบทความครับที่สอนถึงเรื่องของการปฏิบัติธรรม โดยเฉพาะในเรื่องของ อานาปนสติ ซึ่งก็คือ การพิจารณาลมหายใจเข้าออก อย่างไรก็ตามในตอนท้ายของบทความทุกเรื่องล้วนมาหยุดตรงที่ว่า หลวงพ่อเป็นเสมือนผู้นำทางให้พวกเขาเหล่านั้นพบแสงสว่างในการดำเนินชีวิต คือแนวทางของพระพุทธศาสนา ว่ากันว่าธรรมะที่หลวงพ่อได้เคยอบรมสั่งสอนไว้ ล้วนแล้วแต่ฟังง่าย เข้าใจง่ายและสามารถนำไปปฏิบัติได้ด้วยตนเอง ความยากลำบากที่สุดในการฝึกปฏิบัติตามคำสอนของท่านก็คือ ความเพียรในการปฏิบัติธรรม
วันนี้พวกเราอยู่ที่ วัดปิปผลิวนาราม ตำบลหนองบัว อำเภอบ้านค่าย จังหวัดระยอง ครับ ปิป-ผะ-ลิ-วะ-นา-ราม คือชื่อเรียกที่ถูกต้อง พูดถึงวัดปิปผลิวนาราม อาจจะไม่คุ้นหูคุ้นตาเท่าใดนัก แต่สำหรับผู้ที่เกิดทันยุคทันสมัยนั้น จะทราบกันดีว่า ที่นี่มีคำสอนที่สามารถนำไปใช้ได้ทั้งทางธรรมและทางโลก ที่นี่มีเรื่องราวที่ลึกลับซับซ้อนเกี่ยวโยงกันแบบข้ามมิติแห่งกาลเวลา ที่นี่มีที่เรื่องราวของ เจ้าแม่จัมปากะสุนทรี ซึ่งมีความผูกพันกับ เจ้าแม่วิสาขา แห่งภูกระดึง ที่นี่มีเรื่องราวของเทพารักษ์ที่มีวิมานอยู่ต้นไม้พันกันสามต้นและมีช่องที่โคน นามว่า ท้าวสุโรดม และที่นี่มีเรื่องราวของ หลวงพ่อกัสสปมุนี อดีตเจ้าอาวาส ผู้มีอัจฉริยภาพในหลายๆด้านครับ
ในพระพุทธศาสนา สัปปุริสธรรม หรือ สัปปุริสธรรม ๗ หมายถึงธรรมของสัตบุรุษ ผู้ใดที่ได้ปฏิบัติธรรมหมวดนี้ ย่อมเป็นผู้ถึงซึ่งความเจริญ ไม่มีวันเสื่อม.... หลวงพ่อกัสสปมุนีเกิดที่กรุงเทพมหานคร มีนามก่อนบวชเป็นพระภิกษุว่า ประจงวาศ ต่อมาเปลี่ยนเป็น ประยุทธิ วรวุธิ นามสกุล อาภรณ์ศิริ บิดาของหลวงพ่อคือ พระยาหิรรัชฏพิบูลย์ (ประวัติ อาภรณ์ศิริ) มารดานาม นางพาหิรรัชฏพิบูลย์ (เผื่อน อาภรณ์ศิริ) หลวงพ่อมีพี่น้องสามคนครับ คนโตชื่อประไพวงศ์ คนเล็กชื่อ ประสาทศิลป์ ส่วนหลวงพ่อเป็นคนกลาง ในชีวิตของหลวงพ่อก่อนบวชท่านสมรส นางประชุมศรี อาภรณ์ศิริ มีบุตรชาย ๒ คนและบุตรี ๒ คน สังคีติสูตรในพระไตรปิฏกได้บรรยายไว้ว่า ผู้รู้จักเหตุ ผู้รู้จักผล ผู้รู้จักตน ผู้รู้จักประมาณ ผู้รู้จักกาล ผู้รู้จักบริษัทและผู้รู้จักบุคคล ซึ่งการรู้จักในประเด็นทั้ง ๗ ข้อนี้ เราเรียกว่า สัตบุรุษ ๗ กล่าวกันว่าธรรมทั้ง ๗ ข้อนี้คือคุณสมบัติของคนดี คุณกฤษฤกษ์ เปรมรัตนา ได้เขียนบันทึกถึงความประทับใจที่มีกับหลวงพ่อในแง่ที่ช่วยให้เขาสามารถต่อสู่ชีวิตและมีกำลังใจที่จะสร้างสมบารมีต่อไปดังนี้ครับ ตนเองโชคดีมีโอกาสได้พบและได้รับฟังคำสอนของท่าน ถึงแม้ว่าจะเป็นเวลาที่น้อยนิดเสียเหลือเกินและคำสอนก็แสนจะสั้น แต่คำสอนที่ท่านได้เมตตาสอนไว้นั้นเมื่อเขาได้นำมาพิจารณาในคำสอนก็พบว่ามันได้ก่อให้เกิดประโยชน์กับตัวของเขาเอง เรื่องราวมีอยู่ว่า มีอยู่ครั้งหนึ่งเขาได้ไปกราบนมัสการหลวงพ่อที่ศาลาหงษ์ยนต์ ในวันนั้นเป็นช่วงจังหวะที่ดีมากเพราะบนศาลามีเพียงเขากับหลวงพ่อ โยมรู้จักธรรมของสัตบุรุษไหม คุณกฤษฤกษ์ได้เรียนตอบท่านว่าเขาไม่ทราบ หลวงพ่อจึงได้เมตตาบอกให้เขาไปหาดูได้จากหนังสือนวโกวาท ซึ่งมีอยู่ ๗ หัวข้อ พร้อมกับกล่าวว่า
สัตบุรุษนั้นย่อมรู้เหตุแห่งความเสื่อม เหตุแห่งความเจริญ เพราะฉะนั้น เมื่อเรารู้เหตุแล้ว เราก็หมั่นพิจารณาปรับปรุงแก้ไขสิ่งต่างๆให้ดี เราก็จะไม่เสื่อม มีแต่ความสุข ความเจริญ ใช่แล้วครับการเป็นคนดีไม่มีวันเสื่อม..... จะว่าไปแล้วในบรรดาความต้องการของมนุษย์นั้น ความดี ถึงจะไม่ได้เป็นความต้องการขั้นสูงสุดก็จริง แต่ที่สุดแล้ว ความดี กลับถูกใช้เป็นตัวเชื่อมหรือสื่อที่เข้าถึงความต้องการของมนุษย์ได้ทั้งหมด โดยเฉพาะกับชีวิตในปัจจุบันนั้นแทบจะเรียกได้ว่าต้องใช้ ความดี เป็นตัวกำกับแนวทางชีวิตไว้เสมอ คงไม่มีใครหรอกครับที่อยากมีชีวิตแบบที่ปราศจาก ความดี ว่ากันว่าการสร้างอนาคตเป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องสร้างรากฐานในปัจจุบันให้ดี หลวงพ่อเคยเล่าไว้ว่า ตอนที่ท่านอายุได้ ๔๖ ปี ขณะนั้นท่านรับราชการอยู่ ในตอนเย็นของวันหนึ่งท่านได้ไปงานเลี้ยงกับเพื่อนร่วมเมา จบงานเลี้ยงก็ประมาณ ๒๓.๐๐ น. เพื่อนจึงขับรถไปส่งท่านที่บ้าน รุ่งเช้ายังไม่ทันตื่น ลูกชายของเพื่อนมาบอกท่านว่า พ่อตายแล้ว หลวงพ่อเล่าว่าในจังหวะนั้นเกิดเป็น มรณานุสสติกรรมฐาน ปรากฏกับจิตใจ ทำให้ท่านหวนคิดว่า แล้วเราล่ะ หลังจากวันนั้นเป็นต้นมาท่านจึงเริ่มปฏิบัติกรรมฐานอย่างจริงจังและได้ออกธุดงค์ตามถ้าต่างๆ จนสุดท้ายแล้วท่านเห็นว่าชีวิตในทางธรรมเป็นเส้นทางที่ถูกต้องและต้องการของชีวิต ท่านจึงได้ขอลาออกจากราชการ ลาออกทั้งๆที่มีคำสั่งอนุมัติท่านเป็นรองอธิบดี
