ย้อนกลับไปเมื่อ 5 ปีที่แล้ว (ปี 2547) ผมได้รับทุนการศึกษาจาก ก.พ.ให้ไปศึกษาต่อ ณ ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อกลับมา จึงมีเรื่องราวการไปศึกษาต่อ ที่อยากจะนำมาเล่าให้เพื่อนๆได้ฟังกัน ตอนนั้นผมยังไม่ทราบเลยว่าตัวเองจะต้องไปศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยใดเนื่องจากอยู่ในช่วงของการรอผลการตอบรับจากทางมหาวิทยาลัยต่างๆ ที่สมัครไป (Cornell University, University of Minnesota และ Rutgers University) พอทราบว่ามหาลัย Cornell ตอบรับก็รู้สึกดีใจมากๆ เพราะเป็นอันดับแรกที่เลือกเอาไว้มหาวิยาลัย Cornell ตั้งอยู่ที่เมือง Ithaca มลรัฐนิวยอร์ก เป็นมหาวิทยาลัยเก่าแก่ที่มีชื่อเสียงทางด้านการศึกษาทั้งในด้าน Science (วิทยาศาสตร์) เช่น Enginneering, Food science และด้าน Social Science (สังคมศาสตร์) เช่น MBA, Law, Hotel Management และได้ชื่อว่ามี campus ที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งในอเมริกา ต้องเรียนว่าเมื่อเดินทางไปถึงที่นั่นแล้วไม่รู้สึกผิดหวังเลยเพราะสวยจริงตามคำร่ำลือ มหาวิยาลัยตั้งอยู่บนภูเขา มีน้ำตกไหลผ่านกลาง campus รวมทั้งอยู่ติดกับทะเลสาบ ตึกเรียนและสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ (Facilities) เช่นห้องสมุด ก็มีความทันสมัย ในขณะเดียวกันก็ดูมีมนต์ขลังและเก่าแก่สมเป็นมหาวิทยาลัยในกลุ่ม Ivy League[1] บรรยากาศที่นั่นช่างเหมาะกับการเรียนหนังสือเสียเหลือเกิน เพราะเป็นเมืองเล็กๆที่ไม่วุ่นวายและมีธรรมชาติสวยงามมาก อากาศที่นั่นเรียกได้ว่าหนาวมากถึงมากที่สุด ว่ากันว่าหากนักเรียนคนใดไม่เคยลื่นล้มเพราะหิมะที่จับตัวเป็นน้ำแข็ง แปลว่าไปเรียนไม่ถึง Cornell (ผมเองก็เคยลื่นหงายท้องมาแล้ว!) เมือง Ithaca นั้นหนาวมากถึงประมาณ 8 เดือนต่อปีต่อปีเลยทีเดียว ดังนั้นในช่วงหน้าหนาวนักเรียนส่วนมากจึงมักเก็บตัวอยู่ในบ้านพักและใช้เวลาในการอ่านหนังสือกันเสียเป็นส่วนใหญ่ กระนั้นก็ดีก็ยังไม่วายเว้นที่จะหาเรื่องสนุกๆทำกันในช่วงว่างหลังการสอบ วันที่ไปถึงวันแรกโชคดีที่มีพี่นักเรียนคนไทยให้ความอนุเคราะห์ขับรถไปรับถึงที่สนามบิน แต่ช่วงแรกๆก็ยังรู้สึกงงๆอยู่ดีว่าจะต้องเริ่มทำอะไรก่อน จำได้ว่าตอนนั้นยังไม่พร้อมสักอย่าง (นี่ขนาดคิดว่าเตรียมตัวไปพร้อมมากๆแล้ว) รวมทั้งยังไม่รู้จักใครเลย