หากไม่มีความวุ่นวาย เราคงไม่นึกถึงความสงบ ใครบางคนเคยบอกอย่างนั้น ยิ่งในทุกวันนี้เรื่องของการเมืองที่นับวันจะดูลึกลับซับซ้อนมากกว่าเรื่องของไสยศาสตร์เข้าไปทุกที สมองของคนเรามีพื้นที่ให้ขบคิดมากมายครับ ดังนั้นอย่าปักใจเชื่อในเรื่องที่ได้ยินจากปากคำของคนอื่น จนกว่าจะได้มาเห็นและสัมผัสด้วยตนเอง ในบรรยากาศที่ลึกลับๆ แบบนี้ กิจกรรมค้นหาความสนุกของพวกเรา จึงหนีไม่พ้นการไปซอกแซกตามวัดเพื่อกราบครูบาอาจารย์ ปัญหาจึงมีอยู่ว่าจะไปวัดไหนกันดีล่ะ ระหว่างที่นั่งรอฤกษ์อยู่ในรถ เพื่อนร่วมอุดมคติที่นั่งอยู่ในตำแหน่งพลขับ มั่นใจในการนำเสนอชื่อวัดให้กับพวกเราอย่างไม่ต้องเสียเวลาคิด ไปกราบหลวงพ่อตี๋ วัดบางคณฑีในกันดีกว่าเพราะว่าวัดนี้ได้ชื่อว่า ขวัญใจคนจน ตลอดจนให้บูชาพระมาตรฐาน ปริมาณคุ้มราคา
ตามปกติแล้วเวลาไปวัด พวกเราไม่ได้วางแผนการณ์หรือแนวทางอะไรไว้มากมายหรอกครับ เพราะจากประสบการณ์ที่ผ่านๆ มาสอนให้พวกเรารู้ว่าการไปแต่ละครั้งไม่ควรเร่งเวลาให้กระชั้นเกินไปนัก ประเภทที่ว่าก้าวขาลงจากรถไม่ถึงสองนาทีก็ต้องขึ้นรถไปต่อเห็นท่าจะไม่สนุกแน่ แต่ก่อนพวกเราเคยมีความคิดว่าในการเดินทางแต่ละครั้งแล้วเที่ยวได้หลายวัดถือว่าคุ้มค่า ต่อมาเมื่อบรรลุถึงสัจธรรมพวกเราจึงเรียนรู้ว่า แท้จริงแล้วความคุ้มค่าไม่ได้วัดกันที่ปริมาณ หากแต่วัดกันที่ความสุขใจเป็นสำคัญ ใช่แล้วครับ ความสุขอยู่ที่จุดหมาย ความประทับใจอยู่ที่ว่าเราจะได้อะไรกลับไป (มากกว่า)
สำหรับพวกเราแล้วการมาวัดบางคณฑีในครั้งนี้ก็คงนับไม่ได้แล้วว่าเป็นครั้งที่เท่าไร แต่พอจำความรู้สึกในครั้งแรกที่มาเยือนได้ว่าเป็นอย่างไร สภาพของวัดที่สร้างในสมัยกรุงศรีอยุธยา จึงมีลักษณะแบบกลางเก่ากลางใหม่ สิ่งก่อสร้างในวัดหลายอย่างที่ต้องซ่อมแซมบำรุง โดยเฉพาะฌาปนสถานของวัดที่ถือเป็นความสำคัญอันดับแรกที่ต้องปรับปรุง มาถึงวันนี้หลวงพ่อตี๋ท่านได้ดำเนินการซ่อมแซมฌาปนสถานไปบ้างแล้วครับแต่คงยังไม่เสร็จ ดังนั้นเพื่อไม่ให้ชาวบ้านที่เข้ามาใช้บริการต้องเดือดร้อน หลวงพ่อจึงต้องลงเงินลงแรงสร้างเป็นเชิงตะกอนชั่วคราวขึ้นมาใช้ทดแทนไปก่อน ซึ่งท่านบอกว่าเป็นเรื่องของวัดที่ต้องรับผิดชอบต่อชุมชน สมัยก่อนบริเวณพื้นที่ว่างของวัดถูกใช้เป็นที่ฝังศพ หลวงพ่อเล่าว่าไม่ต้องใช้บริการไม้ล้างป่าช้าแบบเครื่องจีที ๒๐๐ เพราะขุดไปตรงไหนก็เจอ จากประสบการณ์สมัยที่หลวงพ่อยังเป็นชาวประมงทำให้ท่านรู้ธรรมเนียมชาวเรือว่า เวลาลากอวนติดศพต้องนำกลับเข้ามายังฝั่งและทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ ซึ่งการกระทำแบบนี้จะนำความเจริญรุ่งเรืองมาสู่ชาวเรือ หลายครั้งที่ไต้ก๋งใหม่ๆ ไม่ยอมปฏิบัติแบบนี้ ปล่อยทิ้งขว้างโดยถือว่าไม่ใช่หน้าที่ และก็เป็นเรื่องจริงครับที่ว่าในเวลาไม่นานนักกิจการก็จะเสื่อมลงแบบทันตาเห็น ซึ่งความอาถรรพ์แบบนี้ปัจจุบันยังคงมีให้เห็นเป็นประจักษ์ ดังนั้นเมื่อท่านมีเวลาว่างจากกิจของสงฆ์ ท่านจึงได้เข้าจัดเก็บอย่างไม่รังเกียจ การลงมือกระทำด้วยใจให้เห็นเป็นตัวอย่างแบบต่อเนื่องและสม่ำเสมอ ในเวลาไม่นานนักท่านก็ได้แนวร่วมเป็นพระบวชใหม่(สมัยนั้น)เข้ามาช่วยกันทำจนแล้วเสร็จเป็นหมวดหมู่อยู่ในโกดังและตามกำแพงโบสถ์ดังที่ปรากฏอยู่ในทุกวันนี้ครับ
มันไม่ใช่หน้าที่ มันเป็นเรื่องของการสงเคราะห์ การมีน้ำใจให้แก่กัน พอได้ทำไปเรื่อยๆ มันก็ได้คิดว่า คนเราเกิดมาแล้วก็ต้องตาย สังขารร่างกายไม่ใช่ของเรา เมื่ออยู่ก็ต้องอยู่อย่างมีคุณค่า ส่วนใหญ่คนเรามักจะเคยชินกับการใช้เงินทำบุญ จนลืมคิดไปว่าถึงไม่มีเงินก็สามารถทำบุญได้ เช่นการกวาดลานวัด ล้างห้องน้ำของวัด ล้างป่าช้า ฯลฯ ซึ่งทั้งหมดนี้ก็คือเรื่องของการใช้แรงกายและความตั้งใจมาทำ การทำงานอะไรก็แล้วแต่ หากเป็นการทำด้วยความสมัครใจและไม่หวังผลประโยชน์ส่วนตน จิตใจก็จะมีแต่ความสุข ความสุขที่เกิดขึ้นนี่แหละคือผลจากการทำบุญ หากคิดกันแค่ว่ามีเงินเท่านั้นถึงจะทำบุญได้ แล้วคนจนๆ ล่ะ จะมีโอกาสได้ทำบุญไหมครับพี่น้อง (พิมพ์สมเด็จเนื้อไม้แก่นมะขาม-หลวงปู่หลา) ว่ากันว่าชีวิตคนเรามีสองทางให้เลือก ทางหนึ่งคือเลือกให้ชีวิตดำเนินไปอย่างปกติ อีกทางหนึ่งคือเราเลือกที่จะดำเนินชีวิตตามที่เราต้องการ สำหรับหลวงพ่อตี๋ สุจิณโณ เจ้าอาวาสวัดบางคณฑีใน ท่านก็ไม่ต่างไปจากพวกเราหรอกครับ เพราะส่วนหนึ่งท่านได้เลือกให้ชีวิตของท่านดำเนินไปตามปกติในแนวทางของพระพุทธศาสนา คือการปฏิบัติตามกิจของสงฆ์อันพึงกระทำ กลับกันถ้าเป็นเรื่องของการสร้างพระแล้ว ท่านเลือกที่จะดำเนินการผลิตตามแนวทางที่ท่านต้องการครับ ภายใต้เงื่อนไขว่า รับผิดชอบหน้าตาของตัวเอง เพราะในการสร้างทุกครั้งหากท่านไม่ลงมือกระทำด้วยตนเอง ดูเหมือนว่าของมันจะไม่สมประกอบ ท่านว่าแบบนั้น แน่นอนครับว่าเงื่อนไขแบบนี้ มันต้องมีที่มาที่ไป กว่าที่หลวงพ่อตี๋ ท่านจะสร้างพระได้ขลังขนาดนี้ท่านบอกว่าต้องลองผิดลองถูกมาไม่รู้ตั้งกี่ครั้งกี่หน บางครั้งสร้างและเสกออกมาแล้วไม่ได้เป็นที่ถูกใจ ท่านก็จะยุบทิ้งเสียทั้งหมด การเรียนรู้วิธีการสร้างและการเสกจากประสบการณ์ที่บกพร่องของตนเองทำให้หลวงพ่อต้องมาตั้งคำถามกับตัวเองว่า รูปแบบหรือวิธีการควรจะเป็นอย่างไร ท่านเล่าว่าหลังจากที่ท่านได้หันมาทบทวนถึงข้อบกพร่องที่เกิดขึ้น ท่านจึงได้เข้าไปแทรกซึมและศึกษาวิธีการสร้างพระจากหลวงปู่หลา สุขวโร เจ้าอาวาสวัดบางคณฑีใน(ขณะนั้น) หลวงปู่หลาท่านเป็นพระที่ซ่อนความขลังไว้ใต้รอยยิ้ม ท่านได้ทำหลายสิ่งหลายอย่างให้หลวงพ่อตี๋ได้เห็น แต่ก็เหมือนจะแกล้ง กล่าวคือ เมื่อหลวงปู่หลาทำเสร็จท่านก็จะเก็บ ถ้าแจกก็จะแจกแก่คนทั่วไป แต่สำหรับหลวงพ่อตี๋แล้วท่านไม่ยอมให้กลับยุส่งให้ไปทำเอาเอง