หลังจากได้รับอนุมัติให้ลาออก ท่านจึงได้อุปสมบทที่วัดโพธิ์ ท่าเตียน โดยมีสมเด็จพระวันรัต (ต่อมาสมเด็จพระวันรัตได้รับสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราช) เจ้าอาวาสวัดโพธิ์ เป็นพระอุปัชฌาย์ พระราชสังวราภิมนฑ์ (หลวงปู่โต๊ะ) วัดประดู่ฉิมพลี เป็นพระกรรมวาจาจารย์ ตลอดชีวิตในสมณเพศของหลวงพ่อ ท่านได้สมาทานธุดงควัตร ๔ ข้อมาตลอด คือ ทรงผ้าบังสุกุลเป็นวัตร ครองจีวรชุดเดียว (จะเปลี่ยนก็ต่อเมื่อเก่าหรือชำรุด) เป็นวัตร รับบิณฑบาตเป็นวัตรและอยู่ป่าเป็นวัตร จนกระทั่งท่านมรณภาพครับ
เรื่องราวในชีวิตของหลวงพ่อเป็นเรื่องที่น่าสนใจครับ ชีวิตของมนุษย์คนหนึ่งที่มีความเป็นอยู่สุขสบายและมีตำแหน่งหน้าที่การงานชั้นสูงแต่กลับละทิ้งอย่างไม่ยี่หระ โดยเดินทางเข้าสู่ถนนชีวิตสายพระพุทธศาสนา การฝึกปฏิบัติธรรมอย่างมุ่งมั่นและมั่นคง ได้สร้างศรัทธาให้กับผู้ที่ได้พบเห็น นอกจากนี้ในชีวิตของท่านที่น่าแปลกใจคือท่านไม่เคยเข้าศึกษาวิชาอาคมจากสำนักใดๆเลย แต่ก็สามารถเรียกศรัทธาได้จากผู้คนด้วยวัตถุมงคลที่มีความขลังแบบไม่จำกัด และที่สร้างศรัทธาได้แบบคาตาชาวต่างชาติคือ การใช้พลังจิตช่วยขบวนรถไฟให้เคลื่อนที่ไปจอดยังสถานีที่มีความชันในประเทศอินเดีย ย้อนหลังไปในสมัยที่หลวงพ่อกัสสปมุนีได้เดินทางไปแสวงบุญที่ประเทศอินเดีย คุณเอื้อ บัวสรวง หนึ่งในผู้ติดตามได้เล่าถึงที่มาที่ไปของเรื่องนี้ว่า... ในการเดินทางครั้งนั้นมีอุปสรรคเกิดขึ้นกับคณะของเรา ในตอนเช้ามืดวันหนึ่งตู้นอนรถไฟที่เราเช่าไว้สำหรับคณะของเรา ณ สถานีรถไฟแห่งหนึ่งทางตอนเหนือของอินเดีย ถูกจอดทิ้งไว้อยู่ห่างจากตัวสถานี ๒๐ เส้นและเป็นเรื่องที่จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเข็นมาไว้ที่ใกล้ๆสถานีเพื่อใช้ประกอบกิจส่วนตัว เมื่อไปขอร้องให้เจ้าหน้าที่ของสถานีรถไฟช่วยเข็นก็พบว่าทั้งสถานีมีเจ้าหน้าที่อยู่เพียงสองคน หมู่คณะจึงลงมติว่าตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ด้วยการระดมแรงงานคนหนุ่มและแรงงานพระสงฆ์ที่ร่วมคณะอีก ๕-๖ รูปเพื่อช่วยกันเข็นรถไฟตู้นอนไปไว้ในสถานี แต่เนื่องจากสถานีตั้งอยู่บนเนิน การใช้แรงงานดังกล่าวจึงไม่ประสบความสำเร็จ เข็นเท่าไรก็ไม่ขยับ คุณเอื้อจึงได้ลองอาราธนาหลวงพ่อกัสสปมุนีด้วยสำเนียงที่เป็นเชิงเล่นว่า ช่วยที หลวงพ่อ ช่วยที หลวงพ่อ หลวงพ่อท่านตอบว่า ก็ลองดูยังได้ ว่าแล้วหลวงพ่อกัสสปมุนีจึงได้ใช้ไม้เท้ายาวราว ๑.