ไม่รู้จะกินข้าวอะไร ที่ไหน จะทำเองก็ไม่อร่อย ยังไม่มีโทรศัพท์ใช้ ไม่แน่ใจว่าจะโทรกลับเมืองไทยอย่างไร ที่สำคัญยังไม่มีคอมพิวเตอร์ใช้ เลยไม่รู้จะติดต่อครอบครัวและเพื่อนๆอย่างไร เรียกว่ามึนอยู่พักหนึ่งเหมือนกัน ประกอบกับตอนนั้นยัง Jet Lag อยู่ (อาการหลับไม่เป็นเวลาอันเกิดจากการเดินทาง) เลยนอนลูกเดียวเลย พอเริ่มตั้งสติได้ ประมาณ 2-3 วัน จึงเริ่มออกเดินตระเวนรอบๆcampus ของมหาวิทยาลัย ด้วยตนเอง โชคดีว่าพอพูดภาษาอังกฤษได้และพกแผนที่มหาวิทยาลัยมาด้วย เลยเดินคุยกับฝรั่งคนโน้นคนนี้ไปเรื่อย ถามโน่นถามนี่ จนพอเริ่มได้ idea ว่าต้องทำอะไร ที่ไหน อย่างไร แต่ก็ยังคงรู้สึกเหงามากๆอยู่ดี เฝ้าคิดแต่ว่าจะเริ่มมีเพื่อนกับเขาเมื่อไหร่ สุดท้ายเหงาอยู่ได้แค่อาทิตย์เดียว ก็เริ่มถูกนำเข้าไปรู้จักเพื่อน พี่ๆ น้องๆ คนไทยที่ไปเรียนอยู่ที่นั่น ซึ่งเป็นโอกาสดีที่ผมได้เรียนรู้ว่านักเรียนไทยเขาดำเนินชีวิตกันอย่างไร รวมทั้งได้กินอาหารไทยอร่อยๆด้วย ตอนนั้นเลยรู้สึก happy มากๆว่าไม่ต้องหิวตายแล้ว ที่นั่นมีนักเรียนไทยอยู่ประมาณกว่า 100 ชีวิต นักเรียนทุนรัฐบาลไทยที่ Cornell จะได้เงินประจำเดือนประมาณเดือนละ 1,150 ดอลลาร์ ซึ่งถือว่าไม่มากมายนักสำหรับการใช้ชีวิตในอเมริกา แต่ก็ไม่น้อยเกินไปหากอยู่อย่างพอเพียง เอาเป็นว่าสามารถเก็บตังค์เที่ยวได้สบายก็แล้วกันถ้าหากประหยัดหน่อย ตัวผมเองก็จ่ายค่าเช่าบ้านประมาณเดือนละ 450 ดอลลาร์ ค่าโทรศัพท์ ค่า Internet และค่า Cable รวมแล้วประมาณ 100 ดอลลาร์ ค่ากินอยู่เฉลี่ยอยู่ที่เดือนละ 300 ดอลลาร์ เบ็ดเสร็จแล้วเดือนๆหนึ่ง ก็พอจะมีเงินเหลือเก็บอยู่บ้าง ชีวิตการเรียนของเด็กนักเรียนไทยที่นั่นก็เป็นปกติเหมือนกับนักเรียนที่เมืองไทยนี่หละ ก็คือเช้าก็ไปเรียน เย็นก็กลับมาบ้าน ตอนแรกคิดว่าทุกคนคงจะเป็นเด็กแก่เรียนมากๆ (Geek) แต่จริงๆหาเป็นเช่นนั้นไม่ จริงๆก็เหมือนพวกเราทุกคนเนี่ยหละ ทั้งเรียนทั้งเล่น เพียงแต่ว่าทุกคนจะมีวินัยและความรับผิดชอบในการเรียนสูงมาก โดยเฉพาะพวกที่เรียนปริญญาเอก ที่ต้องทำหน้าที่เป็น Teaching หรือ Research Assistant (ผู้ช่วยสอนหรือทำวิจัย) ต้องมีความรับผิดชอบในการเรียนและการทำงานวิจัยสูง ช่วงสอบเรียกได้ว่า หายหัวกันไปหมด ขลุกกันอยู่แต่ในห้องสมุด พอว่างก็มาจอยกัน มาทำกับข้าวกินและดื่มสังสรรค์กัน