(ลูกอมเทียนกรรมฐาน-หลวงปู่หลา) ดังนั้นเมื่อสถานการณ์บีบบังคับกันขนาดนี้ ถ้าเป็นคนอื่นคงแอบคิดไม่ได้ว่าชะรอย ความสมานฉันท์ คงเป็นเพียงแค่ คำขวัญที่เป็นไปไม่ได้ แต่สำหรับหลวงพ่อตี๋แล้วท่านไม่สนคำขวัญแบบนี้หรอกครับ เนื่องจากท่านถือคติที่ว่า ถึงมุมมองจะต่างกันแต่ความสัมพันธ์ไม่ต่างเดิน ครับ เพราะในที่สุดแล้วก็เป็นหลวงพ่อตี๋นี่แหละครับเป็นผู้ทำหน้าที่หลักอย่างเป็นทางการในเรื่องของการผสมผงและกดเป็นพระมาให้หลวงปู่หลาเสก หลวงปู่หลา ท่านเป็นพระเงียบๆ แต่ใจดี ยิ้มทั้งวัน เรียกว่ายิ้มตลอด ๒๔ ชั่วโมง เราเชื่อว่าท่านต้องสำเร็จอะไรบางอย่าง เพราะท่านสามารถหยิบฉวยอะไรก็ได้มาเสกมาสร้างให้ขลัง พระของท่านน่ะ หมากัดไม่เข้า หลวงพ่อเล่าว่าการที่ท่านได้เข้าไปสังเกตุและศึกษากับหลวงปู่หลาอยู่บ่อยครั้ง ทำให้ท่านได้เรียนรู้ถึงการใช้วัตถุดิบที่มีอยู่ตามธรรมชาติและสิ่งที่มีอยู่รอบตัว นำมาประจุคาถาอาคมให้เกิดความขลัง เช่น การสร้างลูกอมน้ำตาเทียน การสร้างพระจากเนื้อขนมเทียน ขนมเข่ง ฟังแล้วก็รู้สึกแปลกดีครับ ขนมเข่งนำมาสร้างพระได้ แต่เมื่อม้วนตัวตีลังกาสามตลบคิดอีกที อย่าว่าแต่ขนมเข่งเลย ผลมะตูม ขนมกระยาสารท หลวงปู่หลาท่านก็เอามาสร้างเป็นพระได้เหมือนกัน เรื่องแบบนี้ค่อนข้างออกเป็นแนวภูมิปัญญาชาวบ้านแท้จริง บางครั้งนะครับ พระที่สวย อาจไม่ได้ขึ้นอยู่กับการมีแม่พิมพ์ที่ดี พระที่มีคุณค่า อาจไม่ได้อยู่ที่มวลสาร แค่เรารู้ว่าผู้สร้าง สร้างด้วยความตั้งใจ พระก็แลดูดีและมีคุณค่าตั้งแต่ยังไม่ได้สร้างด้วยซ้ำไป จะว่าไปแล้วการจะสร้างพระให้ดีต้องไม่ใช่เพียงแค่คิด หากแต่ผู้สร้างต้องยอมเสียสละตนมาลงมือทำ อย่างที่หลวงพ่อตี๋บอกแหละครับว่า คุณค่าของวัตถุมงคลอยู่ที่การสร้างด้วยความมั่นใจในตนเอง ดังนั้นในเรื่องมูลค่าราคาของพระจึงไม่ใช่คำตอบที่ท่านต้องการ ท่านยอมรับว่าผลของการตกผลึกทางความคิดครั้งนั้น ทำให้ท่านหลุดจากกรอบความคิด ที่เดิมตัวเองเคยคิดว่าที่เรียนมาแน่นพอแล้ว สู่กรอบความคิดใหม่ที่แน่นและแน่นอนกว่าอย่างแท้จริง