๕๐ เมตรยกชูขึ้นไปในอากาศแล้วก็ส่งหัวไม้เท้ามาที่คุณเอื้อ จากนั้นท่านจึงได้ตั้งท่าเดินนำหน้า คุณเอื้อจึงรีบคว้าไม้เท้าที่ท่านส่งมาทันที คุณเอื้อได้บันทึกถึงเรื่องราวตอนนี้ไว้ว่า ทันใดนั้น ผมรู้สึกราวกับถูกไฟฟ้าดูด หรือเหมือนผมไปจับสายไฟฟ้าแบตเตอรี่รถยนต์ แล้วรถไฟก็เคลื่อนตามหลวงพ่อกัสสปมุนีไป ผมยังได้ร้องขอให้พระอาจารย์วิริยังค์ช่วยด้วย ท่านอาจารย์วิริยังค์ตอบว่าไม่ได้ศึกษามาทางนี้ เหตุการณ์ดังกล่าวจบลงตรงที่รถตู้นอนได้มาจอดที่ชานชาลาสถานีอย่างเรียบร้อย ซึ่งการที่หลวงพ่อกัสสปมุนีสามารถทำให้ตู้นอนรถไฟเคลื่อนที่จากที่ต่ำผ่านเนินสูงได้นั้น หลายความเห็นมีความเชื่อตรงกันว่า เป็นผลมาจากอำนาจฌานสมาบัติที่หลวงพ่อได้บำเพ็ญเพียรมา และเมื่อมีลูกศิษย์ถามว่าหลวงพ่อสามารถทำได้อย่างไร ท่านตอบว่า
ใช้การรวมพลังเข้ามาเป็นหนึ่งและออกเดินนำหน้าทันทีไม่เหลียวหลัง ไม่ใช่ อิทธิวิธี (อภิญญา)หากแต่เป็นการใช้ อาโลกกสิณ (ความว่าง) ครับนี่คือตัวอย่างที่แสดงถึงบารมีของหลวงพ่อ อันเป็นสิ่งที่ก่อให้เกิดความศรัทธาขึ้นในหมู่คณะ โดยมีความมหัศจรรย์ของพลังจิตเป็นแรงหนุน ซึ่งผมเชื่อว่าอย่างน้อยมันก็เป็นการบอกให้เพื่อนๆทราบว่า ความสำเร็จไม่ใช่เรื่องที่จะได้มันมาโดยง่าย ในชีวิตของหลวงพ่อกัสสปมุนี ท่านได้อนุโลมให้สร้างวัตถุมงคลเพื่อเป็นอนุสติน้อมนำคนที่ยังต้องการสิ่งยึดมั่นทางจิตใจ สิ่งที่น่าสังเกตุคือ ตัวยันต์ ที่ท่านได้นำมาไว้ด้านหลังขององค์พระ จะว่าไปแล้ว ตัวยันต์ดังกล่าวถือเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของหลวงพ่อเลยครับ พบเห็นที่ไหนไม่ผิดฝาผิดตัวแน่นอน จากความรู้ส่วนตัวที่ได้สะสมมาพบว่าในรูปแบบของตัวยันต์ดูอย่างไรก็ไม่อาจเข้าใจได้ครับ เมื่อสอบถามจากบรรดาลูกศิษย์จึงทราบว่าตัวยันต์ดังกล่าวหลวงพ่อท่านได้จากนิมิตในขณะที่ท่านนั่งสมาธิ คุณสมบัติทราบเพียงแต่ว่า ครอบจักรวาล