เวลามีงานประเพณีของไทยก็จะมาร่วมสนุกกันตามประสา ส่วนพวกเด็ก MBA (Master of Business Administration) รวมไปถึงคณะ HR (Human Resource) ของผมก็จะวุ่นกันอยู่กับการทำงานกลุ่ม (Team Project) เสียเป็นส่วนใหญ่ ในเทอมแรกตอนปี 2005 นั้นจำได้ขึ้นใจว่าการเดินเท้าไปเรียนเป็นอะไรที่หฤโหดสุดๆ จริงๆแล้วมันก็ไม่ได้ไกลอะไรมากหรอกนะครับ แค่ 20 นาทีเอง ถึงแม้จะมีรถประจำทางให้นั่ง คนส่วนมากโดยเฉพาะคนอเมริกันเขาก็ใช้วิธีการเดินเท้ากันทั้งนั้น แต่สิ่งที่ไม่ธรรมดาก็คือเรื่องของอากาศที่สุดแสนจะบรรยาย คือหนาวกันถึงขั้นที่ว่าไม่รู้ว่าหูตัวเองอยู่ที่ไหน ชาไปทั้งหน้าจนพูดไม่ออก น้ำมูกไหลเต็มไปหมด ถ้าอยู่ข้างนอกนานๆก็อาจจะถึงขั้นเป็นแผลหิมะ (Frostbite) ได้ ก็เลยต้องคอยระวังเหมือนกัน คิดกลับไปแล้วก็อดขำตัวเองไม่ได้ว่าเดินเข้าไปได้อย่างไรตั้ง 1 เทอม สุดท้ายก็เลยหันมาขึ้นรถประจำทางแทนเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ส่วนมากนักเรียนไทยจะทำอาหารทานกันที่บ้าน โดยไปซื้อของชำมาจากร้านจีน (Oriental Store) ซึ่งจะมีอาหารแห้ง ผัก และเครื่องปรุง ทุกอย่างที่คุณอยากได้ จะออกไปทานอาหารนอกบ้านมื้อค่ำบ้างก็อาทิตย์ละ 2-3 หน หรือบางคนก็ไม่ไปทานข้าวข้างนอกเลยจะได้ประหยัดตังค์ ร้านสุดฮิตสำหรับอาหารกลางวันก็คงจะหนีไม่พ้นอาหารจีน ซึ่งมีรสชาติใกล้เคียงกับอาหารไทยและราคาย่อมเยา (ประมาณ 5 ดอลลาร์สำหรับข้าวและกับข้าว 2 อย่าง) ที่อเมริกานั้นอาหารไทยถือว่าจัดอยู่ในกลุ่มอาหารต่างประเทศแนวหน้าเลยที่เดียว เฉพาะที่เมือง Ithaca ก็ปาเข้าไป 5 ร้านแล้ว นอกนั้นก็จะมีอาหารญี่ปุ่น เกาหลี เวียดนาม และอินเดีย สำหรับตัวผมเองนั้น ขอยอมรับว่าไม่ถนัดเรื่องการทำอาหารทานเองเลย เพราะทำไม่อร่อยเอามากๆ เรียกว่าทานเกือบไม่ลง รู้สึกว่าจะพอเริ่มมีฝีมือกับเขาบ้างก็เมื่อผ่านพ้นไปตั้ง ๑ ปีแล้ว ประกอบกับตอนนั้นเรียนหนัก เลยผอมไปเยอะเหมือนกัน อาหารที่ทำบ่อยๆก็ไม่พ้นอาหารตระกูลไข่ ที่อร่อยมากๆนี่ก็คือไข่ลูกเขย แต่ก็พยายามทำให้หลากหลายที่สุดเท่าที่จะทำได้ ตอนนี้ต้องบอกว่ามั่นใจเรื่องทำอาหารขึ้นเยอะเป็นกอง อีกสิ่งหนึ่งที่อยากจะนำมาเล่าให้ฟังก็คือเรื่องของ Technology จำได้ว่าตอนที่มีโอกาสเดินทางไปที่สหรัฐอเมริกาเมื่อ ๑๐ กว่าปีก่อนในฐานะนักเรียนแลกเปลี่ยน (Exchange Student) การติดต่อสื่อสารลำบากกว่าในปัจจุบันนี้มาก