(พิมพ์ขุนแผนเนื้อขนมเทียน ขนมเข่ง-หลวงปู่หลา) พวกเราขอให้หลวงพ่อเล่าถึงเรื่องของหลวงปู่หลา สุขวโร หรือ พระครูพิศาลสมุทรคุณ เจ้าอาวาสองค์เก่าซึ่งมีศักดิ์เป็นหลวงอาของท่าน ก่อนที่เราจะออกไปต่อยอดความรู้และสัมผัสเรื่องราวของหลวงปู่หลาจากชาวบ้านในพื้นที่ด้วยตัวของพวกเราเอง หลวงพ่อค่อยๆ เล่าถึงเรื่องราวแต่หนหลังของหลวงปู่หลาทั้งในเรื่องปกติและเรื่องที่ถือว่ามหัศจรรย์ ซึ่งในประเด็นส่วนหลังท่านบอกว่าไม่ค่อยอยากเผยแพร่ถึงแม้จะเป็นเรื่องจริง เนื่องจากว่าไม่มีหลักฐานยืนยัน เช่นเรื่องที่หลวงปู่หลามรณภาพแล้วร่างกายไม่เน่าเปื่อย ถึงแม้เวลาจะผ่านไปนานขนาดไหนก็ตามสังขารของท่านก็คงอยู่ในสภาพเดิม แต่สุดท้ายแล้วก็ต้องทำพิธีพระราชทานเพลิงศพตามความประสงค์ของหลวงปู่ที่เคยบอกไว้ก่อนละสังขาร ดังนั้นเมื่อไม่มีสังขารให้เห็นเป็นหลักฐานแล้วจะเอาอะไรมายืนยันว่าเรื่องนี้เป็นความจริง จริงอยู่ครับถึงเรื่องแบบนี้หลวงพ่อจะไม่ต้องการความคิดเห็นตอบ แต่พวกเราก็ได้แสดงความคิดเห็นร่วมว่า ถึงแม้ไม่มีสังขารของหลวงปู่เป็นหลักฐาน แต่ความมหัศจรรย์ในเรื่องแบบนี้ย่อมต้องถูกบันทึกอยู่ในความทรงจำของคนที่นี่ เพราะคุณธรรมและความมีเมตตาของหลวงปู่หลา มันได้ฝังเป็นความงดงามเล็กๆ ลงในจิตใจของชาวบ้านแถบบางคนทีแห่งนี้แน่นอน อีกประการหนึ่งประวัติศาสตร์ของความจริงควรปรากฏและคนทั่วไปจะได้รับรู้ถึงความศักดิ์สิทธิ์อันนี้ เรื่องดีๆ ก็บอกไปเถอะ โดยเฉพาะเรื่องพระที่หลวงปู่หลาท่านได้สร้างไว้ นั่นแหละท่านถึงยอมแบบประชาธิปไตยคือตามเสียงส่วนใหญ่ หลวงพ่อเล่าว่า...
รอยยิ้ม คือตัวแทนของหลวงปู่ และญาติโยมรอบๆ วัด หลวงปู่ท่านก็รักเหมือนลูกหลานทุกคน สมัยที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ในแต่ละวันมักจะมีคนเข้ามาขอความช่วยเหลือจากท่านเสมอๆ บ้างก็มาขอพระ บ้างก็มาขอเงิน ซึ่งหลวงปู่ไม่เคยขัดหากสิ่งนั้นเป็นส่วนของท่านที่ไม่ใช่สมบัติของวัด หลวงปู่เคยให้เงินที่ได้รับจากการเทศน์แก่คนขับมอเตอร์ไซด์รับจ้างไปทั้งซอง(ประมาณ ๕๐๐ บาท) เพียงเพราะเขาขับรถมาส่งท่านที่วัด ถ้ามีใครถามท่านถึงเรื่องของการให้แบบนี้ ท่านก็จะตอบด้วยเหตุผลข้อเดียวคือ เก็บไว้ก็เป็นทุกข์ หลวงปู่หลาท่านเป็นลูกศิษย์ที่ขึ้นกรรมฐานกับท่านพ่อบัณฑูรสิงห์ แห่งวัดบัณฑูรสิงห์ ตำบลบางโทรัด อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรสาครครับ ท่านพ่อบัณฑูรสิงห์ถือว่าเป็นฆราวาสผู้ทรงธรรมและได้รับการยกย่องให้เป็น ปราชญ์ชุมชนแห่งบางโทรัด จะว่าไปแล้วชื่อเสียงของท่านพ่อบัณฑูรสิงห์ถึงจะไม่ค่อยแพร่หลายออกไปยังวงกว้าง แต่ถ้าใครเคยศึกษาในเรื่องเกี่ยวกับกรรมฐานหรือเรื่องของวัตถุมงคลมาบ้าง ก็จะรู้ว่าท่านพ่อบัณฑูรสิงห์ท่านศักดิ์สิทธิ์ขนาดไหน ซึ่งประวัติและเรื่องราวของท่านพ่อบัณฑูรสิงห์เป็นเรื่องที่น่าศึกษาครับ เพราะไม่ง่ายนักที่ชีวิตของคนๆ หนึ่งจะได้รับการยกย่องให้อยู่ในหน้าของประวัติศาตร์แห่งความดีงามและจิตใจของผู้คนตั้งแต่อดีตมาจนถึงทุกวันนี้ อิมินา สักกาเรนะ อาจาริยัง คุนัง บัณฑูรสิงห์ ปิตุรัง อะภิปู ชะยามิ