พระยันต์นี้ชื่อว่า พุทธเกษตร พุทธะ หมายถึง ผู้รู้ เกษตร เป็นภาษาสันสกฤต แปลว่า ที่อยู่ ที่ตั้ง ชะรอยหรือว่านี่คือ ปริศนาธรรม ด้วยเหตุผลที่ว่าจักรวาลนี้ไม่ว่ามันจะกว้างใหญ่แค่ไหน มันก็ยังมีที่ตั้งของมัน แน่นอนครับเมื่อมีที่ตั้ง มันก็ต้องดำรงอยู่ และดับไปในที่สุด เพียงแต่คนที่จะทราบก็คือ พุทธะ เท่านั้น
เมื่อครั้งที่พระพุทธเจ้ากับพระภิกษุทั้งหลายกำลังเดินกันอยู่ในป่า พระพุทธเจ้าท่านได้ทรงกอบใบไม้ที่มีมากมายเกลื่อนกลาดอยู่ขึ้นมากำมือหนึ่งและทรงตรัสถามภิกษุทั้งหลายว่า ใบไม้ในกำมือนี้มากหรือน้อยเมื่อเทียบกับใบไม้หมดทั้งป่า ภิกษุทั้งหลายก็ตอบว่า ใบไม้ทั้งป่ามีอยู่มากกว่ากันมากจนมิอาจนำมาเปรียบเทียบได้ พระพุทธองค์จึงตรัสว่า เรื่องที่ตรัสรู้และรู้นั้นมันมาก เท่ากับใบไม้ทั้งป่า แต่เรื่องที่จำเป็นที่ควรรู้ ควรนำมาสอนและนำมาปฏิบัติ อันได้แก่ "เรื่องการดับทุกข์" นั้น เท่ากับใบไม้กำมือเดียว ครับเรื่องราวต่างๆในโลกนี้ล้วนมีมากมายเหมือนใบไม้ในป่า เรื่องที่ไม่มีประโยชน์ ก็ไม่ต้องสอน เรื่องที่สมควรบอกเป็นรายบุคคลก็มีมากบางเรื่องที่พูดไปแล้วเกิดโทษ ก็ให้งดไว้ บางเรื่องก็ไม่จำเป็นต้องรู้ เพราะไม่มีความจำเป็น ก็มีเยอะ แต่เรื่องที่ต้องสมควรรู้เกี่ยวกับหลวงพ่อกัสสปมุนี มีแน่นอนในตอนหน้า...สวัสดีครับ
ขอขอบคุณเอกสารอ้างอิง หนังสือปกิณกสารธรรม อนุสรณ์ ๑๐ ปีแห่งการมรณภาพของหลวงพ่อกัสสปมุนี หนังสือ หกเดือนบนภูกระดึงและเมื่อข้าพเจ้ามาพบที่ใหม่ คุณพรชนก สุขพงษ์ไทย สำหรับภาพถ่าย เพื่อนต่อกับคำแนะนำ คุณสมบูรณ์ ร้านนายฮ้อ สระบุรี สำหรับกำลังใจครับ
|
ถึง บล็อกเกอร์ ทุกท่าน โปรดอ่าน
ด้วยทาง บริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จำกัด (มหาชน) ได้ติดต่อขอความร่วมมือ มายังเว็บไซต์และเว็บบล็อกต่าง ๆ รวมไปถึงเว็บบล็อก OKnation
ห้ามให้มีการเผยแพร่ผลงานอันมีลิขสิทธิ์ ของบริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ฯ บนเว็บ blog โดยกำหนดขอบเขตของสิ่งที่ห้ามทำ และสามารถทำได้ ดังนี้