จะโทรศัพท์กลับเมืองไทยแต่ครั้งก็แพงเหลือหลาย เลยใช้วิธีการเขียนจดหมายเสียเป็นส่วนใหญ่ ข่าวสารบ้านเมืองและโทรทัศน์ละครไทยต่างๆก็ไม่มีโอกาสได้ดูเลย ตอนนั้น Internet ก็เพิ่งจะเริ่มเป็นที่ใช้กันจึงช้าและไม่มีข้อมูลอะไรให้ดูมากนัก แต่มาในวันนี้ทุกอย่างได้เปลี่ยนแปลงไปหมดแล้วจากหน้ามือเป็นหลังมือ เดี่ยวนี้การโทรศัพท์จากอเมริกากลับมาเมืองไทยหาได้เป็นสิ่งฟุ่มเฟือยอีกต่อไปไม่ ค่าโทรผ่าน Calling Card ก็แค่ประมาณนาทีละ 2-5 cents หรือตกไม่เกินนาทีละ 2 บาทไทย Internet ที่ Cornell ก็ high-speed สุดๆ สามารถดูรายการโทรทัศน์ไทยผ่านทาง website ได้แบบสบายๆ (เช่น doozija.com, obizgo.com) พอว่างๆยังได้มีโอกาสมานั่งดูละครและรายการไทย ทั้งที่เมื่อก่อนตอนอยู่ที่เมืองไทยแทบจะไม่ได้มีโอกาสดูเลย นอกจากนั้น ยังได้ download ทั้งหนัง เพลง หนังสือ ebook ผ่าน torrent กันมันไปเลย
นอกจากนั้นข่าวสารบ้านเมืองเดี๋ยวนี้ก็รวดเร็วทันใจแบบ real time เลยก็ว่าได้ ตอนที่มีการประท้วงในกรุงเทพฯ และการก่อรัฐประหาร พวกเราทางโน้นก็มิได้ตกข่าวไปแม้สักวินาทีเดียว ได้ check ข่าวทาง Internet กันตลอด บางทียังทราบข่าวเร็วกว่าเพื่อนๆในเมืองไทยเสียด้วยซ้ำไป คอมพิวเตอร์เป็นองค์ประกอบสำคัญของชีวิตผมที่นั่นเป็นอย่างมากเพราะเปรียบเสมือนหน้าต่างที่เปิดตัวเองสู่ข้อมูลและโลกแห่งการสื่อสารชีวิตส่วนมากจึงอยู่แต่กับหน้า Laptop เสียเป็นส่วนใหญ่ ขนาดบางทีกำลังทำอาหารยังยืนคุยกับเพื่อนๆที่เมืองไทยผ่านทาง MSN เลย เพราะฉะนั้นต้องบอกว่าการสื่อสารในสมัยนี้สะดวกมากจริงๆ ทำให้เรารู้สึกใกล้บ้านมากขึ้นเยอะเลย สมัยนี้การเดินทางในอเมริกาก็สะดวกสบายมากๆ เช่นกัน เราสามารถจองตั๋วเครื่องบินผ่าน Website ได้ (Online Booking) เช่น ผ่านทาง expedia.com, travelocity.com หรือ cheaptickets.com ไม่ต้องโทรจองกับพนักงานตอบรับให้เสียเวลาอีกต่อไป เมื่อจองเสร็จแล้วก็สามารถ print ตั๋วได้เอง เสร็จแล้วก็ใช้เป็น E-ticket ได้เลย เวลาถึงที่สนามบินก็ไม่ต้องไปรอต่อแถว check-in กับเจ้าหน้าที่ฯ เพื่อรับ Boarding Pass ให้เสียเวลา เราสามารถใช้บัตร Credit card ของเรารูดที่เครื่อง check-in เพื่อแสดงตน (Identity) ได้ทันที นอกจากนั้นตอนนี้ก็มี Low-Cost Airline (สายการบินราคาถูก) อยู่หลายสายการบิน เช่น Jetblue