ท่านพ่อบัณฑูรสิงห์ เดิมชื่อ พ่อเจิม คุณาบุตร เกิดเมื่อ ๒๘ เมษายน ๒๔๓๔ ณ บางโทรัด สมุทรสาคร บิดามารดาของท่านชื่อ ปู่แพ-ย่านุ่ม คุณาบุตร มีพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน ๖ คน ท่านพ่อเป็นบุตรคนที่สองครับ สมัยเด็กๆ ท่านได้ชื่อว่าเป็นผู้ที่มีความสงบเสงี่ยมและสามารถอดกลั้นอารมณ์ต่างๆ ได้เป็นอย่างดี ต่อมาท่านได้บวชเป็นสามเณรเมื่ออายุได้ ๑๕ ปี ณ วัดใหญ่บ้านบ่อ จังหวัดสมุทรสาคร และอุปสมบทเป็นพระภิกษุเมื่ออายุครบ ๒๐ ปีบริบูรณ์ ณ วัดบางพลีใหญ่ ตำบลบางโทรัด จังหวัดสมุทรสาคร สมัยที่พ่อท่านบัณฑูรสิงห์ยังบวชอยู่ ท่านได้ไปขอเรียนกรรมฐานและร่วมเดินธุดงค์กับหลวงพ่อหรุ่น วัดช้างเผือก อำเภออัมพวา จังหวัดสมุทรสงคราม สำหรับชื่อเสียงและชื่อชั้นของหลวงพ่อหรุ่นองค์นี้ คงไม่ต้องพูดกันมากครับ เอาเป็นว่าท่านเป็นพระที่ทั้งดีและเก่งอันดับต้นๆ ของเมืองไทยละกัน ยุคสมัยนั้นหากพระองค์ไหนจะเดินธุดงค์จะต้องผ่านการเข้าปริวาสกรรมเสียก่อน เล่ากันว่าท่านพ่อบัณฑูรสิงห์ได้บรรลุธรรมในขณะอยู่ปริวาสนั่นแหละครับ ซึ่งเรื่องนี้ได้มีผู้บันทึกจากคำบอกเล่าของท่านพ่อไว้ว่า ได้เห็นร่างกายโปร่งชัดเจนเหมือนกระจกแก้วไปทั้งร่าง ครั้งแรกแปลกใจ แต่เก็บความรู้สึกไว้ สอบสวนอยู่ทุกคืน และโอกาสที่ได้นั่งกรรมฐาน จนแน่ชัดแล้วจึงคิดว่า เมื่อเราเห็นในตัวชัดแจ้งอย่างนี้แล้ว ในดินตรงหน้านี้มีอะไรบ้าง ก็เห็นในพื้นดินแจ้งไปทั้งหมด สงสัยตรงไหนตรงนั้นก็เห็น ไม่มีสิ่งใดบังกั้นเลยเป็นเวลานาน ในประเด็นเรื่องของการที่ท่านพ่อบัณฑูรสิงห์ได้บรรลุธรรมครั้งนี้ หลวงพ่อหรุ่นผู้เป็นอาจารย์ท่านได้กล่าวคำรับรองการบรรลุธรรมนี้ต่อหมู่คณะสงฆ์ว่า คุณเจิม รู้ธรรมแล้ว นอกจากเรื่องของการบรรลุธรรมแล้ว ยังมีความเชื่ออีกมากมายครับที่เกี่ยวกับท่านพ่อบัณฑูรสิงห์ โดยเฉพาะเรื่องของการปฏิบัติธรรมตามแนวทางของท่านที่ได้วางรากฐานไว้ ซึ่งการปฏิบัติธรรมดังกล่าวได้ถูกกระทำสืบทอดมาจนเป็นวัฒนธรรมและประเพณีของท้องถิ่นเลยทีเดียวครับ นอกจากนี้ในวันเฉลิมพระชนมพรรษาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จะมีประชาชนมาทำบุญที่วัดกันมากเป็นพิเศษ เพราะท่านพ่อบัณฑูรสิงห์ ได้สอนไว้เสมอๆ ว่า