ห้ามทำ - การใส่ผลงานเพลงต้นฉบับให้ฟัง ทั้งแบบควบคุมเพลงได้ หรือซ่อนเป็นพื้นหลัง และทั้งที่อยู่ใน server ของคุณเอง หรือ copy code คนอื่นมาใช้ - การเผยแพร่ file ให้ download ทั้งที่อยู่ใน server ของคุณเอง หรือฝากไว้ server คนอื่น สามารถทำได้ - เผยแพร่เนื้อเพลง ต้องระบุชื่อเพลงและชื่อผู้ร้องให้ชัดเจน - การใส่เพลงที่ร้องไว้เอง ต้องระบุชื่อผู้ร้องต้นฉบับให้ชัดเจน จึงเรียนมาเพื่อโปรดปฎิบัติตาม มิเช่นนั้นทางบริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ฯ จะให้ฝ่ายดูแลลิขสิทธิ์ ดำเนินการเอาผิดกับท่านตามกฎหมายละเมิดลิขสิทธิ์
OKNATION
กฎกติกาการเขียนเรื่องและแสดงความคิดเห็น
1 การเขียน หรือแสดงความคิดเห็นใด ๆ ต้องไม่หมิ่นเหม่ หรือกระทบต่อสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ หรือกระทบต่อความมั่นคงของชาติ
2. ไม่ใช้ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่นในทางเสียหาย หรือสร้างความแตกแยกในสังคม กับทั้งไม่มีภาพ วิดีโอคลิป หรือถ้อยคำลามก อนาจาร 3. ความขัดแย้งส่วนตัวที่เกิดจากการเขียนเรื่อง แสดงความคิดเห็น หรือในกล่องรับส่งข้อความ (หลังไมค์) ต้องไม่นำมาโพสหรือขยายความต่อในบล็อก และการโพสเรื่องส่วนตัว และการแสดงความคิดเห็น ต้องใช้ภาษาที่สุภาพเท่านั้น 4. พิจารณาเนื้อหาที่จะโพสก่อนเผยแพร่ให้รอบคอบ ว่าจะไม่เป็นการละเมิดกฎหมายใดใด และปิดคอมเมนต์หากจำเป็นโดยเฉพาะเรื่องที่มีเนื้อหาพาดพิงสถาบัน 5.การนำเรื่อง ภาพ หรือคลิปวิดีโอ ที่มิใช่ของตนเองมาลงในบล็อก ควรอ้างอิงแหล่งที่มา และ หลีกเลี่ยงการเผยแพร่สิ่งที่ละเมิดลิขสิทธิ์ ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบหรือวิธีการใดก็ตาม 6. เนื้อหาและความคิดเห็นในบล็อก ไม่เกี่ยวข้องกับทีมงานผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซต์ โดยถือเป็นความรับผิดชอบทางกฎหมายเป็นการส่วนตัวของสมาชิก คลิ้กอ่านเงื่อนไขทั้งหมดที่นี่"
OKnation ขอสงวนสิทธิ์ในการปิดบล็อก ลบเนื้อหาและความคิดเห็น ที่ขัดต่อความดังกล่าวข้างต้น โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ต่อเจ้าของบล็อกและเจ้าของความคิดเห็นนั้นๆ
|
||
![]() ![]() |
<< | ธันวาคม 2009 | >> | ||||
อา | จ | อ | พ | พฤ | ศ | ส |
1 | 2 | 3 | 4 | 5 | ||
6 | 7 | 8 | 9 | 10 | 11 | 12 |
13 | 14 | 15 | 16 | 17 | 18 | 19 |
20 | 21 | 22 | 23 | 24 | 25 | 26 |
27 | 28 | 29 | 30 | 31 |