ทำให้เราสามารถเดินทางในอเมริกาได้ด้วยราคาที่ไม่แพงมากนัก อีกสิ่งหนึ่งที่อำนวยความสะดวกให้กับนักเรียนเป็นอย่างยิ่ง ก็คือข้อมูลมหาศาลที่ปรากฏอยู่บน Internet สมัยก่อนนักเรียนจะใช้เวลาส่วนใหญ่ค้นหาข้อมูลอยู่ในห้องสมุด แต่ปัจจุบันนี้เราสามารถค้นหาข้อมูลต่างๆผ่าน Internet ได้อย่างง่ายดายแค่เพียงปลายนิ้ว ชีวิตการเรียนและการหาข้อมูลของผมกว่าครึ่งได้ฝากไว้ที่ search engine ที่ชื่อ Google ที่ทุกคนคงจะรู้จักกันดี ไม่ว่าผมอยากจะได้ข้อมูลอะไรก็จะใช้เจ้า Google เนี่ยล่ะในการหาข้อมูล จนเดี๋ยวนี้ Google ไม่ได้เป็นแค่เพียงชื่อของ search engine เท่านั้น แต่ได้กลายเป็นคำกิริยาไปแล้วจนมีประโยคฮิตติดปากที่ว่า Just google it (ก็แค่ไปค้นหาในกูเกิ้ลดูสิ!) นอกจากนั้นในปัจจุบันนี้ก็ยังมี ที่ Cornell เอง ก็ให้นักเรียนสามารถ access ฐานข้อมูล (database)ที่มีบทความ (articles)น่าสนใจเก็บไว้มากมาย เช่น วารสาร Harvard Business Review รวมทั้งหนังสือ online ต่างๆ เดี๋ยวนี้อาจารย์ที่อเมริกาเขาติดต่อกับนักเรียนผ่านทาง email เวลาที่จะมอบหมายบทความหรือเอกสารประกอบการเรียน (class handout) ให้นักเรียนอ่านก็จะนำไป upload ไว้ที่ website ทำให้การสื่อสารถูกต้องและรวดเร็ว รวมทั้งทำให้การเรียนการสอนในปัจจุบันนี้ง่ายขึ้นเยอะ ฉบับหน้าผมจะกลับมาพูดถึงมุมมองเกี่ยวกับการเรียนการสอน มุมมองต่อชาติอื่น/เพื่อนต่างชาติ ประโยชน์ที่ได้รับ/เปรียบเทียบข้อดีข้อเสียกับเมืองไทย และที่สำคัญก็คือ ขั้นตอนการสมัครเรียนกับมหาวิทยาลัยที่อเมริกา รวมไปถึงการเตรียมตัวก่อนเดินทาง [1] Ivy League ประกอบไปด้วยมหาวิทยาลัยอันเก่าแก่ 8 แห่งของอเมริกา อันได้แก่ Harvard, Yale, Princeton, University of Pensylvania, Dartmouth College, Brown University, Cornell University และ Columbia University |
ถึง บล็อกเกอร์ ทุกท่าน โปรดอ่าน
ด้วยทาง บริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จำกัด (มหาชน) ได้ติดต่อขอความร่วมมือ มายังเว็บไซต์และเว็บบล็อกต่าง ๆ รวมไปถึงเว็บบล็อก OKnation
ห้ามให้มีการเผยแพร่ผลงานอันมีลิขสิทธิ์ ของบริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ฯ บนเว็บ blog โดยกำหนดขอบเขตของสิ่งที่ห้ามทำ และสามารถทำได้ ดังนี้