ศาสนาจะอยู่ได้ก็ต้องอาศัยพระมหากษัตริย์ เป็นองค์อุปถัมภ์ ทั้งสามสถาบันจะขาดอย่างใดอย่างหนึ่งมิได้ คือชาติ ศาสนา และองค์พระมหากษัตริย์ เปรียบเสมือนกับไตรสิกขา ซึ่งได้แก่ ศีล สมาธิและปัญญา ครับ เรื่องราวของท่านพ่อบัณฑูรสิงห์สอดคล้องกับเรื่องเล่าของหลวงพ่อตี๋ ตรงที่ว่า ท่านพ่อบัณฑูรสิงห์เป็นผู้ทรงคุณธรรมและชำนาญในเรื่องของพระกรรมฐาน โดยเฉพาะการนั่งทางในที่สามารถบอกกล่าวเรื่องราวต่างๆ ได้ชัดเจนและแม่นยำ พระเกจิอาจารย์ที่มีชื่อเสียงในเขตจังหวัดสมุทรสาครและสมุทรสงครามจำนวนไม่น้อยที่ได้ขอเข้าศึกษากรรมฐานกับท่าน ซึ่งโดยส่วนตัวของหลวงปู่หลาแล้วท่านให้ความเคารพท่านพ่อบัณฑูรสิงห์มาก และในช่วงที่หลวงปู่หลาศึกษากรรมฐานอยู่กับท่านพ่อบัณฑูรสิงห์ ท่านพ่อได้มอบภาพถ่ายของท่านไว้เป็นที่ระลึก(ปัจจุบันถูกเก็บรักษาไว้ภายในกุฏิของหลวงปู่) และมอบดินศักดิ์สิทธิ์ให้หลวงปู่หลาไว้ทำประโยชน์ในภายหน้า
ดินศักดิ์สิทธิ์ที่ว่านี้มีลักษณะเป็นดินละเอียดสีเหลืองคล้ายทอง ซึ่งท่านพ่อบัณฑูรสิงห์ได้นั่งทางในและพบว่าใต้พื้นดินของวัดบัณฑูรสิงห์มีดินศักดิ์สิทธิ์ที่มีลักษณะดังว่า ท่านจึงสั่งให้คนช่วยกันขุดขึ้นมาตรงบริเวณที่ท่านนั่งทางในเห็น หลังจากที่ลูกศิษย์ได้ช่วยกันขุดลงไปลึกพอสมควรก็พบว่ามีดินลักษณะตรงตามที่ท่านพ่อบอกไว้จริงๆ ในประเด็นเรื่องดินศักดิ์สิทธิ์นี้ หลวงพ่อตี๋ท่านบอกว่า ใครจะเชื่อก็ได้ ไม่เชื่อก็ได้ เพราะเรื่องของความเชื่อไม่มีใครบังคับกันได้ แต่ที่แน่ๆ หลวงปู่หลาท่านให้ความสำคัญกับดินศักดิ์สิทธิ์นี้มาก เพราะในการสร้างพระของหลวงปู่หลาทุกครั้งท่านจะต้องนำดินศักดิ์สิทธิ์นี้มาเป็นมวลสารหลักเสมอ หลวงพ่อตี๋เล่าว่า ในชีวิตของหลวงปู่หลา ท่านได้สร้างวัตถุมงคลไว้พอสมควร เช่นลูกอมเทียนกรรมฐาน พระสมเด็จเนื้อไม้แก่นมะขาม พระผงพิมพ์กลีบบัว พระผงพิมพ์หยดน้ำ พระขุนแผนเนื้อขนมเทียน ขนมเข่ง พระปิดตาเนื้อผงแบบหลังเรียบและหลังนูน พระรูปเหมือนหลวงปู่หลาเนื้อผง เบี้ยจั่น ฯลฯ โดยรายละเอียดเกี่ยวกับการสร้างพระของหลวงปู่หลาในแต่ละแบบ เท่าที่ฟังจากหลวงพ่อตี๋ ต้องบอกว่าน่าสนใจครับ การใช้ภูมิปัญญาชาวบ้านแบบง่ายๆ แต่ไม่ใช่ว่าจะคิดได้ทุกคน ทำให้พระที่หลวงปู่หลาสร้างขึ้น มีความดิบๆ อันเป็นเสน่ห์และอัตลักษณ์เฉพาะตัวครับ
ซึ่งประเด็นดิบๆ แบบนี้แหละที่พวกเราเห็นตรงกันว่า มีคุณค่าไม่ด้อยไปกว่าพระที่สร้างออกมาแบบสมัยใหม่ที่เน้นความสวยงามเลยเชียว ถ้าจะเทียบกันแบบหมัดต่อหมัด ผมว่าพระของหลวงปู่หลากินขาด โดยเฉพาะพระเนื้อผงพิมพ์รูปเหมือนหลวงปู่หลา ซึ่งหลวงพ่อตี๋บอกว่าหลวงปู่หลานำดินศักดิ์สิทธิ์มาผสมในอัตราหนึ่งถ้วยน้ำชาต่อหนึ่งครกตำเลยทีเดียว
สำหรับเพื่อนๆ ที่สนใจจะทำบุญบูชาพระพิมพ์นี้ ต้องสังเกตุตรงที่ว่าถ้าเป็นเนื้อออกสีน้ำตาล ซึ่งมีแก่นไม้มะขามผสม จะเป็นการกดพิมพ์โดยหลวงปู่หลา แต่ถ้าเป็นแบบเนื้อสีขาวๆ นวลๆ ทั้งมีตะกรุดและไม่มีตะกรุด จะเป็นส่วนที่หลวงพ่อตี๋ได้ช่วยหลวงปู่หลากดพิมพ์ครับ พระทั้งสองเนื้อนี้ถูกจัดสร้างมาเวลาไล่เลี่ยกัน ซึ่งหลวงปู่หลาได้นำพระทั้งสองแบบนี้เข้าไปปลุกเสกแบบบินเดี่ยวภายในกุฏิของท่านจนท่านมรณภาพลงเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๓๗ ผมเคยตั้งคำถามกับตัวเองว่า เพราะอะไรพระที่หลวงปู่หลาสร้างขึ้นก็มีประสบการณ์มากมาย แต่ทำไมบางพิมพ์ถึงยังเหลือตกค้างอยู่ที่วัด ตอนนี้มีคำตอบแล้วครับ... เพราะหลวงพ่อตี๋ท่านให้พวกเราย้อนหลังไปดูรากเหง้าทางประวัติศาสตร์ของวัด ที่เดิมวัดบางคณฑีในแห่งนี้จัดว่าเป็นวัดปิด การจะเข้าถึงวัดแห่งนี้ได้นอกจากใช้สองเท้าก้าวเดินมาตามท้องสวนแล้ว ก็คงเหลืออีกทางเดียวคือใช้สองมือช่วยกันพายเรือมาตามคลอง ด้วยเหตุเป็นอย่างนี้วัตถุมงคลจึงมีลักษณะของการกระจายภายในกลุ่มแต่ไม่กระเด็นไปยังโลกภายนอกครับ
แสงแดดโรยราที่เกิดจากการคล้อยต่ำของพระอาทิตย์ บอกให้พวกเรารู้ตัวว่าใกล้เวลาที่พระสงฆ์ท่านต้องเริ่มเตรียมตัวเพื่อไปทำวัตรสวดมนต์เย็น แน่นอนล่ะ หน้าที่ในการเป็นผู้นำย่อมต้องเป็นหลวงพ่อตี๋ พวกเราตกลงกันครับว่า คราวหน้าถ้ามีเวลาว่างก็จะกลับมาเรียนรู้ภูมิปัญญาที่แฝงไปด้วยความลึกลับกันใหม่ และก็นับเป็นโชคดีของพวกเราครับ ที่หลวงพ่อตี๋ท่านเมตตาแจกพระของหลวงปู่หลาแก่พวกเรา เมื่อของชอบถูกส่งมาวางตรงหน้า ว่ากันว่ามนุษย์ไม่สามารถครอบครองทุกสิ่งทุกอย่างในเวลาเดียวกัน ดังนั้นเราจึงจำเป็นจะต้องเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้กับตัวเราเอง แต่เมื่อจังหวะได้เปิดโอกาสให้กับ ความโลภ ได้เลือก ผมจึงตัดสินใจเลือกเอามาทั้งหมดพร้อมกับคิดในใจว่า... ความสุขอยู่ที่จุดหมาย ความประทับใจอยู่ที่ว่าได้พระกลับไป ครับ ธรรมะคือธรรมชาติ มนุษย์มีหน้าที่หาแก่นของชีวิตให้พบและปักหมุดลงไปให้ได้ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นและเป็นไป มีทั้งแก่นและทั้งเปลือก มองแต่เปลือกอาจไม่รู้ถึงแก่น ดังนั้นอย่าปักใจเชื่อในเรื่องที่ได้ยินจากปากคำของคนอื่น จนกว่าจะได้มาเห็นและสัมผัสด้วยตนเอง.... สวัสดีครับ
กราบขอบพระคุณ ท่านพระครูพินิจสมุทรคุณ ที่เมตตาให้ข้อมูล ประวัติบางส่วนของท่านพ่อบัณฑูรสิงห์ จากบทความ ศูนย์รวมจิตใจชาวบางโทรัด โดย วท.บ.21(4)/4 คณะ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โปรแกรมวิชา วิทยาการคอมพิวเตอร์ สถาบันราชภัฏ จันทรเกษม คุณพรชนก สุขพงษ์ไทย สำหรับภาพถ่าย เพื่อนต่อที่ช่วยแนะนำ และคุณสมบูรณ์ ร้านนายฮ้อ สระบุรี กับกำลังใจที่มีให้เสมอครับ
|
ถึง บล็อกเกอร์ ทุกท่าน โปรดอ่าน
ด้วยทาง บริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จำกัด (มหาชน) ได้ติดต่อขอความร่วมมือ มายังเว็บไซต์และเว็บบล็อกต่าง ๆ รวมไปถึงเว็บบล็อก OKnation