ห้ามทำ - การใส่ผลงานเพลงต้นฉบับให้ฟัง ทั้งแบบควบคุมเพลงได้ หรือซ่อนเป็นพื้นหลัง และทั้งที่อยู่ใน server ของคุณเอง หรือ copy code คนอื่นมาใช้ - การเผยแพร่ file ให้ download ทั้งที่อยู่ใน server ของคุณเอง หรือฝากไว้ server คนอื่น สามารถทำได้ - เผยแพร่เนื้อเพลง ต้องระบุชื่อเพลงและชื่อผู้ร้องให้ชัดเจน - การใส่เพลงที่ร้องไว้เอง ต้องระบุชื่อผู้ร้องต้นฉบับให้ชัดเจน จึงเรียนมาเพื่อโปรดปฎิบัติตาม มิเช่นนั้นทางบริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ฯ จะให้ฝ่ายดูแลลิขสิทธิ์ ดำเนินการเอาผิดกับท่านตามกฎหมายละเมิดลิขสิทธิ์
OKNATION
กฎกติกาการเขียนเรื่องและแสดงความคิดเห็น
1 การเขียน หรือแสดงความคิดเห็นใด ๆ ต้องไม่หมิ่นเหม่ หรือกระทบต่อสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ หรือกระทบต่อความมั่นคงของชาติ
2. ไม่ใช้ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่นในทางเสียหาย หรือสร้างความแตกแยกในสังคม กับทั้งไม่มีภาพ วิดีโอคลิป หรือถ้อยคำลามก อนาจาร 3. ความขัดแย้งส่วนตัวที่เกิดจากการเขียนเรื่อง แสดงความคิดเห็น หรือในกล่องรับส่งข้อความ (หลังไมค์) ต้องไม่นำมาโพสหรือขยายความต่อในบล็อก และการโพสเรื่องส่วนตัว และการแสดงความคิดเห็น ต้องใช้ภาษาที่สุภาพเท่านั้น 4. พิจารณาเนื้อหาที่จะโพสก่อนเผยแพร่ให้รอบคอบ ว่าจะไม่เป็นการละเมิดกฎหมายใดใด และปิดคอมเมนต์หากจำเป็นโดยเฉพาะเรื่องที่มีเนื้อหาพาดพิงสถาบัน 5.การนำเรื่อง ภาพ หรือคลิปวิดีโอ ที่มิใช่ของตนเองมาลงในบล็อก ควรอ้างอิงแหล่งที่มา และ หลีกเลี่ยงการเผยแพร่สิ่งที่ละเมิดลิขสิทธิ์ ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบหรือวิธีการใดก็ตาม 6. เนื้อหาและความคิดเห็นในบล็อก ไม่เกี่ยวข้องกับทีมงานผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซต์ โดยถือเป็นความรับผิดชอบทางกฎหมายเป็นการส่วนตัวของสมาชิก คลิ้กอ่านเงื่อนไขทั้งหมดที่นี่"
OKnation ขอสงวนสิทธิ์ในการปิดบล็อก ลบเนื้อหาและความคิดเห็น ที่ขัดต่อความดังกล่าวข้างต้น โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ต่อเจ้าของบล็อกและเจ้าของความคิดเห็นนั้นๆ
|
||
![]() ![]() |
<< | เมษายน 2009 | >> | ||||
อา | จ | อ | พ | พฤ | ศ | ส |
1 | 2 | 3 | 4 | |||
5 | 6 | 7 | 8 | 9 | 10 | 11 |
12 | 13 | 14 | 15 | 16 | 17 | 18 |
19 | 20 | 21 | 22 | 23 | 24 | 25 |
26 | 27 | 28 | 29 | 30 |