ห้ามให้มีการเผยแพร่ผลงานอันมีลิขสิทธิ์ ของบริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ฯ บนเว็บ blog โดยกำหนดขอบเขตของสิ่งที่ห้ามทำ และสามารถทำได้ ดังนี้
ห้ามทำ - การใส่ผลงานเพลงต้นฉบับให้ฟัง ทั้งแบบควบคุมเพลงได้ หรือซ่อนเป็นพื้นหลัง และทั้งที่อยู่ใน server ของคุณเอง หรือ copy code คนอื่นมาใช้ - การเผยแพร่ file ให้ download ทั้งที่อยู่ใน server ของคุณเอง หรือฝากไว้ server คนอื่น สามารถทำได้ - เผยแพร่เนื้อเพลง ต้องระบุชื่อเพลงและชื่อผู้ร้องให้ชัดเจน - การใส่เพลงที่ร้องไว้เอง ต้องระบุชื่อผู้ร้องต้นฉบับให้ชัดเจน จึงเรียนมาเพื่อโปรดปฎิบัติตาม มิเช่นนั้นทางบริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ฯ จะให้ฝ่ายดูแลลิขสิทธิ์ ดำเนินการเอาผิดกับท่านตามกฎหมายละเมิดลิขสิทธิ์
OKNATION
กฎกติกาการเขียนเรื่องและแสดงความคิดเห็น
1 การเขียน หรือแสดงความคิดเห็นใด ๆ ต้องไม่หมิ่นเหม่ หรือกระทบต่อสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ หรือกระทบต่อความมั่นคงของชาติ
2. ไม่ใช้ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่นในทางเสียหาย หรือสร้างความแตกแยกในสังคม กับทั้งไม่มีภาพ วิดีโอคลิป หรือถ้อยคำลามก อนาจาร 3. ความขัดแย้งส่วนตัวที่เกิดจากการเขียนเรื่อง แสดงความคิดเห็น หรือในกล่องรับส่งข้อความ (หลังไมค์) ต้องไม่นำมาโพสหรือขยายความต่อในบล็อก และการโพสเรื่องส่วนตัว และการแสดงความคิดเห็น ต้องใช้ภาษาที่สุภาพเท่านั้น 4. พิจารณาเนื้อหาที่จะโพสก่อนเผยแพร่ให้รอบคอบ ว่าจะไม่เป็นการละเมิดกฎหมายใดใด และปิดคอมเมนต์หากจำเป็นโดยเฉพาะเรื่องที่มีเนื้อหาพาดพิงสถาบัน 5.การนำเรื่อง ภาพ หรือคลิปวิดีโอ ที่มิใช่ของตนเองมาลงในบล็อก ควรอ้างอิงแหล่งที่มา และ หลีกเลี่ยงการเผยแพร่สิ่งที่ละเมิดลิขสิทธิ์ ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบหรือวิธีการใดก็ตาม 6. เนื้อหาและความคิดเห็นในบล็อก ไม่เกี่ยวข้องกับทีมงานผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซต์ โดยถือเป็นความรับผิดชอบทางกฎหมายเป็นการส่วนตัวของสมาชิก คลิ้กอ่านเงื่อนไขทั้งหมดที่นี่"
OKnation ขอสงวนสิทธิ์ในการปิดบล็อก ลบเนื้อหาและความคิดเห็น ที่ขัดต่อความดังกล่าวข้างต้น โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ต่อเจ้าของบล็อกและเจ้าของความคิดเห็นนั้นๆ
|
||
![]() ![]() |
<< | พฤษภาคม 2010 | >> | ||||
อา | จ | อ | พ | พฤ | ศ | ส |
1 | ||||||
2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8 |
9 | 10 | 11 | 12 | 13 | 14 | 15 |
16 | 17 | 18 | 19 | 20 | 21 | 22 |
23 | 24 | 25 | 26 | 27 | 28 | 29 |
30 | 31 |